AMARC ผู้ช่วยงานแล็บ ด้านการตรวจสอบส่วนผสม และคุณค่าทางโภชนาการอาหาร

AMARC ผู้ช่วยงานแล็บ

ด้านการตรวจสอบส่วนผสม และคุณค่าทางโภชนาการอาหาร

 

หากจะกล่าวว่า “เทคโนโลยี” คือตัวขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาวิจัยเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการพัฒนาคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าประเภทใหม่ๆ ของผู้บริโภค และเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน

                โดยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารของไทยจำนวนมาก เริ่มขยายตัวไปสู่ตลาดต่างประเทศซึ่งเป็นตลาดที่กว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นสนามแข่งขันที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขของการแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ผู้ประกอบการจึงต้องทำความเข้าใจในกฎหมายของประเทศที่จะส่งออกสินค้าของตน โดยที่สินค้านั้นต้องได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้า หรือกระบวนการผลิตตามที่กำหนด

นอกจากนี้ เรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้นได้

                ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยุคใหม่ มีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม บางกลุ่มใส่ใจเรื่องคุณภาพของอาหารเพื่อสุขภาพของตน บางกลุ่มต้องการอาหารที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตน เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่ผลิตจากธรรมชาติไม่มีวัตถุเจือปนอาหาร อาหารออร์แกนิค หรือ อาหารทางเลือกต่างๆ อย่าง Vegan Food, Keto Food อาหารท้องถิ่น หรืออาหารที่มีความแปลกใหม่ เป็นต้น

                วันนี้ผู้บริโภคยุคใหม่จำนวนมาก ยังให้ความสำคัญและมีความเข้าใจในลักษณะ และคุณภาพของอาหารมากขึ้น จึงต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด หรือเหนือกว่าที่กฎหมายกำหนด ผู้ผลิตอาจต้องมีกระบวนการผลิต หรือการดำเนินธุรกิจที่สร้างความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านสิทธิมนุษยชน

                ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมีความเข้าใจในผู้บริโภคเป้าหมาย และสามารถเลือกดำเนินการเพื่อให้สินค้าอาหารและบริษัทของตนตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการ และอารมณ์ที่ซับซ้อนของผู้บริโภคได้

                เอมาร์ค (AMARC) คือหนึ่งในผู้ช่วยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหาร เนื่องจากเอมาร์คเป็นแล็บชั้นนำระดับสากลด้านเกษตร อาหาร และยา ที่ให้บริการครบวงจร ทั้งการทดสอบ วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบเครื่องมือและอุปกรณ์ การตรวจและรับรอง การให้คำปรึกษา และการฝึกอบรม ครอบคลุมตั้งแต่ปัจจัยการผลิต ขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ โดยเอมาร์คมุ่งมั่นให้บริการเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และสนับสนุนธุรกิจให้สามารถเข้าถึงตลาด และโอกาสใหม่ๆ ด้วยความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์

คุณจารุวรรณ ลิ้มสัจจะสกุล ผู้อำนวยการสายศูนย์ห้องปฏิบัติการบริษัท AMARC กล่าวว่า AMARC มีบทบาทสำคัญต่อผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอาหาร ในฐานะผู้ให้บริการวิทยาศาสตร์ด้านการทดสอบวิเคราะห์ (Testing) และตรวจรับรอง (Inspection & Certification) สำหรับธุรกิจเกษตรอาหารเพื่อได้ผลผลิต และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI) ซึ่งจะทำให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และทำให้เกิดความมั่นคงด้านสุขภาพและความปลอดภัย  

                “สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบธุรกิจอาหารต้องรู้ และเข้าถึง มีอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องของข้อมูลผลิตภัณฑ์ สูตร หรือส่วนผสม 100% กรรมวิธีการผลิต คือทําอย่างไร ภาชนะบรรจุ หรือฝาปิดควรเป็นแบบไหน รวมถึงข้อมูลการใช้  วิธีการเก็บรักษา ผลิตภัณฑ์เก็บได้กี่วัน ใครทานได้ใครทานไม่ได้”

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของประเภทของอาหารตามกฎหมาย ความรู้และเข้าใจในข้อกําหนดที่ต้องทําตามกฎหมายอาหาร การขออนุญาตสถานที่ผลิต/นําเข้า การขออนุญาตผลิตภัณฑ์ การขออนุญาตโฆษณา (เผื่อต้องขอ) ต้องยื่นขออนุญาตที่ไหน อย่างไร นานเท่าใด และค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร รู้และเข้าใจข้อกําหนดที่ห้ามทํา ตามกฎหมายอาหาร (อาหารไม่บริสุทธิ์ ปลอม ผิดมาตรฐาน) และรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการพัฒนาต่อยอด

                กล่าวโดยสรุป คือ อาหารที่ดีต้องปลอดภัย สมประโยชน์ มีคุณภาพมาตรฐาน คุณค่าทางโภชนาการสมวัย และมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้าง กฎหมายจึงให้ความสำคัญกับสถานที่ผลิต ผลิตภัณฑ์ และการโฆษณาซึ่งผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจในข้อมูลต่างๆ เหล่านี้

                อีกเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญอันดับต้นๆ คือเรื่องของ ฉลากโภชนาการ หมายถึงฉลากอาหารที่มีการแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารนั้นอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Nutrition Information เพื่อระบุรายละเอียดของชนิด และปริมาณสารอาหารที่มีในอาหารนั้นๆ  ซึ่งประเทศไทยกำหนดให้มีฉลากโภชนาการ 2  แบบ คือ   

                แบบที่ 1 ฉลากโภชนาการตาม ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบบที่182 (พ.ศ.2541) เป็นประโยชน์ต่อผู้ใส่ใจสุขภาพ หรือผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง รูปแบบฉลากโภชนาการที่กำหนดนี้มี 2 รูปแบบ คือ 1) ฉลากโภชนาการแบบเต็ม จะต้องแสดงชนิดและปริมาณสารอาหารสำคัญที่ควรทราบจำนวน 15 ชนิด และ 2) ฉลากโภชนาการแบบย่อ ใช้ในกรณีที่สารอาหารตั้งแต่ 8 รายการ จากจำนวนที่กำหนดไว้ 15 รายการนั้นมีปริมาณน้อยมากจนถือว่าเป็นศูนย์ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงให้เต็มรูปแบบ

                แบบที่ 2 ฉลากโภชนาการแบบ GDA (Guideline Dairy Amount) หรือฉลากหวาน มัน เค็ม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 394 (พ.ศ. 2561) เนื่องจากปัญหาสุขภาพของประชาชนจากภาวะโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะโรคอ้วนโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง เป็นปัญหาระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ มีนโยบายลดการบริโภคอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม

โดยกฎหมายกำหนดให้อาหาร 13 ประเภท ต่อไปนี้ ต้องแสดงฉลากโภชนาการและฉลากหวาน มัน เค็ม ได้แก่

1) อาหารขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอด หรือข้าวโพดคั่ว 2) ช็อกโกแลต และขนมหวานรสช็อกโกแลต 3) ผลิตภัณฑ์ขนมอบ เช่น ขนมปังกรอบ แครกเกอร์ บิสกิต คุกกี้ 4) อาหารกึ่งสำเร็จรูป ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 210) พ.ศ.2543 เช่น ก๋วยเตี๋ยว กวยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น 5) อาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจำหน่าย 6) เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เช่น เครื่องดื่มที่มีหรือทำจากผลไม้ พืชหรือผักหรือไม่ใช่ 7) ชาปรุงสำเร็จ ทั้งชนิดเหลวและชนิดแห้ง 8) กาแฟปรุงสำเร็จ ทั้งชนิดเหลวและชนิดแห้ง 9) นมปรุงแต่ง 10) นมเปรี้ยว 11) ผลิตภัณฑ์ของนม 12) น้ำนมถั่วเหลือง และ 13) ไอศกรีมที่อยู่ในลักษณะพร้อมบริโภค

“กระบวนการตรวจสอบส่วนผสม หรือคุณค่าทางโภชนาการที่ว่านี้ เราเรียกว่า กระบวนการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ (Testing) สำหรับอาหารจะมีการทดสอบ             ด้านคุณภาพ เป็นการตรวจวิเคราะห์หาองค์ประกอบของอาหาร สารอาหาร วัตถุเจือปนอาหารนั้นว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อย่างไร และ ด้านความปลอดภัย เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนต่างๆ เช่น ด้านกายภาพ (เศษหิน ดิน ทรายและซากสัตว์) ด้านเคมีและฟิสิกส์ (โลหะหนัก สารเคมีกำจัดแมลง สารพิษจากเชื้อรา) ด้านเชื้อโรคต่างๆ และด้านการดัดแปรพันธุกรรมและสารก่อภูมิแพ้” 

                คุณจารุวรรณ กล่าวเสริมว่า ในการแสดงฉลากโภชนาการ GDA มีเงื่อนไขต่างๆ สามารถศึกษารายละเอียดได้จากประกาศของอย. โดยมีขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินการเรื่องฉลากโภชนาการ ดังนี้

                1) ผู้ประกอบการผลิตอาหารต้องศึกษา และทำความเข้าใจกฎหมาย เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ ที่จะผลิต จัดเป็นอาหารประเภทใดใน 17 ประเภท  และเป็นอาหารที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีฉลากโภชนาการและหรือฉลากโภชนาการหวาน มัน เค็มหรือไม่ สถานที่ผลิต เข้าข่ายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 420 (พ.ศ. 2563)เรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือที่ใช้ในการผลิต การเก็บรักษาอาหารกฎหมายกำหนด (GMP) และ โฆษณา หมายถึงฉลากและสื่อ

                2) ผู้ควบคุมการผลิตอาหารที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตร ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เช่น น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท น้ำแร่ธรรมชาติ และน้ำแข็งบริโภคที่ผ่านกรรมวิธีการกรอง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลวที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนโดยวิธีพาสเจอไรซ์ และอาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทชนิดที่มีความเป็นกรดต่ำและชนิดที่ปรับกรด

                3) การนำผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ โดยระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน

4) เมื่อได้ผลการทดสอบและฉลากโภชนาการ ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ระบุตามกฎหมายกำหนดแล้ว ต้องรวบรวมเอกสาร หลักฐานต่างๆ ตามข้อกำหนดการขอขึ้นทะเบียนอาหารนั้น

5) ยื่นขอขึ้นทะเบียนอาหารกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

กระบวนการตรวจสอบส่วนผสม หรือคุณค่าทางโภชนาการจะเกี่ยวข้องกับคน 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ผลิต ต้องมีกระบวนการผลิตที่ดี มีกระบวนการควบคุม ตรวจสอบตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้กระบวนการต่างๆ การเก็บรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพคงเส้นคงวา มีความปลอดภัยได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของกฎหมาย และมีสถานที่ผลิตที่ได้มาตรฐานการผลิตที่ดี (Good Manufacturing Practices) ตามที่กฎหมายกำหนด และ ฝ่ายห้องปฏิบัติการ ที่ทำหน้าที่ทดสอบที่ดีจะต้องมีสมรรถนะที่จะทดสอบนั้นๆ มีความเป็นกลางและการปฏิบัติงานที่คงเส้นคงวา

โดยปัจจุบัน AMARC มีระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับทั่วโลก คือ ISO/IEC 17025: 2017 - General requirements for the competence of testing and calibration laboratories

“โดยเฉพะความพร้อมในเรื่องของ สถานที่ ต้องมีการควบคุมสภาพแวดล้อม อุปกรณ์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการทดสอบต่างๆ ที่มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับการใช้งานและหากเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อ ชั่ง วัดต้องผ่านการสอบเทียบตามมาตรฐานสากล บุคคลากร ที่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ ประสบการณ์และผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี เพื่อให้เชื่อมั่นว่า มีความรู้ ความสามารถที่เหมาะในการทดสอบและระบบการทำงาน” คุณจารุวรรณ กล่าว

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

 

บทความแนะนำ

depa ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ช่วย Startup ยกระดับมาตรฐาน Product & Service

depa ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

ช่วย Startup ยกระดับมาตรฐาน Product & Service

            ดีป้า (depa: Digital Economy Promotion Agency) หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SME และ Startup มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับขีดความสามารถให้แข่งขันบนโลกธุรกิจได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในมุมของการพัฒนา Product & Service ของ Start Up ที่มีเป้าหมายเพื่อให้บริการกับ SME และภาคประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

                คุณสุชาดา โคตรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ กล่าวถึง บทบาทสำคัญและแนวทางการทำงานของดีป้า คือการมุ่งส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการนำเทคโนโลยีจากอุตสาหกรรมดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น Digital Provider หรือ Digital Startup ที่อยู่ในพอร์ตของทางดีป้ามาต่อยอด โดยดีป้าจะเป็นตัวกลางในการนำ Tech Solution ไปซัพพอร์ตให้กับ SME เพื่อให้เกิดการจับคู่กันระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ และสามารถนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือลดต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น

                “โดยดีป้าจะมองเป็น 2 มุม คือมุมของ SME ที่อยู่ในฝั่ง Service Provider หรือ Digital Provider ซึ่งในแผนระยะสั้น จะเน้นการพัฒนาคนกลุ่ม Service Tech เพื่อสร้างมาตรฐานทางด้านดิจิทัลที่สามารถไปตอบโจทย์ด้าน Real Sector ได้ เช่น การพัฒนาด้านดิจิทัล ISO 29110 หรือในกลุ่ม Information Security Management ด้านข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับแผนของประเทศไทยที่จะเริ่มคุ้มครองข้อมูลในระบบดิจิทัลมากขึ้น โดยการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลเซอร์วิสให้มีมาตรฐานมากขึ้น อีกช่องทางหนึ่งคือเราจะพาคนกลุ่มนี้ไปสู่แพลตฟอร์ม Tech Hunt ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลสที่รวบรวมโซลูชั่นส์ต่างๆ ไว้เพื่อให้ SME ในฝั่งของผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ว่าปัจจุบันมีการให้บริการดิจิทัลในด้านใดบ้าง เพื่อไม่ถูกหลอกลวง เพราะดีป้าจะเสมือนเป็นตัวกลางในการกรองข้อมูลให้ก่อน”  

                อีกมุมหนึ่ง คือกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็น SME มีต้องมีการส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยี โดยดีป้ามีเครื่องมือในการส่งเสริมอยู่ 2 แบบ คือ Depa Digital Transformation Fund สำหรับ SME ไซส์ S หรือ M เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการลงทุนการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ อาทิ ระบบ ERP หรือ MRP สำหรับธุรกิจโรงงาน อีกเครื่องมือหนึ่ง คือ Depa mini Transformation Voucher สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย หรือกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจที่มีการใช้ดิจิทัล ซึ่งเป็นคูปองส่วนลดเพื่อมาใช้บริการซอฟต์แวร์ในแพลตฟอร์ม Tech Hunt ถือเป็นการสนับสนุนในรูปแบบเงินให้เปล่าสูงสุด 100% ในวงเกินไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารขนาดเล็กสามารถใช้คูปองเข้าไปซื้อโปรแกรม POS เพื่อทำระบบ Payment หรือใช้บริการระบบอีคอมเมิร์ชเพื่อซัพพอร์ตการทำธุรกิจของตน เป็นต้น

                นอกจากนี้ ดีป้ายังมีการเสริมสร้างพัฒนาทักษะในรูปแบบ Learning Platform ที่ SME สามารถเข้าไปเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี หรือการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อการสร้าง Content หรือเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือที่ได้เลือกซื้อไป เหมือนเป็น Digital Literacy ให้กับทาง SME ทั้งในรูปแบบการจัดเวิร์คช็อป และการเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์

คุณสุชาดา กล่าวเสริมถึง แผนการให้ความช่วยเหลือในระยะยาว ดีป้าจะเน้นการพัฒนา Ecosystem ให้กับ SME เช่น การเข้าถึงการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐอย่าง สสว. หรือ สวทช. รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่มีบทบาทในการส่งเสริม SME เพื่อทำให้เกิดการสนับสนุน และการต่อยอดโครงการระหว่างหน่วยงานโดยไม่ทำให้เกิดการทับซ้อนกันในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมเพื่อทำให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้

                “นอกจากการทำกิจกรรมที่เป็นอีเวนต์เพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) อย่างโครงการ HACKaTHAILAND ดีป้ายังมีแผนงานในการจัดทำหลักสูตรสำหรับการพัฒนาทางด้าน Digital Literacy หรือ Digital Skill ให้กับภาคอุตสาหกรรม เช่น การสร้างพาร์ทเนอร์ ด้วยการร่วมมือกับทางประเทศญี่ปุ่นที่ทำเรื่องของ Lean Automation เพื่อให้ SME ในภาคการผลิตสามารถเข้ามาพัฒนาทักษะทางด้านการใช้ IoT เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร รวมถึงการพัฒนาทักษะทางด้าน Manpower โดยร่วมกับทางสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่จะมีการทำโปรแกรมการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี”

                คุณสุชาดา ย้ำว่า สำหรับแผนงานของดีป้าในปีนี้ ยังคงโฟกัสไปที่เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลที่จะไปตอบโจทย์ด้าน Real Sector เพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำไปใช้งานในมุมของ SME ขณะเดียวกันการพัฒนา Ecosystem ของ Startup จะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับทาง VC (Venture Capital) จากต่างประเทศ ในการเร่งการลงทุนเพื่อทำให้ Startup มีการเติบโตขึ้นอย่างมีศักยภาพ รวมถึงการจัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะสร้างความเข้าใจในเรื่องการทำธุรกิจ ที่ส่งผลต่อการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หรือตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งเป็น Ecosystem ที่ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง   

 ปัจจุบันประเทศไทยมี SME อยู่ประมาณ 3 ล้านรายทั่วประเทศ เป็นกลุ่มที่เริ่มใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลมากถึง 60% จากการทำเรื่องของอีคอมเมิร์ช แต่ที่ผ่านมายังเป็นการใช้งานแพลตฟอร์มต่างประเทศเป็นหลัก ดีป้าจึงพยายามช่วยผลักดันให้ส่วนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 30% ได้ปรับตัวและใช้งานเทคโนโลยีกันมากขึ้น ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มี SME อยู่ประมาณ 3 แสนกว่าราย ที่ยังไม่ขึ้นมาในระดับ Semi Auto ซึ่งดีป้าต้องการให้มีอย่างน้อยๆ ประมาณ 50% ที่จะขยับเข้ามาใช้ดิจิทัลมากขึ้น

สำหรับ Startup ที่เป็นกลุ่มผู้ให้บริการ Tech Solution ปัจจุบันในพอร์ตของดีป้ามีการขึ้นทะเบียนอยู่ประมาณ 400 ราย เป็นเซอร์วิสที่สามารถตอบโจทย์กับภาคธุรกิจได้แล้ว ในส่วนนี้ดีป้าต้องการผลักดันให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% คาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมี Startup เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 100 - 200 ราย ที่สามารถให้บริการทางด้าน Real Sector ได้มากขึ้น และดีป้ามองว่า กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ยังต้องพัฒนาทั้งในด้านทักษะ และพัฒนาโซลูชั่นส์ต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ Real Sector ได้มากขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำโครงการ HACKaTHAILAND เพื่อให้สามารถรู้ได้ว่า โซลูชั่นส์เหล่านั้นจะสามารถไปตอบโจทย์ Real Sector ได้หรือไม่

ในส่วนของ SME ที่เป็นผู้ใช้งาน Tech Solution ต่างๆ เริ่มมีศักยภาพการใช้งานที่มากขึ้น อาจเป็นเพราะสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เกิดการปรับตัวและมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นแต่ก็ยังมีการใช้ไม่เต็ม 100% ซึ่งเรื่องที่ต้องปรับตัวมากที่สุด คือการพัฒนาที่ต้องมีการนำ Big Data มาใช้มากขึ้น เพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเกิดความแม่นยำมากขึ้น สามารถเซอร์วิสได้รวดเร็วยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคของ Post COVID-19 ที่ส่งผลให้มุมมองการทำธุรกิจเปลี่ยนไป SME จึงต้องมีการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าว

“ความท้าทายของดีป้า จึงเป็นเรื่องของการเร่งผลักดันให้ SME มีการปรับตัวได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งดิจิทัลจะทำให้ SME สามารถปรับตัวได้ถึง 3 เรื่อง คือ Speed ทำให้สามารถการออกสินค้าและบริการได้ตรงโจทย์ของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น Cost Leadership ที่สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดของเสียได้ และ Differentiation เป็นผลจากการนำดิจิทัลไปใช้งานเพื่อสร้างความแตกต่าง และมีการนำเสนอผ่านทาง Content หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยการให้บริการ หรือการออกแบบสินค้าใหม่ ถือเป็นความท้าทายที่เราจะต้องเข้าไปซัพพอร์ต SME เพื่อให้เขาสามารถปรับตัวในโลกดิจิทัลได้ทันเวลา” คุณสุชาดา กล่าว

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

AccRevo ง่าย ครบ จบ เรื่องการทำบัญชี ตัวช่วย SMEs ในยุคดิจิทัล

AccRevo ง่าย ครบ จบ เรื่องการทำบัญชี

ตัวช่วย SMEs ในยุคดิจิทัล

 

                ยุคที่ธุรกิจต้องการความรวดเร็วแม่นยำเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน การติดอาวุธเสริมความแข็งแกร่งให้องค์กรเป็นสิ่งสำคัญ "AccRevo” หรือ Accounting Intelligence Platform เป็นแพลตฟอร์มบัญชีดิจิทัล on Cloud สำหรับ SMEs ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ช่วยให้ผู้ประกอบการจัดการงานเอกสารได้ง่าย สะดวก และประหยัดต้นทุนธุรกิจ

เพราะทราบดีว่าปัญหาเรื่องบัญชีเป็นเรื่องหนึ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับผู้ประกอบการ คุณนวลศิริ วรเมธาวิวัฒน์ ผู้บริหารบริษัท เอ็น.อาร์.กรุ๊ป แอดไวซอรี่ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้ง AccRevo อธิบายว่าแนวคิดในการทำแพลตฟอร์ม AccRevo มาจาก Pain Point ที่ว่าผู้ประกอบการไม่มีความรู้เรื่องบัญชีในการทำธุรกิจ ทำบัญชีไม่ถูกต้อง ทำบัญชีไม่เป็น ออกเอกสารทางบัญชีผิดพลาด ส่งผลกระทบถึงการเสียภาษี

“แนวคิดในการทำ AccRevo ของเราคือด้วยความที่เราเบสสำนักงานบัญชีเรื่องที่เราจะพบอยู่บ่อยๆคือในสำนักงานบัญชีลูกค้ามักส่งเอกสารช้ากับลูกน้องในสำนักงานไม่สามารถเทร็กได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Turn over ที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นการส่งมอบงานก็จะเป็นปัญหาค่อนข้างมาก เราจึงจับเอา Pain Point ตรงนี้มาดีไซน์เป็นตัวแพลตฟอร์ม”

ดังนั้นด้วยระบบบัญชีที่ผ่านมาตรฐานจากกรมสรรพากร มีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในการสร้าง จัดเก็บ เอกสารธุรกิจ และสามารถส่งไปยังคู่ค้า สำนักงานบัญชีหรือแผนกบัญชีได้ง่ายเพียงคลิกเดียว ทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจความถูกต้องของข้อมูล รูปแบบงบการเงินและรายงานทางการเงินที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการค้นพบนักบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าด้วยข้อมูลช่วยบริหารที่เข้าใจง่าย ถูกต้อง ทันเวลา ผู้ประกอบการไม่ต้องปวดหัวกับงานบัญชี  ภาษีอีกต่อไป

เรียกได้ว่า AccRevo เป็นแพลตฟอร์มบัญชีดิจิทัลที่ ง่าย ครบ จบ เรื่องการทำบัญชี

โดยผลิตภัณฑ์ของ AccRevo แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ AccRevo Accistant จะมีหน้าแสดงผลเป็น Dashboard ให้ผู้ประกอบการเห็นทันทีว่าวันนี้กำไรหรือขาดทุน มีรายรับมากกว่ารายจ่ายหรือเปล่า มีเงินคงเหลือในบัญชีเท่าไหร่ หรือกำไรที่ผ่านมา 6 เดือนเป็นอย่างไร

อีกทั้งยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าบริษัทมีค่าใช้จ่ายเท่านี้ รายได้ประมาณนี้ มีเงินในบัญชีเหลือเท่าไร ที่สำคัญสามารถมอนิเตอร์ได้ว่าตอนนี้มีลูกหนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ และค้างชำระนานแค่ไหน รวมถึงการแสดงข้อมูลในฟากของเจ้าหนี้ด้วยว่า เราจะต้องจ่ายใคร จ่ายเมื่อไหร่ กำหนดการจ่ายช่วงไหน โดยผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจสามารถที่จะเข้ามาดูข้อมูลได้ทันทีเพียงคลิกปุ่มเดียวในช่วงสิ้นเดือน ข้อมูลที่อยู่ในระบบจะถูกส่งไปที่แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นบริการที่ 2 ที่เรียกว่า AccRevo The Book เพื่อใช้ในการออกงบที่สามารถมองเห็นข้อมูลทั้งหมดที่ได้ออกเอกสารไปได้ทันที

รวมถึงเอกสารแนบที่ได้ทำการบันทึกไว้ทำให้นักบัญชีสามารถทำงานต่อได้ทันทีโดยระบบจะมี AI และเทคโนโลยีในการช่วยบันทึกบัญชีเบื้องต้น ช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชี สามารถออกงบได้ทันที และสามารถเรียกดูข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงินได้ด้วย AccRevo The Book ยังได้รับการรับรองซอฟต์แวร์มาตรฐานจากกรมสรรพากร

โดยงบตัวนี้ยังสามารถนำไปกรอกใน e-Filling สำหรับยื่น Submit ให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือ DBD และสรรพากรได้ทันทีทำให้สะดวกและรวดเร็ว เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการ Transform ตัวเองเข้ามาใช้เทคโนโลยีอย่างง่ายดาย มีค่าใช้จ่ายต่ำในราคาเพียง 8,000 บาทต่อปี เฉลี่ย 21 บาทต่อวัน

สำหรับความต่างของ AccRevo กับโปรแกรมบัญชีออนไลน์อื่นคือการเปลี่ยนประสบการณ์การทำบัญชีใหม่ โดยแบ่งการทำงานระหว่างระบบสำหรับการจัดการเอกสารทางการเงิน และระบบสำหรับการบันทึกบัญชีออกจากกันเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้สะดวก มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ซึ่งระบบของ AccRevo เป็นการทำงานผ่านเว็บไซต์ ผู้ประกอบการสามารถใช้งานระบบได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรม นอกจากนี้ยังสามารถเข้าใช้งานได้ทุกที่ เพียงแค่มีอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งการทำงาน on cloud 100% ช่วยให้หมดกังวลเรื่องโปรแกรมบัญชีโดนไวรัส หรือข้อมูลในโปรแกรมสูญหาย

“จุดเด่นของเรานอกจากเรามีแพลตฟอร์มแล้วถ้าลูกค้าต้องการที่จะทำบัญชีด้วย เราก็มีสำนักงานบัญชีคุณภาพให้บริการสามารถสนับสนุนให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะบางทีลูกค้าอาจจะมีปัญหาว่านำระบบไปใช้แล้วพนักงานบัญชีทำไม่ได้ ตรงนี้จึงไม่ต้องกังวลเพราะเรามีคนที่ใช้แบบฟอร์มเราได้และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้า และนักบัญชีของเราสามารถสื่อสารข้อมูลเชิงธุรกิจได้ด้วย”

คุณนวลศิริ เสริมว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิชาชีพบัญชีสำหรับอนาคตนักบัญชีต้องมีความเข้าใจใน Business Model มากขึ้นเนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว รวมถึงต้องเข้าใจเรื่องของเทคโนโลยีมากขึ้นด้วย

“แน่นอนว่าลูกค้าต่อให้ทำธุรกิจอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเรื่องของเทคโนโลยีที่เอามา Support เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยให้ได้ข้อมูลทางธุรกิจที่เร็วขึ้นเท่านั้น แต่นักบัญชีจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเข้าใจเทคโนโลยีและอาจจะต้องเป็นคนที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เร็วขึ้นด้วย รวมถึงต้องอัพเดทเทรนด์ เรื่องของกฎหมายมาตรการต่างๆที่รัฐให้การสนับสนุนกับภาคธุรกิจให้รวดเร็วด้วยเช่นเดียวกัน”

สำหรับเป้าหมายของ AccRevo คือการมองถึงการสร้าง Eco system ของธุรกิจให้เป็น Solution for Business สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้เขาเข้ามาที่เราแล้วสามารถเรียนรู้ได้เลยว่าธุรกิจเริ่มต้นต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง ต้องมีความรู้พื้นฐานการทำธุรกิจเรื่องอะไรบ้าง บัญชี การเงิน ภาษีหรือแม้กระทั่งเรื่องของกฎหมาย กลยุทธ์การตลาดต่างๆซึ่งเราก็จะมี Learning บนตัว AccRevo ให้ลูกค้าเข้ามาแล้วศึกษานำไปใช้พัฒนาธุรกิจได้ เป็น One Stop for Business Solution ได้

สำหรับองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถแอดไลน์ @accrevo เพื่อเปิดใช้สิทธิ์ ACCREVO ACCISTANT และ ACCREVO THE BOOK ได้ฟรีเป็นเวลา 1 เดือน

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

Le Casino เปลี่ยนขยะเป็นโอกาสกับเส้นทางเดินของรองเท้ารักษ์โลก

 

Le Casino เปลี่ยนขยะเป็นโอกาสกับเส้นทางเดินของรองเท้ารักษ์โลก 

“เราอาจจะไม่ต้องหาอะไรที่ไกลตัว แค่มองใกล้ๆ ตัวเราอาจจะเห็นโอกาสมากมาย เช่นเดียวกับ รองเท้ารักษ์โลก ที่ไม่ใช่เพียงสวมใส่สบายและสวยงาม แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” คุณกัญชรัตน์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Le Casino และดีไซเนอร์

“Le Casino” แบรนด์รองเท้าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีของไทย ที่ก่อตั้งโดย ดีไซเนอร์ไทย จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัว ที่อยู่ในวงการผลิตรองเท้ามากว่า 30 ปี เริ่มต้นตั้งแต่จำหน่ายวัตถุดิบให้กับโรงงานผลิตรองเท้า ทำ OEM จนเริ่มมาผลิตจำหน่ายเอง 

จากต้นกำเนิดของธุรกิจครอบครัว สู่ความชอบส่วนตัวและความรักที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ที่ถูกแปรผันมาต่อยอดด้วยเศษขยะเหลือทิ้ง จนขึ้นหิ้งแบรนด์รักษ์โลกที่ทันสมัย มีเอกลักษณ์ และความหรูหรา โดยมีการผลิตคอลเลคชั่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง 

แนวคิดของ แบรนด์ Le Casino เกิดจากการเห็นเศษหนังเหลือทิ้งจำนวนมาก จากการผลิตรองเท้า และของเสียจากการฟอกหนัง ที่ไหลลงสู่ทะเล จึงมีความคิดว่าอยากจะหาวัสดุอื่นมาทดแทนหนัง โดยทางแบรนด์ได้ทำการศึกษาข้อมูลมากมาย จึงได้พบว่าในต่างประเทศมีการนำขวดพลาสติก มาแปรรูปให้กลายเป็นของใช้ต่างๆ อย่างแพร่หลาย และด้วยที่พื้นฐานครอบครัวที่ทำธุรกิจผลิตรองเท้า จึงได้มีความคิดริเริ่มหาหนทางดำเนินการผลิตรองเท้ารักษ์โลกจากเศษขยะเหลือใช้และทำให้สามารถใส่ได้แบบมีอายุการใช้งานได้ยาวนาน

คุณกัญชรัตน์ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ที่เลือกใช้ขวดพลาสติกใช้แล้ว เนื่องจากเป็นวัสดุที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ด้วยในกระบวนการการผลิตได้ใช้ความร้อนในการรีดวัสดุและผสมสีเข้าไปในเม็ดสีพลาสติกทันที ทำให้ไม่เกิดสารพิษหรือของเสียออกมาภายนอก 

สำหรับแนวคิดของ “Le Casino” นั้น เน้นการนำวัตถุดิบเหลือใช้มาหมุนเวียน เพื่อให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง โดยทางแบรนด์ได้กำหนดแนวทางอย่างชัดเจนกับผู้ผลิต ยกตัวอย่างเช่น ส่วนประกอบของรองเท้าที่วางสู่ตลาดนั้น จะสามารถนำกลับรีไซเคิลใหม่ได้ อีกด้วย

ปัจจุบัน “Le Casino”  ได้คลอด Collection Waste to Wow กับการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง เพื่อนำมาประกอบเป็นรองเท้า ผลิตด้วยงานฝีมือ (แฮนด์เมด) จากช่างที่มีฝีมือคุณภาพของไทย ซึ่งแบรนด์นี้ เป็นแบรนด์แรกในไทยที่ผลิตรองเท้าจากขวดพลาสติก มีมายาวนานเกือบ 10 ปี

 

พลิกวิกฤต Covid-19 สู่โอกาสเติบโตบนโลกออนไลน์

ด้วยความคุ้นชินกับธุรกิจและรากฐานของลูกค้า ที่มักจะมาซื้อผ่านหน้าร้าน คุณกัญชรัตน์ จึงมุ่งหน้าทำแบรนด์ผ่านทางช่องทางออฟไลน์มาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบกับสถานการณ์ Covid-19 ทำให้ศูนย์การค้าถูกสั่งปิด ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายตกต่ำลงอย่างมาก 

แบรนด์ Le Casino ได้เปลี่ยนแผนการตลาดใหม่ทั้งหมด โดยได้นำบทเรียนจาก Covid-19 พลิกวิกฤตมาทำการตลาดออนไลน์ สร้างฐานลูกค้าใหม่ โดยการทำโฆษณาให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้รู้จักกับแบรนด์มากขึ้น จนปัจจุบันทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เพียงความสำเร็จด้านยอดขาย แต่ Le Casino ได้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้นจากลูกค้ากลุ่มเดิมๆ 

คุณกัญชรัตน์ ได้นำเสนอ แบรนด์ Le Casino ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยได้ชูจุดเด่นจากวัตถุการผลิตรองเท้าที่พัฒนามาจากขวดพลาสติกรีไซเคิล รายแรกของไทย ที่มีดีไซน์ที่สวยงาม ทำความสะอาดง่าย และใช้ได้ทนทาน ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ล้วนเป้นจุดขายที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เป็นอย่างมาก 

จากความสาหัส สู่การพัฒนาการตลาดของแบรนด์ ทำให้ปัจจุบัน แบรนด์ Le Casino เรียกได้ว่าเข้าสู่การตลาดออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ 

คุณกัญชรัตน์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แรงบันดาลใจ เกิดขึ้นจากสิ่งรอบๆ ตัวเราเอง บางทีเราอาจจะไม่ต้องไปมองหาไกลๆ ว่าเราจะทำอะไรดี บางครั้งมันอาจจะอยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้แต่เรามองไม่เห็นมัน

อย่างที่ทราบว่าในทุกช่วงของวิกฤตการณ์ มักมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนของตลาดอยู่เสมอ หลากหลายธุรกิจประสบปัญหา หลากหลายธุรกิจพบทางออกที่ดี หรือแม้แต่บางธุรกิจอาจจะต้องปิดตัวลง 

ในทุกการเปลี่ยนแปลงของการทำการตลาด จะเห็นได้ว่าได้มีองค์มากมายเกิดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น สสว. อุทยานวิทยาศาสตร์หรือกระทรวงต่าง ๆ  อีกมากมาย ทั้งนี้หากผู้ประกอบการ หรือผู้ที่อยากทำธุรกิจ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ก็สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ที่เกิดขึ้นตามองค์กรต่างๆ ได้เช่นกัน

 

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท สเต็ปพลัสฟุตแวร์ จำกัด

ที่อยู่ : 2024/127-128 ซ.สุขุมวิท 50 ถ.ริมทางรถไฟสายปากน้ำ 
แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10260 

โทร: +66 2-258-2757

แฟ็กซ์: +66 2-259-4973

Website : https://www.lecasinobrand.com 

Facebook : Le Casino

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

ICONIC h สร้างสรรค์ความสำเร็จ จากอุปสรรค พัฒนามาตรฐานอย่างครบวงจร

 

ICONIC h สร้างสรรค์ความสำเร็จ จากอุปสรรค พัฒนามาตรฐานอย่างครบวงจร

“ถ้าจะมองหาโรงงานที่ผลิตเครื่องสำอางค์ ต้องบอกว่าผลิตที่ไหนก็ได้ แต่ ICONIC h สามารถไปได้ไกลกว่า ไม่ว่าจะแบรนด์เล็ก หรือแบรนด์ใหญ่ เราจะดูแลให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างแน่นอน” คุณน้ำเพชร กรรมการผู้จัดการ House of soap Thailand

House of soap Thailand  หรือ ICONIC h เกิดจากความหลงใหลในกลุ่มเครื่องสำอางค์ ของคุณน้ำเพชร จนทำให้เกิดความชอบจนได้ไปศึกษาข้อมูลในศาสตร์ต่างๆ ของการผลิตเครื่องสำอางค์ ไม่ว่าจะเป็น การผลิตสบู่ การเป็นบล็อกเกอร์เขียนรีวิว จนไปถึงการเริ่มต้นทำโรงงานเล็กๆ สำหรับผลิตสบู่รับทำแบรนด์อย่างจริงจัง 

การตลาดของ ICONIC h เริ่มต้นจากการทำ Social Media โดยลูกค้ากลุ่มแรกเป็นเพื่อนของ คุณน้ำเพชร เอง กับจำนวนการผลิตจำนวน 5,000 ชิ้น และนั่นเป็นจุดที่ คุณน้ำเพชร เริ่มเห็นถึงความเจริญเติบโตที่อาจจะเกิดขึ้น และมองว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ ICONIC h เติบโตในฐานะผู้ผลิตได้ 

ปัญหาทำให้เติบโตและความรู้ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาด

ในช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ ICONIC h ได้ประสบปัญหาด้านการผลิตเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการควบคุมคุณภาพและความเข้าใจในการควบคุมการผลิต ทำให้ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อใน สาขาเภสัชกร (วิทยาศาสตร์เครื่องสำอางค์) แล้วร่วมการฝึกอบรมตามโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สสว., สวทช., ฯลฯ จนทำให้คุณน้ำเพชร มีความรู้และแข็งแกร่งมากขึ้นในอุตสาหกรรมนี้

ไม่ใช่แต่เพียงตนเองเท่านั้น แต่คุณน้ำเพชร ยังได้ถ่ายทอดความรู้ที่ตนเองได้รับ ไปยังพนักงาน ICONIC h ในทุกภาคส่วน ซึ่งสิ่งที่ได้รับคือ การเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพของพนักงานและงาน ตลอดจนไปถึงการควบคุมของเสียในการผลิต และเพิ่มกำไรในองค์กรได้

 

ต่อยอดความรู้ให้กับพนักงาน สู่กระบวนการทำงานที่ดีที่สุด

ICONIC h เป็นทีมที่ปรับตัวอยู่เสมอ โดยบุคคลากรในบริษัทฯ ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ส่วนของไล์การผลิต จนถึงหัวหน้างาน จะได้รับการฝึกอบรม หรือเข้าร่วมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านสายงาน เพื่อขึ้นสู่ในระดับต่อไป 

ทั้งนี้ คุณน้ำเพชร ยังเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของบริษัทผลิตเครื่องสำอางค์ อีกว่า การเป็นโรงงานผลิตอาจจะไม่ใช่แนวทางที่จะเติบโตได้ที่สุดในสายงานนี้ ซึ่ง ICONIC h ไปได้ไกลกว่า 

จากข้อมูลเบื้องต้น ทำให้ปัจจุบัน ICONIC h เป็นโรงงานเครื่องสำอางค์ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ โดยได้วางตัวเองในมุมที่มิใช่เพียงโรงงานผลิต แต่เป็นพาร์ทเนอร์ หรือเพื่อนคู่คิดของกลุ่มลูกค้า

 

อย่างไรก็ตาม ICONIC h ได้มองเห็นข้อจำกัดของกลุ่มคนที่อยากมีแบรนด์เครื่องสำอางค์เป็นของตัวเองแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จึงได้จัดให้มีทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า ตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน การพัฒนาสูตร ตลอดจนการทำการตลาด และช่องทางการจัดจำหน่าย โดย ICONIC h มิได้มองว่าลูกค้าที่มีเงินเยอะจะเป็นลูกค้าที่ทางทีมงานให้ความสนใจที่สุด แต่ทุกคนเป็นลูกค้าที่สำคัญสำหรับ ICONIC h อย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้จะมีเงินลงทุนเพียงหลักพันชิ้นก็สามารถเป็นลูกค้าของ ICONIC h และเติบโตไปพร้อมกันได้

ไม่ไช่เพียงแต่เรื่องธุรกิจและลูกค้าเท่านั้นแต่ ICONIC h ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรเจคเกี่ยวกับ โซล่าร์เซลล์ การจัดการของเสีย รวมถึงสารเคมีที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ICONIC h ยังได้ให้ความสำคัญในด้านสุขภาพ อีกด้วย

“อุปสรรคไม่เคยทำให้เราหยุดพัฒนา เพราะเชื่อว่าทุก ๆ การลงมือทำจะทำให้เราไปข้างหน้าเสมอ”

เพราะเราควรเชื่อว่าเราทำได้และทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอ อย่าดูถูกตัวเอง อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ทุกความรู้อยู่รอบตัวรา ทุกการเปลี่ยนแปลงของการทำธุรกิจมีเพื่อนคู่คิดให้เสมอ จะเห็นได้ว่าได้มีองค์มากมายเกิดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น สสว. อุทยานวิทยาศาสตร์หรือกระทรวงต่าง ๆ  อีกมากมาย ทั้งนี้หากผู้ประกอบการ หรือผู้ที่อยากทำธุรกิจ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ก็สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ที่เกิดขึ้นตามองค์กรต่าง ๆ ได้เช่นกัน

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

House of soap Thailand

ที่อยู่ : 21 ซอย เพชรเกษม 65/1

แขวง หลักสอง เขต บางแค กรุงเทพฯ 10160

โทร: 082 226 3654

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ