อยากจะเป็น “เสือนอนกิน” อสังหาปล่อยเช่า ต้องรู้จักแพลตฟอร์มบริหารจัดการ HORGANICE

หนึ่งในธุรกิจที่คนมีงบลงทุนสนใจอยากเป็นเจ้าของธุรกิจอันดับต้นๆ คือ ธุรกิจอสังหาปล่อยเช่า หรือการให้เช่าที่อยู่อาศัย ทั้งในรูปแบบหอพัก อพาร์ทเมนต์ แมนชั่น ไปจนถึงห้องชุดในคอนโดมิเนียม เพราะถือเป็นธุรกิจที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจเปรียบดั่งเป็นเสือนอนกินระยะยาว ด้วยการลงทุนในครั้งแรกก็สามารถเก็บดอกผลได้อย่างต่อเนื่อง 

โดยความเป็นจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียวที่จะทำธุรกิจนี้ได้อย่างราบรื่น เพราะหากตัดเรื่องเงินลงทุนก้อนโตออกไป อีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเพราะมักก่อให้เกิดปัญหากวนใจอยู่เป็นระยะ ก็คือเรื่องของการบริหารจัดการหอพักอพาร์ทเม้นต์ เนื่องจากการดูแลหอพักอพาร์ทเม้นต์ เป็นงานที่มีปัญหาจุกจิกมากมาย เริ่มตั้งแต่การทำสัญญาผู้เช่า การคิดบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าห้อง การทำเอกสาร ส่งใบแจ้งหนี้ รวมถึงปัญหาอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย และอีกร้อยแปดปัญหาที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจไม่สามารถปลีกตัวออกจากงานที่ต้องทำประจำเหล่านี้ได้เลย

“ฮอร์แกไนซ์” (Horganice) เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมาแก้ไขปัญหา และสะสางภารกิจต่างๆ ที่เกิดจากการบริหารจัดการอสังหาปล่อยเช่าในทุกรูปแบบ โดย Horganice ทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) และผู้เช่า ช่วยให้เกิดการติดต่อสื่อสารกันได้เร็วขึ้น และช่วยให้การบริหารจัดการหอพักอพาร์ทเม้นท์ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ธนวิชญ์ ต้นกันยา Founder & CEO บริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของการทำธุรกิจอสังหาปล่อยเช่าในยุคปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการทำธุรกิจในแบบที่มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ เดือนโดยไม่ต้องทำอะไรมาก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “เสือนอนกิน” แต่ในความเป็นจริงการจะเป็นเสือนอนกินในธุรกิจหอพักอพาร์ทเม้นต์ได้นั้นอาจต้องมีการจ้างคนจำนวนมากเพื่อมาดูแลงานในส่วนต่างๆ และเกิดเป็นต้นทุนมหาศาลในเรื่องของการจัดการ เพื่อจะทำให้ตัวเองได้ดูแลธุรกิจแบบเสือนอนกินอย่างแท้จริง 

“เป้าหมายของการจัดตั้ง Horganice ขึ้นมาก็เพื่อที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจอสังหาปล่อยเช่าทุกคนได้เป็นเสือนอนกินจริงๆ ทำให้เขาไม่ต้องแบกรับต้นทุนทั้งในเรื่องของคนจำนวนมากที่อยู่หน้างาน เราจึงสร้างแพลตฟอร์มที่มีดิจิทัลเข้ามาช่วยทำงาน เช่น การทำใบแจ้งหนี้ การส่งใบแจ้งหนี้ การตรวจสอบการรับเงินผ่านระบบเพย์เมนต์ หรือแม้แต่ระบบทวงหนี้ รวมถึงการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ในด้านต่างๆ เช่น งานช่าง งานแม่บ้าน หรืองานระบบบัญชี เป็นต้น” 

Horganice คือ Process Innovation ที่เข้ามาช่วยเรื่องการบริหารจัดการในสิ่งที่เจ้าของหอพักอพาร์ทเมนต์ต้องเจอในแต่ละวัน มีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยี 4 ตัวหลัก ได้แก่ Software เป็นส่วนกลางในการจัดการ Iot (Internet of Thing) เป็นฮาร์ดแวร์ที่เกิดจากการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการดีขึ้น Payment Solution ที่เชื่อมต่อกับทางธนาคารตอบโจทย์การบริหารจัดการเรื่องเงิน และ Service ที่ต้องใช้ Man Power ในการบริหารจัดการ เช่น งานแม่บ้าน งานช่าง เป็นต้น

Horganice อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะการสร้างระบบงานเอกสาร เช่น บิลค่าเช่า (ใบแจ้งหนี้) การส่งบิลในรูปแบบออนไลน์ที่มองเห็นได้ทันที อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย อาทิ กระดานข่าวสาร การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ บันทึกรายรับ รายจ่าย สถิติกำไร เป็นต้น เพื่อการวางแผน และบริหารงานอย่างมืออาชีพ ตลอดจนช่วยสร้างมาตรฐานธุรกิจให้เติบโตมั่นคงในระยะยาว

Horganice จึงกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ ที่จะทำให้งานบริหารจัดการหอพัก อพาร์ทเม้นต์ แมนชั่น ห้องชุด กิจการบ้านเช่า ไปจนถึงร้านค้าให้เช่า หรือกิจการที่เก็บค่าเช่ารายวันและรายเดือน ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เป็นเรื่องง่ายไม่ซับซ้อนยุ่งยาก เนื่องจาก Horganice มีข้อดีหลากหลายประการ อาทิ

1.มีฟังก์ชั่นการใช้งานมาตรฐาน คือ การสร้างบิลค่าเช่า การสร้างสัญญาเช่า การแสดงสถานะห้องว่าง ห้องมีคนจอง ห้องมีผู้เช่า การออกใบเสร็จรับเงิน การจดมิเตอร์น้ำและมิเตอร์ไฟ การแจ้งข่าวสารหอพัก และฟีเจอร์ต่างๆ ครบถ้วน อาทิ การกำหนดสิทธิพนักงาน บันทึกรายรับ-รายจ่าย ผลสถิติกำไร ขาดทุน ผลสถิติ กราฟ ข้อมูลต่างๆ 

2.สามารถทำงาน และบริหารงานได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เรียกดูข้อมูลได้ตามความต้องการในทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตโดยไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่กับที่ จึงสามารถเดินเดินทางไกลไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ หรือบริหารจัดการร่วมกับงานอื่นๆ ไปพร้อมกันก็สามารถทำได้อย่างคล่องตัว

3.มีระบบจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าที่มาเช่าพักอาศัย ในกรณีฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นที่จะต้องค้นหาข้อมูลผู้เช่า  ก็สามารถค้นประวัติของผู้เข้าพักในแต่ละห้องได้จากโปรแกรม การจัดเก็บข้อมูลถือเป็นเรื่องสำคัญ โดย Horganice มีระบบเก็บฐานข้อมูลไว้ที่ Amazon Web Service เป็นมาตรฐานสากล และมีเพียงเจ้าของธุรกิจเท่านั้นที่รู้รหัสเข้าดูข้อมูล

4.ใช้งานได้ง่าย ผ่านอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุค แท็ปเล็ต หรือแม้แต่สมาร์ทโฟน ไม่ต้องติดตั้งระบบเพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น หรือเข้าผ่านหน้าเว็บไซต์ ระบบยังรองรับงานเอกสารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกใบแจ้งหนี้ การแจ้งค่าเช่า ใบเสร็จรับเงินค่าเช่า ใบกำกับภาษี ใบจองห้องพัก ใบรับเงินประกัน ใบย้ายออก รวมถึงเอกสารใบเสร็จรับเงินอื่นๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน 

5.ติดต่อกับผู้เช่าได้อย่างสะดวกสบาย สามารถเลือกได้ว่าจะแจ้งข่าวสารแบบรายห้อง หรือโดยรวม อีกทั้งยังมีโหมดการแจ้งเรื่องจากผู้เช่า เช่น การแจ้งซ่อม การทำความสะอาด การย้ายออก เพื่อให้ทางเจ้าของธุรกิจสามารถทราบเรื่องได้อย่างรวดเร็ว 

6.มีบริการหลังการขาย ที่จะช่วยในการดูแลระบบต่างๆ ของหอพักได้ดียิ่งขึ้น มีการให้ข้อมูลวิธีการใช้ และให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานระบบโปรแกรมหอพักให้กับผู้ใช้ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถใช้งานอย่างถูกวิธี และมีประสิทธิภาพคุ้มค่ามากที่สุดกับค่าบริการที่ต้องจ่ายออกไป

7.ระบบทันสมัย ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล ช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ จัดการข้อมูลต่างๆ เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น มีผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ให้ความถูกต้องแม่นยำ ช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ ของธุรกิจได้ง่ายขึ้น รู้ผลกำไร ขาดทุน รู้ข้อบกพร่องได้เร็ว และต่อยอดในเรื่องการวางแผนการตลาดได้อีกด้วย

ปัจจุบัน Horganice ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของหอพัก และอพาร์ทเม้นต์ ทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ที่นำแพลตฟอร์มของ Horganice มาช่วยบริหารจัดการธุรกิจ โดยที่ผ่านมา มีจำนวนห้องพักที่เข้าสู่ระบบของ Horganice แล้วกว่า 500,000 ห้อง มีการออกบิลใบแจ้งหนี้จากระบบไปแล้วกว่า 2,150,000 ใบ (ข้อมูลอัพเดท: 18 มกราคม 2564)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกใช้บริการแพลตฟอร์ม Horganice ได้ตามรูปแบบแพ็คเกจที่เหมาะกับขนาดของธุรกิจที่ทำอยู่ ซึ่งมีทั้งแบบฟรี และเสียค่าบริการ โดยแบ่งรูปแบบการใช้บริการออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย

1.Basic ฟีเจอร์พื้นฐาน ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะกับธุรกิจที่มีขนาด 1 อาคาร จำนวนห้องพักไม่จำกัด ผู้ใช้งาน 1 คน ผ่านการใช้งานบนมือถือ และคอมพิวเตอร์

2.Business ฟีเจอร์บริหารงานแบบมืออาชีพ ค่าบริการ 497 บาท/เดือน ส่วนลด 5% เมื่อชำระค่าบริการเป็นรายปีในราคา 5,665 บาท/อาคาร เหมาะกับธุรกิจขนาด 1 อาคาร จำนวนห้องพักไม่จำกัด ผู้ใช้งานสูงสุด 5 คน ผ่านการใช้งานบนมือถือ และคอมพิวเตอร์ สามารถทดลองใช้งานฟรี 30 วัน

3.Professional ฟีเจอร์ขั้นสูง พร้อมการเติบโตแบบไม่จำกัด ค่าบริการ 979 บาท/เดือน ส่วนลด 5% เมื่อชำระค่าบริการรายปีในราคา 11,160 บาท/อาคาร เหมาะกับธุรกิจขนาด 1 อาคาร จำนวนห้องพักไม่จำกัด ไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งานในระบบ ผ่านการใช้งานบนมือถือ และคอมพิวเตอร์ สามารถทดลองใช้งานฟรี 30 วัน

นอกจากนี้ ยังมีบริการเสริมอื่นๆ อาทิ บริการมิเตอร์ไฟฟ้าดิจิทัล และประปา ที่เชื่อมต่อระบบแบบไม่ต้องเดินจดเลข เรียกดูออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง (ทั้งรูปแบบการอ่านค่าธรรมดา และสั่งตัดไฟฟ้าจากแอปพลิเคชั่น) พร้อมบริการตรวจสอบการชำระเงินของผู้เช่า การอัพเดทการชำระเงิน หรือค้างชำระ สรุปรายงานทุกวัน และมีทีมงานคอยให้คำปรึกษา

ธนวิชญ์ ยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากทำธุรกิจปล่อยเช่าอสังหา ข้อแรก ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่า ต้องการสร้างรายได้จากอะไร เช่น Capital gain, Yield หรือเป็นมรดก พร้อมปรับ  Mindset การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้า โดยมองว่า จะบริหารงานอย่างไรที่จะสามารถขยายได้ และทำซ้ำได้ 

รวมถึง การมองหาเทคโนโลยีที่สามารถนำมาช่วยบริหารจัดการธุรกิจ ให้สามารถใช้เวลากับการทำงานได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งเป็นจุดที่ Horganice เข้าไปตอบโจทย์

ปัจจุบัน Horganice ยังต่อยอดไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นแหล่งรวมหอพัก อพาร์ทเม้นต์ในชื่อ “Rentini” เพื่อช่วยคนทำธุรกิจหอพักไม่ต้องวุ่นวายกับการหาคนเข้าพัก โดยโจทย์ของ Horganice คือการไปช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการ ส่วน Rentini จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดตัวไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการทำ Sandbox Test เพื่อการเรียนรู้ และเก็บข้อมูล 

“เรามีทีมโอเปอเรชั่นที่สามารถดูแลอาคารได้นับหมื่นอาคาร เราไม่ได้ขายซอฟต์แวร์แต่ขายเซอร์วิสที่มีคนคอยช่วยอยู่ข้างหลังเพื่อจะทำให้เขาเป็นเสือนอนกินได้ดีขึ้น ซอฟต์แวร์จึงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างลูกค้าที่เป็นผู้เช่า กับเจ้าของหอพัก หรืออพาร์ทเม้นต์ โดยเทคโนโลยีเป็นเพียงสะพานเชื่อมต่อ แต่หัวใจสำคัญคือการโอเปอเรชั่นด้านหลัง ซึ่งจุดแข็งของ Horganice คือ ความเชี่ยวชาญบริหารจัดการงานระบบที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน” 

ดังนั้น การนำแพลตฟอร์ม Horganice มาช่วยงาน จะทำให้รูปแบบการบริหารจัดการเป็นระบบมากขึ้น และช่วยลดการเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการลดต้นทุนทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการ SME เพราะสิ่งที่ Horganice พยายามทำ คือ การจัดการกับงานระบบที่จะทำให้เกิดต้นทุนในด้านต่างๆ เช่น ต้นทุนกระดาษจากงานเอกสาร หรือต้นทุนเรื่องคนที่เกินความจำเป็นให้ลดลงได้ ส่งผลให้การบริหารธุรกิจของผู้ประกอบการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

อีกทั้งยังช่วยสร้างให้เกิดมาตรฐานในการทำธุรกิจ และทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจหอพัก หรืออพาร์ทเมนต์อยู่ในสถานะของ “เสือนอนกิน” ได้อย่างแท้จริงอีกด้วย

บทความแนะนำ

CMED พัฒนาวีลแชร์ ปรับยืน อนาคตเครื่องมือแพทย์ไทย ช่วยลดการนำเข้า

จากจุดเริ่มต้นที่ทำโครงงานวิจัยในมหาวิทยาลัยกับโครงการพัฒนาวีลแชร์ยืนได้ (Standing Wheelchair) รถวีลแชร์ปรับยืนที่ใช้สำหรับผู้ป่วยอัมพาตครึ่งท่อน อัมพาตครึ่งซีก (โรคหลอดเลือดสมอง) กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาการทางระบบประสาทอื่นๆ รวมถึง ผู้ป่วยที่ไม่มีแรงขาหรือขาไม่มีความรู้สึก วีลแชร์สามารถช่วยพยุงให้ผู้ป่วยสามารถที่จะยืนได้ โดยไม่ต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ธีรพงศ์ สมุทรอัษฎงค์ ผู้ก่อตั้ง บริษัทซีเมด เมดิคอล จำกัด อดีตนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้นำงานวิจัยของตนเอง พัฒนามาสู่รถเข็นนั่ง-ยืน หนึ่งในเครื่องมือแพทย์ของไทยและสามารถช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

“จากจุดเริ่มต้นที่ไม่อยากให้โปรเจ็กที่ทำมาสู่จุดเริ่มต้นของบริษัท บริษัทเริ่มต้นมาจากการทำโครงการวิจัย จากนั้นจึงได้พัฒนาสู่สตาร์ทอัพ เป็นสตาร์ทอัพที่เริ่มต้นมาจากสถาบันการศึกษา จุดเริ่มต้นมาจากการที่ผมเองเมื่อสมัยเรียนวิศวกรรม เครื่องกลกับการเรียนทางด้านการออกแบบเครื่องมือแพทย์ ได้พัฒนาโครงการรถเข็นนั่ง-ยืน (วีลแชร์ปรับยืน) สิ่งที่ทำมันจะสูญเปล่า ถ้าเกิดว่าเราจบแล้วไปทำงานบริษัทหรือไปทำอย่างอื่น และสิ่งที่ทำมาจะเป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรซักอย่างเพื่อเอาของที่พัฒนาส่งต่อไปให้ใช้ได้ และคนด้อยโอกาสสามารถที่จะเข้าถึงงานนวตกรรมได้ เลยออกมาทำและตั้งบริษัทเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา” ธีรพงศ์ กล่าวและว่า 

บริษัท ซีเมด เมดิคอล นับว่าเป็นสตาร์ทอัพกลุ่มแรกๆของไทยที่เกิดจากรั้วมหาวิทยาลัย เนื่องจากได้รับการบ่มเพาะจากโครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ที่สนับสนุนให้มีศูนย์บ่มเพาะในมหาวิทยาลัยและยังได้รับทุน Research Gab Fund มาช่วยในการปรับปรุงการผลิตทั้งหมดของระบบการปรับยืนให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน

“เราได้รับโอกาสค่อนข้างดี ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินธุรกิจปลอดภาษี 5 รอบปีบัญชี เราทำธุรกิจโดยไม่ต้องเสียภาษี 5 ปี โดยสินค้ารายการแรก คือ รถเข็นนั่ง-ยืนเป็นรถเข็นที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยบริษัทจะคุยรายละเอียดการใช้งานกับลูกค้าก่อน จากนั้นจะผลิตให้กับลูกค้าตามความต้องการรถเข็นนั่ง-ยืน เป็นรถเข็นที่ใช้สามารถรองรับผู้ใช้งานที่มีน้ำหนักไม่เกิน 90 กิโลกรัม ผู้ใช้งานสามารถปรับรถเข็นให้สามารถยืนได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำกายภาพบำบัดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น” ธีรพงศ์

ด้าน ผศ.ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงวีลแชร์ปรับยืน กล่าวว่า ปรกติรถเข็นคนพิการที่ปรับยืนได้ จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมีราคาแพงมากประมาณ 150,000-200,000 บาท ซึ่งผู้ป่วยน้อยรายที่จะหาซื้อมาได้ ดังนั้นเพื่อเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น นักศึกษาได้ประดิษฐ์รถเข็นปรับยืนซึ่งมีราคาที่สามารถซื้อได้

ธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเครื่องยก-เคลื่อนย้ายผู้ป่วย ที่สามารถใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงมานั่งบนรถวีลแชร์ หรือยานพาหนะได้ เป็นต้น 

“ถึงคุณจะทำรถเข็นดีที่สุดในโลก หากคุณไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงมานั่งบนวิลแชร์ หรือย้ายผู้ป่วยจากวิลแชร์ไปนั่งในรถหรือพาหนะอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเป็นรถเข็นที่ดี เราเลยทำอุปกรณ์เชื่อมกับรถเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หรือเครื่องยก-เคลื่อนย้ายผู้ป่วย” ธีรพงศ์ กล่าว

เพื่อรองรับการใช้งานที่ได้ประโยชน์สูงสุด บริษัทได้พัฒนารถเข็นนั่ง-ยืน และเครื่องยก-เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเดียวกับสินค้าจากยุโรป เพื่อรองรับการใช้งานทั้งในโรงพยาบาลและลูกค้าผู้ป่วยทั่วไป มีโรงพยาบาลที่มีการใช้วีลแชร์ของบริษัทดูแลผู้ป่วย อาทิ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลสวนดอก มากกว่า 20 ตัว วีลแชร์ของบริษัทมีราคาจำหน่ายที่ 37,450 บาท พร้อมรับประกันรถเข็น 2 ปี และเครื่องยก-เคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีราคาจำหน่ายที่ 48,150 บาทพร้อมรับประกัน 1 ปี โดยนับตั้งแต่ผลิตสินค้าสู๋ตลาดบริษัทสามารถจำหน่ายรถเข็นได้ประมาณ 700 ตัว และเครื่องยก-เคลื่อนย้ายผู้ป่วยมากกว่า 300 ตัว 

“จนถึงปัจจุบันรถเข็นปรับยืนใช้เวลาในการพัฒนาต่อเนื่องมากกว่า 14 ปี และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานและผู้ป่วย ก่อนที่ผู้ซื้อจะซื้อของเราไป ผู้ใช้จะต้องมั่นใจว่า เค้าซื้อไปแล้วใช้ได้จริง” ธีรพงศ์ กล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาการทำตลาดเครื่องยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและวีลแชร์ปรับยืน บริษัทจะทำตลาดในรูปแบบลูกค้าติดต่อมาโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทมีแผนที่จะปรับช่องทางการตลาดใหม่โดยเพิ่มจำนวนดีลเลอร์ในการทำตลาด และยังมีแผนที่จะให้บริการเช่ารถเข็นเพื่อไปใช้ตามบ้านด้วย โดยคาดว่าจะสามารถทำธุรกิจในรูแบบเช่าในต้นปีหน้า

นอกจากนี้ในช่วง COVID-19 บริษัทยังได้พัฒนาเครื่องทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบำบัดได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลหรือศูนย์กายภาพบำบัด 

“ผมมองว่า จนถึงปีหน้า ครอบครัวผู้ป่วยก็ยังไม่สามารถที่จะพาผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ไปทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์กายภาพบำบัดต่างๆได้ เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสมากยิ่งขึ้นเราก็ต้องทำอุปกรณ์สำหรับฝึกกายภาพบำบัดที่บ้านในท่ายืน เพื่อที่จะดูแลผู้ป่วยให้ได้มากยิ่งขึ้น โดยคนในครอบครัวสามารถช่วยทำกายภาพบำบัดเองได้ คาดว่าอุปกรณ์กายภาพบำบัดจะออกสู่ตลาดได้ในไตรมาสสี่ปีนี้ และบริษัทมีแผนที่จะต่อยอดการพัฒนาอุปกรณ์กายภาพบำบัดอื่นๆด้วย และผู้ป่วยยังคงต้องการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง” ธีรพงศ์ กล่าว

CMED ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น เพราะว่าถ้าไม่มีโควิดประเทศไทยก็กำลังจะเป็น Medical hub เนื่องจากประเทศไทยมีหมอที่เก่ง ปัจจุบันบริษัทเป็นคนไทยที่มีนวัตกรรมของตนเอง เป็นส่วนหนึ่งในความยั่งยืนของอุตสาหกรรม ความยั่งยืนทางการแพทย์ที่นอกเหนือจากการนำเข้า และมีทีมงาน R&D ที่มีศักยภาพมากในการพัฒนาและผลิตให้มากขึ้นนอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะให้บริการเช่า วีลแชร์ สำหรับผู้ป่วยด้วย คาดว่าจะเริ่มทดลองโครงการในไตรมาสสี่ปีนี้ก่อนที่จะให้บริการอย่างเป็นทางการในปีหน้าเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วย

ธีรพงศ์ กล่าวว่านอกจากจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วยในประเทศไทยแล้ว ยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่ซื้อไปใช้ด้วย อาทิ ลูกค้าจากประเทศกัมพูชา มาเลเชีย และบริษัทอยู่ระหว่างการหานักลงทุนและพันธมิตรเพื่อที่จะมาลงทุนและช่วยขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศโดยจะเน้นที่ประเทศ ลาว กัมพูชาและมาเลเชีย

ทั้งนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประชากรจำนวนทั้งสิ้น 66.18 ล้านคน และเป็นคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจำตัวคนพิการจำนวน 2,076,313 คนคิดเป็นร้อยละ 3.05 ของประชากรทั้งประเทศ โดยความพิการใน 3 อันดับแรกคือ ทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายมากที่สุดมากที่สุด จำนวน 1,032,455 คน คิดเป็นร้อยละ 49.73 รองลงมาเป็นความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จำนวน 391,785 คน หรือ คิดเป็นร้อยละ 18.8 และความพิการทางการเห็นจำนวน 191,020 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 9.20 

โดยผู้พิการส่วนใหญ่กว่า 1.1 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือวัยทำงาน อายุ 15-59 ปี ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายมากที่สุด

 

บทความแนะนำ

ก.ล.ต.เร่งปลดล็อกเพิ่มโอกาส SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน

ปัญหาสำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของผู้ประกอบการ SMEs คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้ และในภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น ตลาดทุนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเอสเอ็มอีในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กิจการ

“ก.ล.ต.ริเริ่มให้การส่งเสริมและสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้ตั้งแต่ปี 2562 ตามนโยบายของนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. ที่ต้องการให้ตลาดทุนเป็นของกิจการทุกประเภท โดยเฉพาะเอสเอ็มอีสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้เหมือนกิจการขนาดใหญ่” ไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 2 ก.ล.ต. กล่าวถึงนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีในช่วงที่ผ่านมา

 

3 ช่องทางระดมทุนเอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพ

ปัจจุบันก.ล.ต.ได้พัฒนาช่องทางการระดมทุนสำหรับเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ใน 3 ช่องด้วยกัน ได้แก่

  1. การระดมทุนจากผู้ลงทุนในวงจำกัด หรือ Private Placement (PP) 
  2. การระดมทุนจากประชาชนผ่าน Crowdfunding (CF) ผ่าน Funding portal ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.  
  3. การระดมทุนจากผู้ลงทุนในวงกว้าง โดยมีตลาดรองเพื่อรองรับการซื้อขายหุ้นเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ซึ่งแนวทางที่ 3 อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์

ไพบูลย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ก.ล.ต. พยายามแก้ไขข้อจำกัด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละช่องทาง เพื่อปลดล็อกให้เอสเอ็มอีสามารถระดมทุนผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น อย่างกรณี Crowdfunding ก.ล.ต.เปิดให้เอสเอ็มอีระดมทุนในรูปแบบหุ้นหรือหุ้นกู้ได้ ซึ่งได้รับความสนใจและเติบโตสูงในช่วงที่ผ่านมา และล่าสุดคือตลาดรองการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับเอสเอ็มอี เช่น ไม่ต้องมีที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่ต้องรายงานงบการเงินทุก 3 เดือน 6 เดือน แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนรับทราบ เป็นต้น

สำหรับเงื่อนไขการระดมทุนในแต่ละช่องทาง มีดังนี้ 

  1. ช่องทาง PP ผู้ระดมทุน เป็นบริษัทจำกัด ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ผู้ลงทุน เป็นทั้งนักลงทุนสถาบัน ธุรกิจร่วมลงทุน (VC) หรือ นักลงทุนอิสระ (Angel Investor) รวมถึงกรรมการและพนักงานของบริษัท และนักลงทุนรายย่อย ไม่เกิน 10 ราย และมูลค่าไม่เกิน 20 ล้านบาท
  2. การระดมทุนผ่านระบบ Crowdfunding ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการเงิน ที่เปิดให้ทั้งบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด สามารถระดมทุนจากประชาชนได้ผ่าน Funding portal ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในรูปของหุ้น หรือหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนเป็นสิ่งตอบแทน ซึ่งภายหลังการระดมทุนสำเร็จ ผู้เสนอขายจะต้องรายงานการใช้เงินลงทุนและความคืบหน้าของโครงการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
  3. การระดมทุนจากผู้ลงทุนในวงกว้างผ่าน SME Board โดยผู้ระดมทุนจะต้องเป็นเอสเอ็มอีหรือสตาร์ทอัพที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ที่มีผลการดำเนินงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือมีมูลค่ากิจการระดับหนึ่งแล้ว เช่น เอสเอ็มอีขนาดกลางตามคำนิยามของสสว. ส่วนผู้ลงทุน จะต้องมีความรู้และประสบการ์ระดับหนึ่งและสามารถรองรับความเสี่ยงได้ ซึ่งก.ล.ต.จะสรุปขั้นตอนการดำเนินงานของ SME Board ภายในปีนี้ และเริ่มซื้อขายได้ในปี 2565 เป็นต้นไป

 

กระตุ้น SMEs ใช้ช่องทางระดมทุนเสริมสภาพคล่อง

การระดมทุนผ่านช่องทางต่าง ๆ ของตลาดทุน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเอสเอ็มอีลดต้นทุน โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ยิ่งในภาวะวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้น เอสเอ็มอีมีปัญหาสภาพคล่อง การระดมทุนถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยช่องทางแหล่งทุนของก.ล.ต.สามารถเข้าไปเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้ประกอบการได้ ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการอยู่ในลักษณะกิจการแบบใด ขนาดกิจการ ที่เหมาะสมกับช่องทางการระดมทุนแบบใด

สำหรับยอดการระดมทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในช่องทางต่าง ๆ ของก.ล.ต. ตั้งแต่ปี 2562 – สิงหาคม 2564 มีดังนี้ การระดมทุนแบบวงแคบ (SME-PP) มีมูลค่ารวม 204.08 ล้านบาท การระดมทุนผ่านระบบคราวด์ฟันดิง มูลค่ารวม 479.97 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการระดมทุนแบบหุ้นกู้ถึง 421.89 ล้านบาท ถือเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมและเติบโตเพิ่มขึ้นตามลำดับ

“เราพยายามอัพเดทสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ พยายามหาช่องทางใหม่ ๆ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก และง่ายมากขึ้น โดยไม่สร้างภาระทางการเงินให้ผู้ประกอบการ อย่างการออกโปรดักส์ใหม่ล่าสุด Real Estate-backed ICO หรือโทเคนดิจิทัล ที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง” ไพบูลย์กล่าว

Real Estate-backed ICO เป็นการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในตลาดทุนเพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน Real Estate-backed ICO เป็นการระดมทุนที่มีสินทรัพย์รองรับ โดยผู้ออก Real Estate-backed ICO สามารถนำเงินที่ระดมทุนได้จากการออก ICO ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้ 3 วิธี คือ 

  1. ซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นโดยตรง 
  2. ซื้อหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงไม่น้อยกว่า 75% ของบริษัทที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้น
  3. ลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์

นี่เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมการลงทุนใหม่ ๆ ที่สำนักงาน ก.ล.ต. พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ก้าวทันเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกใหม่ ๆ ในการระดมทุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนกิจการขนาดต่าง ๆ รวมถึง SMEs ให้เติบโต และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างเพียงพอเหมาะสม ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญที่ ก.ล.ต. ยึดมั่นมาโดยตลอด

บทความแนะนำ

อย.เพิ่มช่องทางออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ยุค New Normal

อย.ที่คนทั่วไป เรียกว่า  “อย.=เอายาก” นั้น ต่อไปนี้ จะไม่มีคำนั้นอีกต่อไป หลังเดือน กันยายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะปรับระบบการยื่นขอเลขทะเบียนผ่านทางช่องทางออนไลน์100% และสามารถอนุมัติภายในวันเดียวรับใบอนุญาตผ่านระบบอิเลกโทรนิกส์ได้ทันที 

เนาวรัตน์ แตงไทย นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กองอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  กล่าวว่า ภายใยเดือนกันยายน 2564 การยื่นขออนุญาตจะเป็นระบบออนไลน์ทั้งหมด และหากรายละเอียดที่ขอไม่ซับซ้อนไม่ยุ่งยาก การพิจารณาจะแล้วเสร็จภายใน 1วัน และสามารถรับใบรับรองผ่านอิเลกโทรนิกส์ได้ทันที 

“รัฐต้องไม่เป็นอุปสรรคกับผู้ประกอบการ รัฐต้องเข้าไปแก้ไขอะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรค อะไรที่เป็นอุปสรรค เราก็จะต้องลดอุปสรรค ตรงนั้นไปเช่น คนมองว่า อย. ว่า “เอายาก”  เราต้องมองว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น คนมองว่าเอกสารมากระยะเวลาพิจารณานาน ขอไม่ได้สักที ใช้เวลาเป็นปี  

ดังนั้นถ้าเราพัฒนาการยื่น ใช้ระบบการยื่นออนไลน์เราออกแบบเหมือนยื่นภาษีเลย / ถ้าต้องการเพิ่มเอกสารก็ส่งเอกสารตามไฟล์แนบ อัพโหลดไฟล์เข้ามาได้เลย นอกจากนี้ยังมีการแบ่งกลุ่มอาหาร แบ่งประเภทอาหาร เช่นอาหารที่ไม่เสี่ยง/ อาหารที่เสี่ยงปานกลาง  / เสี่ยงต่ำ /เสี่ยงสูง ทำการแยกกลุ่มออกมา หรือ อาหารที่ไม่เสี่ยงเลยก็จะพิจารณาได้รวดเร็วขึ้น พิจารณาอนุญาตโดยระบบออนไลน์ และออกใบอนุญาตเป็น E-Certificate อาจจะ วันเดียวหรือสองวัน / ถ้าจ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อยก็จะออกเลข อย.ให้ได้เลย และสามารถ พิมพ์ ได้ใน วันเดียว เรามองว่า เราไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป เนาวรัตน์ กล่าว

สำหรับระบบการยื่นออนไลน์ 100% ระบบจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564 แต่การอนุญาตอาจไม่100% เพราะบางอย่างต้องดึงข้อมูลมาดู เช่น นมทารก มันจะค่อนข้างเสี่ยง เพราะเด็กแรกเกิด ต้องเอาข้อมูลมาดู อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี/วิสาหกิจชุมชน ก็คงไม่มายื่นขอเรื่อง นมสำหรับทารก กลุ่มเอสเอ็มอี น่าจะยื่นขอในกลุ่มแรก คือกลุ่มอาหารที่ไม่เสี่ยง และถ้าอยู่ในต่างจังหวัด และไม่สะดวกในการยื่นออนไลน์ ก็สามารถไป ยื่นได้ที่สาธารณสุขจังหวัดได้ทุก และ ถ้าไม่เข้าใจขั้นตอน การยื่น เราก็จะแขวนคู่มือประชานไว้หน้าเวปไชด์อย.  ขั้นตอนยื่น/ขั้นตอนเตรียมเอกสาร เป็นต้น 

แน่นอนว่าการเพิ่มความสะดวกให้กับ SMEs ในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับตัวในส่วนของผู้ให้บริการในยุค New Normal ได้เป็นอย่างดี

บทบาทของอย. นอกจากขจัดสิ่งที่คิดว่าเป็นอุปสรรคแล้ว ก็ยังทำหน้าที่ส่งเสริม วิสาหกิจชุมชนขนาดย่อยเพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีและการผลิตที่ได้มาตรฐาน  โดยมีโครงการพัฒนาวิสาหกิจ จัดอบรม สัมมนา เช่นปี 2564 ทางกองอาหาร มีนโยบายไปพัฒนาพืชท้องถิ่น เช่นชาจากพืช หลังจากที่เมื่อปี 2563อย.ได้ลงไปสำรวจ รวบรวมพืชท้องถิ่นที่ดื่มได้เหมือนชา และได้ประกาศในราชกิจจาว่ามีพืชท้องถิ่น 200 กว่าชนิด ที่นำมาดื่มเป็นชา เดิม เดิมมีชาสมุนไพรตามประกาศเพียง 18 ชนิด หลังจากเราลงไปสำรวจ ก็พบว่ามีพืชที่ชาวบ้านเอามาชงดื่มแบบชาเยอะมาก และเราได้เปลี่ยนคำว่า พืชท้องถิ่น ที่ชงดื่มดื่มแบบชา พอสำรวจเสร็จก็ออกประกาศ พืชท้องถิ่นที่เอามาชงดื่มได้ 201 ชนิด ในปี 2564

หลังจากนั้นเราก็เข้าไปอบรมวิสาหกิจชุมชน  ให้คำแนะนำ ว่าพืชชนิดนี้เหมาะทำชาแบบใด หมัก/ตากแห้ง หรือบ่ม และควรใช้กรรมวิธีใดถึงจะได้รสชาติที่ดีที่สุดและถูกสุขอนามัย  โดยทำได้ภาคละ 50 แห่ง พอออกประกาศพืชท้องถิ่น ชาวบ้านที่เขาทำ เขาพยายามที่จะเข้าร่วมโครงการ อย. โดย อย. ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด วิสาหกิจชุมชน สามารถพัฒนาสถานที่ผลิต เอาเทคโนโลยี GMP เข้าไป ไปให้วิสาหกิจชุมชน ใช้ ให้เข้ามาตรฐาน เช่น ชาใบหม่อนกรรมวิธีโดยการผลิตเดิม ๆ อาจจะใช้ไม่ได้ พืชชนิดนี้ควรใช้หมัก /ใช้บ่ม /หรือตากแห้งก็พอ รสชาดจะไม่เหมือนกัน ในแต่ละพืช พอไปทำตรงนั้นผู้ประกอบการก็เข้ามา และถ้ารายเล็กเกินไป ทุนรอนไม่ไม่มี ทางอย. ก็จับมือกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank จะมีดอกเบี้ยพิเศษ และมีการให้คำปรึกษา การวางแผนธุรกิจ ด้วย

“เราช่วย SMEs รายเล็กๆ ให้ ได้มาตรฐาน เข้าถึงการขอเลข อย.  มาตรการการผลิต  รู้แหลงเงินทุน รู้วิธีการผลิต  รู้วิธีการจำหน่าย เนาวรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ ทางอย. ยังหาช่องทางจัดจำหน่าย ด้วยการทำความร่วมมือกับ ไปรษณีย์ไทย ที่เขามีตลาด Thailand Post mart เราก็พยายามทำครบวงจรให้ แต่ในปี 2564 อาจจะเจอปัญหา เพราะโควิด เราลงพท.เมื่อมีนาคม แต่ตอนนี้เราไม่สามารถลงไปได้ /วิสาหกิจชุมชนที่เข้าโครงการกับอย. ทางไปรษณีย์ไทยเขาก็ลดค่าขนส่งให้ด้วย

เนาวรัตน์ กล่าวต่อว่า วิสาหกิจชุมชนที่เป็นรายเล็ก เขาจะขาดเทคโนโลยี และการจะเข้าถึงการส่งออกไปต่างประเทศ ก็ค่อนข้างน้อย  แต่ทางอย. ก็พยายามจะเผยแพร่ให้ความรู้ โอกาสที่จะพัฒนาสินค้าไปยังต่างประเทศ 

อย่างไรก็ตาม  มาตรฐาน GMP เราปูพื้นฐานมาตั้งแต่ปี 2543 ผู้ประกอบการก็ไมได้มีปัญหา เพราะต้องทำให้ผ่านเกณฑ์ มันเป็นภาคบังคับอยู่แล้ว พออย.ออกใบอนุญาตให้ เขาก็ต้องรักษาสถานที่ทุกอย่างให้เหมือนเดิม 3 ปีก็มาต่ออายุครั้งหนึ่ง 

สำหรับบ้านเราถ้าใครจะนำเข้าอาหาร อย่างน้อยต้องได้มาตรฐาน เทียบเท่า GMP อย. หรือสูงกว่า ด้วย GMP Codex มาตรฐานสากล 

นอกจากนี้หน้าที่อย. อีกอย่างคือ  การออกใบรับรองให้ผู้ประอบการที่ต้องการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ  เช่น ถ้าจะส่งออกไปหลายๆ ประเทศ  และต้องการมีใบอนุญาตการันตีโดยอย. หรือให้ อย.การรันตีสูตรอาหารที่/ขายที่ประเทศไทย ว่าเหมือนกับที่จะส่งออก และวัตถุดิบส่วนผสไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายของประเทศของเขา  เราก็จะออกใบรับรอง การผลิตผลิตภัณฑ์ หรือ Certificate of Manufacturer, Certificate of Ingredient (หนังสือรับรองสูตรส่วนประกอบ) Certificate of Free Sale าหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ ปีหนึ่งๆ ก็ประมาณ 7-8 พันฉบับ ส่วนใหญ่ไปสนับสนุนการส่งออก 

SMEs ระดับกลางกับการส่งออกไม่ค่อยมีปัญหา เขาไม่มีปัญหาในเรื่องการยื่นอย. หรือการส่งออก แต่สถานการณ์โควิด ทำให้เขามีปัญหา ผู้ประกอบการหลายรายไม่ต่อใบอนุญาต ออฟฟิสปิดกิจการ ผู้ประกอบการเขาไม่ไหว สินค้าส่งออกไมได้ ต้องมาแบกรับค่าจ้างแรงงาน เนาวรัตน์ กล่าว

บทความแนะนำ

NIA ตั้งเป้าพัฒนา 100 สตาร์ทอัพ สู่ New S-Curve ผ่าน Deep Tech

การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับและขับเครื่องอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรืออุตสาหกรรม NewS-Curve เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตเป็นสิ่งที่หลายประเทศมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการเติบโตในอุตสาหกรรมอนาคตใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืน สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ เป็นหน่วยงานที่บูรณาการระบบสตาร์ทอัพของไทย (System integrator) ที่สนับสนุนในการสร้างระบบนิเวศน์ของสตาร์ทอัพ (Startup ecosystem) ให้มีการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ กับภารกิจหลักในการพัฒนา สนับสนุน และส่งเสริมให้สตาร์ทอัพ ของไทย ก้าวไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่สามารถรองรับ อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรืออุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve)

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่าปัจจุบัน NIA ได้สานรับนโยบายคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ ช่วงก่อนโควิดและระหว่างโควิดในเรื่องของการพัฒนา 300 สตาร์ทอัพที่พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technology Startup หรือ Deep Tech Startup) และการขยายโอกาสทางนวัตกรรมออกสู่ภูมิภาค โดยมีแนวทางในการสนับสนุนสตาร์ทอัพในภูมิภาค4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคใต้ 

สำหรับการสนับสนุนเพื่อกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพในภูมิภาคนั้น NIA มีการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรม ภายใต้แคมเปญ “เสริมพลังสร้างโอกาสทางระบบนวัตกรรมภูมิภาค (Empowering Regional Innovation System)” เพื่อกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพในภูมิภาคต่างๆ สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรมได้อย่างเท่าเทียมทั้งด้านองค์ความรู้ แหล่งเงินทุน และเครือข่าย และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นภายในพื้นที่ เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ ให้กับคนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน 

NIA จะเน้นการเสริมพลังและสร้างโอกาสนวัตกรรมท้องถิ่นผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งเอกชน รัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างให้จังหวัดหัวเมืองกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในระดับภูมิภาค และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพในพื้นที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการส่งเสริมให้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยหรืองค์ความรู้ที่มีอยู่ในห้องถิ่น ให้เกิดการจ้างงานภายในภูมิภาคเพื่อสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสทางนวัตกรรมในพื้นที่ รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกในภาคธุรกิจให้มากขึ้น” ดร. พันธุ์อาจ กล่าว

อย่างไรก็ตาม NIA ได้ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้ครอบคลุมในทุกมิติ ผ่าน 7 เครื่องมือดังต่อไปนี้

  1. Incubator/Accelerator ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน เพื่อให้ความรู้ บ่มเพาะ และเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ เช่น โครงการ AgGrowth, Space F
  2. Investment โดย NIA จะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้เข้าถึงแหล่งลงทุนมากขึ้น ผ่านเครือข่ายนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
  3. Innovation Organization / Digital / Transformation เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรมีการใช้ระบบดิจิทัล หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจตัวเองให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม รวมถึงการใช้เครื่องมือในการประเมินองค์กรนวัตกรรม
  4. SID หรือหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม เพื่อบ่มเพาะ ยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถด้วยการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือผู้ที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมจนสามารถพัฒนาแนวคิดสู่ต้นแบบหรือโครงการนำร่องได้ ซึ่งปัจจุบันมี 8 แห่ง กระจายอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
  5. Grant เงินทุนอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ ผ่านกลไกการสนับสนุนของ NIA หรือ สถาบันการเงินพันธมิตร ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  6. Region/Innovation Hub/Innovation District เพื่อสร้างให้เกิดการทำงานร่วมกันในแบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นการสร้างศักยภาพให้แก่พื้นที่นั้นๆ โดยการสร้างนวัตกรรมเชิงพื้นที่จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย 
  7. Entrepreneurial University การส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นผู้ประกอบการในระดับมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจในการทำธุรกิจนวัตกรรม สามารถสร้างโมเดลการทำธุรกิจใหม่ผ่านเครือข่ายมหาวิทยาลัยหลักๆ ตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศ เพื่อกระจายความรู้และโอกาสไปยังท้องถิ่น

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวถึง การสนับสนุนสตาร์ทอัพในสถานการณ์โควิด-19 ว่า NIA ให้ความสำคัญในการดูแลสตาร์ทอัพที่มีปัญหา เช่น สตาร์ทอัพทางด้านการท่องเที่ยว มีการให้คำปรึกษาในการปรับแผนธุรกิจ (Business model) ให้สตาร์ทอัพรีแบรนด์ หรือมีการพัฒนานวัตกรรมอีกครั้ง เพื่อรองรับ New normal รวมถึงกลุ่มที่มีโอกาสสูง เนื่องจากเป็นสตาร์ทอัพกลุ่มที่สร้างงานและทำให้เกิดการเติบโตสูง เช่น มีการช่วยหานักลงทุนมาลงทุน เป็นต้น

เราก็ช่วยได้ไม่หมด เราช่วยได้บางรายเท่านั้น ที่มีศักยภาพและมีความยืดหยุ่น (Flexible) ในการปรับตัว และบางกลุ่มมีการเติบโต อาทิ สตาร์ทอัพ ทางด้านเกษตร อาหาร และการแพทย์ เป็นต้นสำหรับการสนับสนุนสตาร์ทอัพในการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep technology มีการนำการวิจัยมาต่อยอดการพัฒนา มีการหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ” ดร. พันธุ์อาจ กล่าวและว่า 

สำหรับแผนในการช่วยสตาร์ทอัพขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศนั้น NIA จะร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ โดยนำบริษัทสตาร์ทอัพไป ร่วมลงทุน (Joint venture) เพื่อรองรับการทำตลาดต่างประเทศ อาทิ ประเทศฟินแลนด์ สวีเดน และฝรั่งเศส 

“เราทำงานร่วมกับสถานฑูตไทย ทำงานร่วมกับหน่วยงานในประเทศนั้นๆที่เค้าเป็นหน่วยงานนวัตกรรมแห่งชาติเหมือนเรา คือวัน วินวิน  เราก็ต้องเปิดให้เค้าเข้ามาด้วยแล้วเค้าก็ต้องเปิดให้เราเข้าไปด้วย อาทิ ประเทศโปรแลนด์  ที่จะนำนวัตกรรมของไทยไปต่อยอดได้ เรามีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์นวัตกรรม ที่คนอื่นเค้าไม่มี เช่น เรามีวิถีชีวิต มีไลสไตล์ของเราเป็นจุดแข็งของคนไทย” ดร.พันธุ์อาจ กล่าวและว่า 

ในส่วนของศักยภาพและการปรับตัวของภาคเอกชนนั้น สตาร์ทอัพมีการปรับตัวค่อนข้างไว เพื่อความอยู่รอดในอนาคต และมีการเรียนรู้กฎเกณฑ์ของตลาดเพราะพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างไว นอกจากนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงภาวะโลกร้อน จึงเป็นโอกาสในการนำนวัตกรรมไปตอบโจทย์ภัยคลุกครามต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิด Innovation base enterprise เป็นการประกอบการโดยเน้นนวัตกรรม หรือธุรกิจที่ผู้ประกอบการมุ่งเน้นนวัตกรรมมาช่วยในการดำเนินธุรกิจ

“สำหรับทิศทางและแนวโน้มสตาร์ทอัพที่กำลังเข้ามาในอนาคตมีหลายด้าน อาทิ พลังงาน แพทย์ทางไกล (Tele-medicine) เกษตรและอาหาร ที่จะใช้เทคโนโลยีที่มีความเข้มข้นมากขึ้นมาช่วยในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังจะมีการนำเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep technology) และนวัตกรรมใหม่ๆมาช่วยในการพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence หรือ AI) เทคโนโลยีอวกาศ การทหาร  Augmented reality หรือ AR ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Learning machine)เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotic) และ เทคโนโลยีที่สร้างความกลมกลืนระหว่างโลกในความจริงกับโลกจำลองแบบดิจิทัล (Immersive technology)มากขึ้น และสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก ต้องใช้เวลานานในการบ่มเพาะ และใช้เงินลงทุนสูงกว่าธุรกิจอื่นๆรวมถึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมหรือการแข่งขันเดิมในลักษณะหน้ามือเป็นหลังมือและผลกระทบสูงกว่าธุรกิจทั่วไป” ดร.พันธุ์อาจ กล่าว

อย่างไรก็ตาม NIA มีเป้าหมายที่จะสร้างและพัฒนาสตาร์ทอัพทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเชิงลึกประมาณ 300 ราย จาก 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น “นวัตกรรมเทคโนโลยีเชิงลึก” ได้แก่ เกษตร (Agritech) อาหาร (FoodTech) อารีย์ (AI, Robotic, Immersive; ARI) อวกาศ (SpaceTech) สุขภาพ (Healthtech) และ “นวัตกรรมเชิงคอนเท้นท์” ได้แก่ มาร์เทค (MARtech - ดนตรี/ศิลปะ/นันทนาการ) และการท่องเที่ยว/ไมซ์ (Traveltech & MICE)และสร้างสตาร์ทอัพที่อยู่ตามภูมิภาคจำนวน 3,000 รายในอีก 3 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่หรืออุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ได้อย่างยั่งยืน

บทความแนะนำ