Chimma Fruit ผลไม้อบแห้ง “ดิปปิ้ง” รายแรกของโลก

Chimma Fruit

ผลไม้อบแห้ง “ดิปปิ้ง” รายแรกของโลก

Chimma Fruit (ชิมมะ)
เป็นแบรนด์ผลไม้อบกรอบของไทยที่สร้างชื่อเสียงไปไกลทั่วโลก ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนแบรนด์ผลไม้อบกรอบทั่วไปที่วางจำหน่ายในท้องตลาด เพราะคุณพีท - สิริเชษฐ์ จิรพงษ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิมมะ ฟรุ๊ต จำกัด มีการหยิบเอาผลไม้ยอดนิยมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มะม่วง มะพร้าว มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยการอบแห้งเทคโนโลยี Freeze Dried ที่ยังคงรักษารสชาติของผลไม้ไว้ได้ และยังมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วยการขายพร้อมดิปปิ้งกะทิเป็นแบรนด์แรกของโลก อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของ Chimma Fruit ? บทสัมภาษณ์นี้มีคำตอบ...

SME ONE : จุดเริ่มต้นของ Chimma Fruit มีที่มาที่ไปอย่างไร
สิริเชษฐ์ : 11 ปีที่แล้ว ผมเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ส่วนตัวก็คิดว่าสักวันหนึ่งเราคงมีโอกาสส่งออกสินค้าจากประเทศไทยกลับไปยังประเทศจีน จนมาถึงวันที่ผมรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะทำส่งออก ก็เริ่มมองหาว่าส่งสินค้าอะไรดีกลับไปยังประเทศจีนก็เลยมาดูที่ความต้องการของประเทศจีนก่อน คือ ประเทศจีนมีการบริโภคผลไม้จากประเทศไทยเยอะมากก็เลยคิดจะนำพวกผลไม้ส่งออกไปยังประเทศจีน และเกิดเป็น Chimma Fruit จนถึงทุกวันนี้
สินค้าที่เป็นจุดเด่นของเรามีอยู่ 3 ตัว คือ ทุเรียน มะม่วง มะพร้าว แต่ถ้าเราขายของธรรมดาทั่วๆ ไปที่มีคนอื่นทำอยู่แล้วคิดว่าคงลำบากในการส่งออกไปประเทศจีนก็เลยมาคิดความแตกต่างให้กับสินค้า จนได้ไอเดียดิปปิ้งกะทิ เช่น มะม่วงพร้อมดิปปิ้งกะทิ ทุเรียนพร้อมดิปปิ้งกะทิอยู่ในซอง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ผมเริ่มต้นจากติดต่อซัพพลายเออร์ที่นำเข้าสินค้านำเข้าบรรจุภัณฑ์จากประเทศจีนให้เขาช่วยทำตลาดให้ก่อนในเบื้องต้น
ต้องขอบคุณสมัยตอนที่ผมเป็นพนักงานประจำ ผมโชคดีที่อยู่ในวงการสิ่งทอมาเกือบ 20 ปี ถ้าใครเคยอยู่ในธุรกิจแบบนี้มาจะรู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เพราะมันมีดีเทลทุกจุด ฝีเข็ม ฝีด้าย ผมรับผิดชอบลูกค้าต่างประเทศเป็นหลัก ตอนที่ลาออกจากการเป็นพนักงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว แล้วทำธุรกิจนำเข้าผมก็ใช้องค์ความรู้จากการที่เราเป็นพนักงานประจำมาก่อนนี่แหละนำมาใช้ แล้วตอนที่มาเริ่มทำสินค้าส่งออกผลไม้ไปยังต่างประเทศ เราก็ใช้ความรู้จากตอนที่เป็นพนักงานประจำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ จริงๆ สินค้าเราไม่มีขายในเมืองไทย ส่งออก 100% หลายคนถามว่าคุณพีทมั่นใจได้อย่างไรว่าจะทำส่งออกได้ ทั้งที่หลายๆ คนเริ่มจากการขายในประเทศก่อน
ผมมีมุมมองว่าบ้านเราประชากร 70 กว่าล้านคน พอมีสถานการณ์อะไรขึ้นมายอดขายก็จะตกลง ผมจึงมองเรื่องการส่งออกว่ามันเป็นตลาดที่กว้างใหญ่ไพศาล มีหลายๆ ประเทศที่เราสามารถส่งออกไปได้ ไม่ใช่แค่ประเทศจีนอย่างเดียว มีประเทศเล็กประเทศน้อยในเอเชีย ในตะวันออกกลางที่สามารถส่งออกสินค้าเราไปได้ และประกอบกับที่เราทำธุรกิจนำเข้ามาก่อน ลองนึกภาพว่าตอนที่เราทำธุรกิจนำเข้าเราเป็นผู้ซื้อ พอเราไปทำส่งออกเราจะเข้าใจ Logic ของคนที่จะซื้อของๆ เราว่าเขาจะคิดหรือคุยกับเราอย่างไร เพราะเราเคยเป็นผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาก่อน

SME ONE : ชื่อ Chimma (ชิมมะ) มีที่มาจากอะไร
สิริเชษฐ์ : ไม่มีที่มาเลย บ้านๆ เลย จริงๆ เป็นเรื่องยากในการคิดชื่อ เพราะตอนนี้มีอยู่ 2-3 แบรนด์ กว่าจะคิดแต่ละแบรนด์ได้ก็เหนื่อยพอสมควร ผมไม่ค่อยมีหัวทางด้านครีเอทีฟกับเรื่องพวกนี้ วันที่จะตั้งชื่อ Chimma เราก็ลิสต์ชื่อออกมาเยอะเหมือนกัน สุดท้ายมันก็มาโดนคำว่า Chimma เวลาคิดชื่อมาผมจะไปเช็คกับชื่อทรัพย์สินทางปัญญาด้วยว่าพอคิดมาแล้วเราจดชื่อนี้ได้ด้วยหรือไม่ หรือมีคนจดอยู่แล้วหรือเปล่า ชื่อนี้เลยไม่มี Logic ของที่มาที่ไป มันเป็นการคิดๆ ขึ้นมาแล้วก็เลือกมา
ประจวบเหมาะตอนที่ผมไปออกบูธที่อินเดีย ผมก็แปลกใจมากที่ลูกค้ามาหาที่บูธเราเยอะมาก ทั้งที่เราเพิ่งไปอินเดียครั้งแรก เราเพิ่งมารู้ว่าคำว่า Chimma มันไปพ้องเสียงกับภาษาอินเดียที่แปลว่าของขวัญของพระเจ้า มันก็ถือว่าเป็นความฟลุ๊คอย่างนึงโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ

SME ONE : แนวคิดของดิปปิ้งกะทิเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

สิริเชษฐ์ : จริงๆ ต้องบอกว่าผมไม่ได้จบ Food Science แทบไม่ได้อยู่วงการอาหารมาก่อนเลย ตอนที่เริ่มทำธุรกิจส่งออกก็ตั้งโจทย์ว่าเราจะส่งออกอะไร ผมใช้กระบวนการคิดค่อนข้างเยอะมาก สุดท้ายเราได้โจทย์แรกก่อนว่า เราจะส่งออกอาหาร เพราะคนในโลกนี้ไม่ว่าเกิดสถานการณ์อะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายทุกคนจะต้องกิน พอเสร็จเราจะเลือกของกินอะไร อย่างที่บอกไปเราเลือกประเทศก่อนว่าเราจะไปประเทศจีน ก็ดูว่าประเทศจีนเขามีความต้องการอะไร ชอบอะไร ประเทศจีนชอบผลไม้ไทยที่เป็นผลไม้สด ผลไม้แปรรูป ผลไม้สดบอกได้เลยว่าเราไม่ไหว เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์ทำผลไม้มาก่อน เราก็เลยเลือกเป็นผลไม้แปรรูป 

ผลไม้แปรรูปหลักๆ ที่คนจีนชอบก็จะมีทุเรียน มะม่วง มะพร้าว ทุกวันนี้เริ่มมีมังคุด มีขนุนเข้ามาแล้ว เราก็คิดต่อว่าถ้าจะส่งออกทุเรียน มะม่วง มะพร้าวที่เป็นอบแห้งอบกรอบ Freeze Dried ไปประเทศจีน เราจะเจอคู่แข่งเต็มไปหมด เพราะมีคนทำมากมายทั้งในเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เราก็เลยคิดเรื่องความแตกต่าง แต่ด้วยเราไม่มีองค์ความรู้ด้านอาหารมาตั้งแต่เริ่มต้น เราคิดแค่ว่าเราต้องแตกต่าง ตอนนั้นผมก็พยายามคิดหลายๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็นการหานู่นนี่มามิกซ์กัน หาผลไม้มาใส่วัตถุดิบอื่นๆ ให้เป็นสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้นในตลาดได้ 

จนสุดท้ายเราก็มาเจอเรื่องของการใช้ดิปปิ้ง ก็คิดว่าถ้ามีดิปมันน่าจะช่วยเพิ่มสีสันและเพิ่มความอร่อยขึ้นมาได้ ตอนนั้นเราซื้อทุกอย่างมาหมดเพื่อมาลองดิป เช่น น้ำปลาหวาน น้ำพริกเผา กะทิ เราทดลองเยอะมาก ทดลองด้วยการชิมด้วยตัวเอง ในวันนั้นเรายังไม่ได้เป็นโรงงาน เราเป็นแค่คนซื้อมาขายไป ซื้อทุเรียนมาจากโรงงานนี้ ซื้ออีกอย่างมาจากโรงงานนั้นอะไรแบบนี้มาทดลองทำ จนสุดท้ายก็เลยเจอว่า ดิปปิ้งกะทิมันแตกต่าง และมีรสชาติที่มันละมุน การเอามะม่วงอบแห้งไปดิปปิ้งกับกะทิแล้วกินเข้าไป มันจะสัมผัสได้ถึงความละมุนหอมหวานของกะทิมาผสมกับตัวมะม่วงอบแห้ง



SME ONE : จากวันที่ Chimma Fruit เริ่มต้นธุรกิจจนถึงปัจจุบัน มีอะไรพัฒนาการไปบ้าง

สิริเชษฐ์ : ต้องบอกว่ามีพัฒนาการเยอะเพราะเราเจออุปสรรคค่อนข้างเยอะมากๆ ในวันแรกๆ ช่วงที่ทำ Chimma Fruit ผมมีโอกาสได้ไปออกบูธ Thaifex ในวันนั้นยังผมไม่มีสินค้าอะไรเยอะเลย แล้ว Chimma Fruit ก็เพิ่งเกิดด้วย โอกาสที่ได้ไปออกบูธเป็นการจุดประกายให้เราทำผลไม้แปรรูปเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ พอเราไปออกบูธต่างประเทศและได้เจอคู่ค้าต่างประเทศมาเยี่ยมชมที่บูธ เราจะเห็นว่าลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้าง ในวันแรกๆ เราไม่รู้หรอกว่าความต้องการจริงๆ ของลูกค้าคืออะไร 

สิ่งที่เราคิดในวันนั้น ผมว่ามันเกิดจากการมโนคิดว่าลูกค้าต้องการแบบนี้ คิดว่าลูกค้าต้องชอบแบบนี้ อันนี้คือในวันแรก แต่พอเราทำมาเรื่อยๆ วิธีการหาตลาดของผมคือ การออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเป็นหลัก เราไปเยอะมาก อย่างปี 2019 เราไปประเทศจีนประมาณ 20 ครั้งในหลายๆ มณฑล หลายๆ เมือง มีไปเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ การไปออกบูธหลายๆ ครั้งหรือการไปเจอลูกค้าหลายๆ มันทำให้เราเกิดการเรียนรู้และพัฒนา จากวันแรกที่เราคิดว่าลูกค้าคงชอบแบบนี้ คือ การมโนล้วนๆ เลย 

แต่ในวันนี้เราเข้าใจตลาดมากขึ้น เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น และการจะพัฒนาสินค้าตัวต่อไป เราจะพัฒนาจากตลาดเป็นหลัก ไม่ใช่พัฒนาจากความชอบตัวเองหรือในตลาดประเทศไทยมีอยู่แล้ว แต่เราจะพัฒนาจากตลาดแต่ละตลาดที่ลูกค้าต้องการหรือมีดีมานด์เข้ามา 

 

SME ONE : วันที่ Chimma Fruit ไปออกงาน Thaifex ครั้งแรก มีสินค้าจริงหรือยัง

สิริเชษฐ์ : มีสินค้าแล้วแต่ตอนนั้นสินค้าแรกที่ทำยังไม่เน้นดิปปิ้ง ช่วงแรกๆ ที่ไปออกบูธ Thaifex ผมทำมะขามคลุกบ๊วยใส่ซอง เอาจริงๆ ตอนนั้นพอเราได้บูธ Thaifex มา สินค้ามันยังไม่ตกผลึกดี ตอนนั้นมีสินค้าอยู่แค่ 2 ตัว คือมะขาม กับทุเรียน Freeze Dried มีดิปปิ้งกะทิแล้ว ตอนนั้นผมก็เป็น SMEs คนหนึ่งแล้วก็เห็น Pain point หลายๆ อย่างจากในตลาด ในวันที่ออก Thaifex ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซองผลไม้ทุกอย่างยังเป็นซองติดสติ๊กเกอร์ ยกตัวอย่างมะขาม ผมซื้อมะขามจากเพชรบูรณ์ ซื้อซองจากสำเพ็ง ไปจ้างคนออกแบบสติ๊กเกอร์และติดที่หน้าซองเพื่อออกบูธ Thaifex เลย ซึ่งจริงๆ การที่ไปเดินงาน Thaifex มันควรเป็นอะไรที่สกรีนแล้วสวยๆ แต่ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า การที่เรารอความพร้อม ความสมบูรณ์ เราอาจจะไม่ได้เริ่มต้น ในวันนั้นเหมือนกัน 

ถ้าวันนั้นผมมัวแต่มานั่งออกแบบซองหรือพัฒนาสินค้าให้สมบูรณ์ ผมอาจจะไม่กล้าไปออก Thaifex ก็ได้ อย่างที่บอกว่า SMEs ส่วนใหญ่ชอบมโนว่าของเราดีของเราเจ๋ง แพคเกจจิ้งเราสวยอะไรแบบนี้ แต่การที่ผมเป็นพนักงานประจำมาหรือทำธุรกิจนำเข้าเอง มันสอนให้รู้ว่าคนที่จะตอบได้จริงๆ ว่าสินค้าคุณเจ๋งหรือแพคเกจจิ้งคุณสวยคือลูกค้าของคุณ แล้วส่วนใหญ่ทุกคนจะไปลงทุนในเรื่องแพคเกจจิ้ง ไปผลิตและทำออกมาให้มันสวยๆ แต่สุดท้ายแล้วถ้าตลาดมันไม่ใช่มันไม่โดน จะทำอย่างไร แพคเกจจิ้งจะกองอยู่หลังบ้านเต็มไปหมด

ผมเลยเริ่มต้นจากการทำแพคเกจจิ้งแบบซองเปล่าติดสติ๊กเกอร์ จนวันนี้เอาจริงๆ ผมทำมา 3-4 ปีแล้ว การเริ่มต้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผมก็ยังเริ่มต้นด้วยวิธีนี้อยู่ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย ถ้าจริงๆ เราเตรียมพร้อมหลังบ้านไปให้ดี สุดท้ายแล้วถ้าลูกค้ามีออเดอร์มา เราจะทำอะไรบ้าง 1 2 3 4 เพื่อจะไปพัฒนาสวยๆ เหมือนคนอื่นได้ 

 

SME ONE : คุณสิริเชษฐ์เป็นคนตัดสินใจทางธุรกิจแบบ High Risk High Return หรือไม่ เพราะการออกงานแสดงสินค้ามีค่าใช้จ่ายสูงมาก

สิริเชษฐ์ : ผมไม่ได้ถือว่าเป็นคน High Risk หลายคนอาจจะมองว่าผมกล้าลงทุน กล้าไปออกงาน Thaifex อะไรแบบนี้ ถ้าผมเป็นคน High Risk ผมต้องลงทุนทำแพคเกจจิ้งทั้งหมดเพื่อมาโชว์ หรือว่าผมต้องเปิดโรงงานเองตั้งแต่วันแรกถ้าผมรู้สึกว่ามันสามารถส่งออกได้ 

แต่ถามว่าทำไมผมถึงกล้าลงทุนไป Thaifex จริงๆ แล้วงานอาหารหรือคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร ผมมองว่าทุกคนต้องไป Thaifex มันมีที่เดียวในเอเชีย และมันดังที่สุดแล้วในเอเชีย ตอนนั้นมีโอกาสจริงๆ ผมกำเงินก้อนใหญ่เหมือนกันในการไปออกบูธ Thaifex เพื่อโชว์ตัวครั้งแรก ทุกวันนี้ก็ยังถือว่าเป็นการลงทุนก้อนใหญ่อยู่ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปีนี้ บูธ Thaifex ที่ผมไปออก ทุกคนอาจจะออกแค่บูธมาตรฐาน เป็น System panel แต่วิธีคิดของผมมองว่า ถ้าเราออกบูธขนาดมาตรฐาน 3x3 เมตร แล้วเราเป็น SMEs ผู้ประกอบการรายใหม่ หรือออกสินค้ารายใหม่ เวลาลูกค้าเดินผ่าน มันจะจมไปกับฮอลล์ จะไม่มีใครสนใจเราเลย ทุกครั้งที่ผมออกบูธ Thaifex ผมจะจองพื้นที่เป็น 2 คูหา แล้วก็สร้างบูธขึ้นมาเอง สิ่งที่ผมทำสมัยใหม่ๆ คือผมตีผนัง 3 ด้านแล้วเล่นกราฟิกบนผนังเอา เพื่อที่เวลาลูกค้าเดินผ่านจะได้สะดุดตาและมองเห็นว่ามันคืออะไร 

 

SME ONE : ปัจจุบัน Chimma Fruit มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองแล้วหรือยัง

สิริเชษฐ์ : ตอนนี้เรามีโรงงานผลิตเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันเราก็มีมาตรฐานเบื้องต้นสำหรับการส่งออก GHP, GMP มีเครื่องหมายฮาลาลทุกตัว เราเริ่มต้นทำโรงงานประมาณช่วงก่อน COVID -19 ปี 2019 ผมออกงานแฟร์ต่างประเทศน่าจะเกือบๆ 50 งานในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่จริงๆ เราก็ใช้หน่วยงานภาครัฐ เราก็เคยไปออกบูธกับ สสว. เหมือนกันในต่างประเทศเวลาที่ สสว. มีโครงการมา เราเป็นผู้ประกอบการก็สมัครไปออกบูธต่างประเทศ ส่วนใหญ่ผมจะเกาะอยู่กับทางภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ในการไปออกบูธหรืองานแสดงสินค้าในต่างประเทศ

วันที่เราตัดสินใจเปิดโรงงาน เหตุผลมาจากเราเริ่มมีออเดอร์มากขึ้น ส่วนหนึ่งคือ สินค้าของเราไม่เหมือนกับท้องตลาด การที่เราไปจ้างผลิต ผมรู้สึกว่ามันมีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1) เรื่อง Cost ที่ต้นทุนมันจะสูงกว่า เพราะมันอยู่เหนือการควบคุม เพราะเราไม่สามารถผลิตได้ตั้งแต่ต้นทาง 2) เรื่องความลับทางการค้า พอเราเริ่มใหญ่ขึ้น ผมรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว 

ประกอบกับว่าเราก็เริ่มมีออเดอร์จากต่างประเทศ เพราะเราไปออกงานแสดงสินค้าในหลายๆ ประเทศมาเยอะมากจนทำให้มีออเดอร์กลับมา เราก็เลยตัดสินใจเปิดโรงงาน แต่การเปิดโรงงานเราไม่ได้บอกว่าเราต้องเป็นโรงงานไซส์ใหญ่ โรงงานที่มีอยู่ไม่ได้เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาก เราก็มีแค่เครื่องมือที่ใช้ผลิตสินค้าที่เราทำอยู่และสามารถทำมาตรฐานโรงงานได้ และสามารถส่งออกไปต่างประเทศให้ลูกค้าได้

SME ONE : ปัจจุบัน Chimma ส่งออกสินค้าไปประเทศไหนมากที่สุด

สิริเชษฐ์ : Top 3 คงเป็นจีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์กับฮ่องกงที่ใกล้เคียงกัน ส่วนอะไรขายดีสุด เมื่อก่อนจะขายมะม่วงอบแห้งพร้อมดิปปิ้งกะทิดีมากในทุกๆ ประเทศ แต่ตอนนี้บังเอิญมีกระแสของมิลลิขึ้นมาเรื่องข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน ก็เลยทำให้ขนมข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียนที่เราพัฒนาขึ้นมามันก็กลับมาป๊อปปูล่าตามกระแส ตอนนี้เลยขายดีและส่งออกเยอะมากๆ 

 

SME ONE : ที่ผ่านมาเคยไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่

สิริเชษฐ์ : ผมปรึกษาเยอะ เพราะตอนแรกที่ทำธุรกิจส่งออก เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ เพราะว่าเราไม่เคยส่งออก เพียงแต่เราเคยมีประสบการณ์มามากกว่า แต่พอมาทำธุรกิจของตัวเองผมว่ามันไม่ง่ายเลยในการที่จะคิดหรือบุกตลาดต่างประเทศ แล้วผมโฟกัสตลาดต่างประเทศด้วย ไม่ได้โฟกัสตลาดในประเทศเลย เท่ากับว่าผมต้องขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานที่ผมขอคำปรึกษามากที่สุดน่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ คือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ก็ยังมีหน่วยงานอื่นๆ เช่น สสว. 

ผมได้รับคำแนะนำเหมือนกันในวันแรกๆ ว่าต้องจดเครื่องหมายการค้า ตอนแรกที่เข้าจีนเราก็จดเครื่องหมายการค้าเลยในประเทศจีน นอกจาก Chimma เราก็มีแบรนด์อื่นๆ ด้วยที่ขายเข้าประเทศจีน เราก็จดเครื่องหมายการค้าตั้งแต่วันแรกเลย 

 

SME ONE : คุณสิริเชษฐ์มีแผนจะต่อยอดธุรกิจต่อไปอย่างไร

สิริเชษฐ์ : ตอนนี้ผมต่อยอดในตัวของ Chimma Fruit เราเพิ่งได้ออเดอร์มาจากประเทศจีน เป็นลูกค้ารายใหญ่ เป็นเหมือน 7-อีเลฟเว่นในประเทศจีน เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่เลย คือต้องมองเปรียบเทียบกันเลยว่าการทำตลาดส่งออกกับทำตลาดในประเทศแตกต่างกัน ในประเทศคุณเอาของไปวางขายหรือไปออกบูธคุณก็ได้เงินเลย แต่การตลาดต่างประเทศมันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะนิดนึง ต้องทำให้ลูกค้าเชื่อใจเรา รู้จักเรามากขึ้น จะทำให้ออเดอร์กลับมา 

สิ่งที่จะต่อยอดต่อจากนี้ คือการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ผมเชื่อว่าตลอดช่วง COVID -19 2 ปี แบรนด์เราไม่เคยหยุดนิ่ง เรามีสินค้าตัวใหม่ออกมาในช่วง COVID -19 ด้วยซ้ำ เพราะผมรู้สึกว่าการมีสินค้าออกมาใหม่เป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าจดจำเรา บางคนอาจจะขายสินค้าเดิมทั้งปีทั้งชาติ แต่ผมมีความคิดว่าออกสินค้าใหม่มาไม่จำเป็นต้องขายได้ก็ได้ แต่ออกมาเพื่อเป็นการย้ำเตือนลูกค้าว่า Chimma มีสินค้าใหม่ออกมา และสุดท้ายมันจะเกิดการซื้อกับสินค้าเดิมที่มีอยู่ 

 

SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ Chimma Fruit ในปัจจุบัน

สิริเชษฐ์ : ตอนนี้ผมว่าทุกอย่างเริ่มกลับมาเหมือนเดิม และเริ่มจะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ แล้ว ตอนที่เจอสถานการณ์ COVID-19 ทุกอย่างเลยเบรกออกไป อะไรที่จะโตแบบ Growth Rate ได้มันก็หยุดโต แต่พอสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย อย่างที่บอกว่าเราเพิ่งส่งออกไปประเทศจีน ผมว่าความท้าทาย คือเราได้รับออเดอร์มาจากลูกค้าต่างประเทศที่เป็นออเดอร์ใหญ่ แต่เราไม่สามารถปิดดีลได้ เพราะเราไม่ใช่โรงงานใหญ่ การที่ลูกค้าจะมาลง 5 ตู้ 10 ตู้ต่อเดือน ผมว่าอันนี้เป็นความท้าทายสุดๆ ออเดอร์มาแล้วแต่เราไม่สามารถปิดออเดอร์ได้ เพราะมันใหญ่เกินไปมันมากเกินไป ตอนนี้ก็เริ่มหาทางแก้ ผมก็รู้สึกว่าโอกาสมันมาแล้ว แต่เราไม่สามารถทำได้ 

ความท้าทายอีกอย่าง คือเรื่อง Product development ผมว่าตอนนี้มันต้องคิดเรื่องการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมา แล้วออกมามันต้องแตกต่างด้วย แล้วต้องโดนใจลูกค้าด้วยที่เราจะบุกไปในต่างประเทศ 

SME ONE : อยากให้คุณสิริเชษฐ์ช่วยฝากคำแนะนำกับผู้ประกอบการ SMEs

สิริเชษฐ์ : หลายๆ ครั้งผมมีโอกาสได้ไปคุยกับเพื่อนๆ SMEs ในวงการอาหารด้วยกัน ผมเป็นกรรมการอยู่หลายที่ทั้งกรมอุตสาหกรรม ทั้งสภาหอการค้า ผมเห็นผู้ประกอบการสายอาหารและเครื่องดื่มมีค่อนข้างเยอะ ทุกคนอยากส่งออกหมด แต่โจทย์หนึ่ง คือเขาจะติดปัญหาอันดับแรกว่า ฉันยังไม่พร้อมส่งออกหรอก มาตรฐานโรงงานฉันก็ไม่มี ทุกคนจะมีกำแพงป้องกันตัวเองไปหมด แต่พอถามว่าอยากส่งออกไหม ทุกคนตอบอยากส่งออกมาก แต่พอจะให้เริ่มส่งออก ทุกคนจะมีเหตุผลต่างๆ ที่ตัวเองไม่พร้อมในการส่งออก 

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้พร้อมตั้งแต่วันแรกเหมือนกัน แต่ด้วยความโชคดีดีกว่าที่ผมมีประสบการณ์จากการทำส่งออกมาก่อน แต่ผมไม่ได้มีความพร้อมเหมือนกันในวันแรก แต่ผมรู้สึกว่าการไม่พร้อมแล้วเราเริ่มต้นเลย อย่างที่ผมเล่าสตอรี่มาตั้งแต่แรกว่า การที่คุณเริ่มต้นทำมันก่อน ส่งออกไปก่อน นำเสนอลูกค้าไปก่อน มันจะไปตอบโจทย์ได้เองว่าสิ่งที่คุณคิดสิ่งที่คุณทำออกมานั้น คุณคิดไปเองหรือเปล่า 

คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ถูกสอนว่าต้องรอความสมบูรณ์ เช่น คุณไปคิด Brand Story ดีๆ นะ ทำแพคเกจจิ้งให้สวยๆ พัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรม แต่ถามว่าสิ่งที่คุณคิดมามันขายได้หรือเปล่า บางทีมันได้แค่โล่แต่ขายได้น้อยมากๆ 

ผมอยากจะฝากถึงผู้ประกอบการที่อยากส่งออกว่า สิ่งที่คุณอุตส่าห์นั่งคิดนั้น คุณทดลองทำเลยได้ไหม เพื่อจะได้นำเสนอลูกค้าเลย ไม่ต้องรอความพร้อมความสมบูรณ์ เพราะสุดท้ายตลาดจะเป็นตัวบอกคุณเองว่าสิ่งที่คุณคิดคุณทำมันใช่ มันถูกต้องในตลาดนั้นหรือไม่ และในระหว่างทางมันจะทำให้คุณคิดเองได้ว่า คุณต้องเดินทางไปทางไหน ถ้ามัวแต่คิด อยู่แต่ในกรอบ คุณจะไม่มีวันที่จะส่งออกได้ 

บทสรุป

ความสำเร็จของ Chimma Fruit มาจากกลยุทธ์การบริหารธุรกิจของคุณสิริเชษฐ์ในรูปแบบ Differentiated Marketing ด้วยการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า คือ “ผลไม้อบแห้ง” ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาดด้วยการคิดค้นการบริโภคแบบ “ดิปปิ้ง” จนผลไม้อบแห้งกลายเป็น Snack ในที่สุด นอกจากนี้ในส่วนของการหาความต้องการของผู้ริโภค คุณสิริเชษฐ์ใช้สนามรบจริง คืองานแสดงสินค้านานาชาติเป็นเหมือนห้องวิจัยขนาดใหญ่ เพื่อทดสอบว่าสินค้าที่อยากจะส่งออกไปต่างประเทศนั้นมีความน่าสนใจเพียงพอที่เทรดเดอร์จะสั่งซื้อหรือไม่

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

ประเด็นที่น่าสนใจ สถานการณืด้านหนี้สินกิจการของ MSME ไตรมาส 4 ปี 2565

ประเด็นที่น่าสนใจ สถานการณืด้านหนี้สินกิจการของ MSME ไตรมาส 4 ปี 2565
อ่านต่อที่นี่

บทความแนะนำ

คนพิการก็มีเงินบำนาญได้! พม. จับมือ กอช. และ 7 สมาคมคนพิการ หนุนการออม มีเงินใช้หลังเกษียณ

📣📣คนพิการก็มีเงินบำนาญได้! พม. จับมือ กอช. และ 7 สมาคมคนพิการ หนุนการออม มีเงินใช้หลังเกษียณ

 

📍อีกหนึ่งหลักประกันความมั่นคงด้านการเงินของคนพิการ ล่าสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ร่วมลงนาม MOU กับองค์กรคนพิการ 7 สมาคม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ส่งเสริมให้คนพิการและครอบครัวมีความรู้ด้านการออม มีการแผนการออม และเริ่มลงมือออมกับ กอช. เพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณของคนพิการ รองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพต่อไป

 

📍เป็นความร่วมมือกับองค์กรคนพิการแต่ละประเภทความพิการในการเผยแพร่ข้อมูล ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่เครือข่ายสมาชิกภายใต้จังหวัด - ภูมิภาคในกำกับดูแลของแต่ละสมาคม รวมถึงในชุมชน ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์การเป็นสมาชิก กอช. สำหรับการออมเพื่อการเกษียณหรือหลังอายุ 60 ปี ควบคู่กับการฝึกทักษะอาชีพและรับจ้างงานจากผู้ประกอบการ ให้มีรายได้เพิ่มเติมจากเบี้ยความพิการรายเดือน

 

📌เงื่อนไข : ผู้สมัครสมาชิก กอช. จะต้องมีอายุ 15 - 60 ปี/ ส่งเงินออมได้ตั้งแต่ 50 - 13,200 บ./ปี และรัฐจะสมทบเงินเพิ่มให้ตามช่วงอายุ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ดังนี้

 

✅อายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 600 บ./ปี

✅อายุ >30 - 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 960 บ./ปี

✅อายุ >50 - 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 1,200 บ./ปี

 

📌โดยสามารถสมัครและส่งเงินออมได้ที่ LINE กอช. @nsf.th/ แอปฯ กอช./ หน่วยรับสมัครใกล้บ้าน เช่น ที่ว่าการอำเภอ, สำนักงานคลังจังหวัด, สถาบันการเงินชุมชน, ตัวแทน กอช. หมู่บ้าน, ธ.ออมสิน, ธ,กรุงไทย, ธ,อิสลามแห่งประเทศไทย, ธ.ก.ส., ธอส., ไปรษณีย์ไทย ฯลฯ

 

🇹🇭 ทีมงาน GCC

Government Communication Channel

🌐 https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02NkZZk5ZKTP7HAb3z1ALuxHpvNFugiUaoVhsZWzMnV6aoDLHUGneU26zFA9rNNdr6l&id=100064582216937&mibextid=qC1gEa

✅ ติดตามข่าวสารจากทางราชการได้จากช่องทาง GCC

🌐 https://shorturl.asia/WHRIT

⚠️ โปรดอ่านรายละเอียด กติกาการใช้งานในโน้ต Openchat : GCC

บทความแนะนำ