การแข่งขันในวงการค้าปลีกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีกออนไลน์ หรือค้าปลีกสมัยใหม่ ชาวโชวห่วยหลายคนที่ต้องการประคองให้กิจการของตัวเองอยู่รอดไปได้ ท่ามกลางความท้าทายและการแข่งขันต่าง ๆ วันนี้มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝาก เพื่อให้เป็นตัวช่วยในการพัฒนากิจการอีกแรง ดังต่อไปนี้
สินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ถือเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ร้านค้าโชวห่วยประสบความสำเร็จ ร้านค้าโชวห่วยจึงต้องศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเป็นอย่างดี และจัดหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมาหาสินค้าที่ร้านเราแล้วจบ ไม่ต้องไปหาที่อื่น
สินค้าเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ การเรียงสินค้าภายในร้านก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะทำให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่าย เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเรา โดยหลักการเรียงก็ง่าย ๆ เช่น
ราคาถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้บริโภคสมัยใหม่ ร้านโชวห่วยต้องตั้งราคาที่เหมาะสม ไม่แพงมากเกินไป จนลูกค้าส่ายหน้าไปหาร้านอื่น แต่ต้องไม่ถูกจนเข้าเนื้อตัวเอง นอกจากนี้เวลาตั้งราคาอย่าลืมนึกถึงต้นทุนอื่น ๆ ในร้าน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรง ด้วยเพื่อป้องกันการขาดทุน
ลองจัดโปรโมชันคืนกำไรให้ลูกค้าเพื่อดึงความสนใจ นอกจากนี้ โปรโมชันร้านเราต้องโปรโมทให้ลูกค้าและชุมชนของเรารู้ด้วย ซึ่งช่องทางในการประชาสัมพันธ์มีหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นแจ้งด้วยตัวเอง ปิดประกาศไว้หน้าร้าน วิทยุชุมชน บอกในไลน์กลุ่ม หรือ Facebook, Instagram ลูกค้าอยู่ที่ไหน แจ้งไปในช่องทางนั้นได้เลย
ป้ายราคาและป้ายประชาสัมพันธ์ภายในร้านนั้นต้องให้เห็นเด่นชัด เพื่อให้ลูกค้ารับทราบข้อมูลและตัดสินใจได้ถูกต้อง การติดป้ายราคาจะทำ ให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนเจ้าของร้านโกง หรือเวลาเราไม่อยู่ร้าน ก็ไม่ต้องมีปัญหาคิดเงินผิดอีกด้วย
คนเดี๋ยวนี้ชอบอะไรที่มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ ร้านโชวห่วยที่มีความต่างแล้วดังก็มีอยู่มาก เช่น ร้าน ล เยาวราช หรือร้านอีหล่า มาร์เก็ต ซึ่งเน้นเอกลักษณ์ของตนเองมาแต่งร้านใหม่ให้เข้ากับท้องถิ่น แต่การสร้างความต่างก็ไม่ใช่การตกแต่งร้านใหม่เพียงอย่างเดียว เราก็สร้างความต่างได้เหมือนกัน เช่น ถ้าเราเป็นคนที่เป็นมิตร เฟรนด์ลี่ คุยง่าย เราก็เป็นเสน่ห์ของร้านเราได้โดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
และนี่ก็คือสิ่งง่าย ๆ ที่จะทำ ให้โชวห่วยประสบความสำเร็จ แต่ถ้าอยากได้ไอเทมเสริมมาเติมพลัง ก็อาจลองใช้ POS มาบริหารร้านค้า ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่แพงเลย เพราะ POS จะช่วยเรื่องระบบสต๊อกสินค้าให้เราบริหารสต๊อกได้ง่าย ทุนไม่จม ของไม่ขาด และยังช่วยให้เราทำบัญชี ยื่นภาษีได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีโครงการดี ๆ จาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า อย่างโครงการ “สมาร์ทโชวห่วย” ที่จะช่วยให้ร้านของท่านเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และต่อสู้ได้อย่างยั่งยืน ยกระดับร้านค้าให้แข่งขันได้ในทุกมิติ
สนใจโครงการเข้าไปคลิกกันได้เลยที่ https://www.dbd.go.th
หรือติดต่อได้ทาง Facebook (กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ)
โทรศัพท์ เบอร์ 02-547-5986
จะมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คำ ปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาร้านค้าโชวห่วยของท่าน
ทำเกษตรยุคนี้มีตัวช่วยมากมายที่จะมาแปลงโฉมเกษตรกรบ้าน ๆ ให้กลายเป็น Smart Farmer ได้ในพริบตา มาดูกันว่ามีเทคโนโลยี Solution หรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรบ้างที่เกษตรกรจะหยิบจับเอาไป ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับธุรกิจเกษตรของคุณได้
รีคัลท์ (Ricult) แอปพลิเคชันช่วยในการให้ข้อมูลและคำแนะนำต่างๆ สำหรับเกษตรกรแบบเฉพาะบุคคล
เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการคำแนะนำด้านการเพาะปลูก สามารถช่วยเพิ่มผลผลิต และลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนได้
ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=io.ionic.ricultprod&hl=th
Eden AgriTech นวัตกรรมสารเคลือบยืดอายุผักและผลไม้จากธรรมชาติ ช่วยเกษตรกรได้ ดังนี้
เหมาะสำหรับผู้ประกอบการผักและผลไม้ตัดแต่งสด โรงงานอาหาร เพราะจะช่วยขยายโอกาสทางการตลาดได้กว้างขึ้น ทั้งในรูปการส่งออกตลาดต่างประเทศ หรือวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://edenagri.co.th/
แอปพลิเคชันที่จะช่วยให้เกษตรกรหมดปัญหาขาดแคลนเครื่องมือในฤดูเก็บเกี่ยว
มั่นใจว่าจะไม่มีการผิดนัดเกิดขึ้น
เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการใช้บริการรถเกี่ยวข้าวหรือรถพรวนดิน พร้อมคนขับมืออาชีพ โดยอัตราค่าบริการจะคิดตามขนาดที่นา และพันธุ์ข้าวที่จะต้องเกี่ยว
ดูข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดได้ที่ : https://getztrac.com/
เทคโนโลยีประมวลผลภาพและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพ (Image Processing) และ Deep Learning รูปร่างเหมือนเครื่องสแกน มีการทำงานดังนี้
เหมาะสำหรับผู้ส่งออกข้าวหรือโรงสี ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดของการใช้แรงงานคนสุ่มตรวจคุณภาพข้าว สร้างความเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ปลูกข้าวโรงสี และผู้ส่งออกที่จะได้ข้าวคุณภาพดี มีมาตรฐาน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://easyrice.ai/th
แอปพลิเคชันจ้างโดรน สำหรับการฉีดพ่นสารป้องกันผลผลิตทางการเกษตรจากศัตรูพืช โดยฟังก์ชันของเก้าไร่ มีดังนี้
เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่เกษตร 30 ไร่ขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย เป็นต้น เป็นตัวช่วยให้สามารถลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกได้ดียิ่งขึ้น
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://gaorai.io
เป็นการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาช่วยควบคุมการเลี้ยงไก่ไข่แบบอัตโนมัติ มีการทำงาน ดังนี้
เหมาะสำหรับฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรือนแบบปิด ซึ่งนวัตกรรมนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ตรวจสอบสภาวะของโรงเรือน และตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ทุกตัวในโรงเรือน เช่น หากเกิดไฟดับแค่ภายใน 20 นาที โดยเจ้าของฟาร์มไม่รู้ตัว โอกาสไก่ที่เลี้ยงไว้อาจตายหมดได้ เป็นต้น
ช่องทางการขายผลผลิตเกษตรรูปแบบใหม่ เชื่อมเกษตรกรและผู้บริโภคเข้าหากัน ผ่านวิธีการ “ร่วมเป็นเจ้าของผลผลิตการเกษตร”
เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการขายสินค้าแบบไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สามารถตั้งราคาขายด้วยตัวเองเพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้สิน และราคาผลผลิตตกต่ำ และยังสามารถสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองได้ในอนาคต
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://farmto.co.th/
ศูนย์รวมสินค้าเกษตรจากเกษตรกรและซัพพลายเออร์ สำหรับลูกค้าทั้งกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม และครัวเรือน
เหมาะสำหรับเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล รวมถึงขายสินค้าได้ในราคาที่ดีขึ้น และกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารโรงแรม ตลอดจนผู้บริโภค ที่จะได้ซื้อวัตถุดิบคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.freshket.co
แอปพลิเคชันสำหรับการซื้อ-ขายข้าวอินทรีย์และสินค้าเกษตรปลอดภัย ตัวกลางที่จะช่วยจัดจำหน่ายสินค้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง
เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่าย ทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกไปทั่วโลกด้วยบริการแบบ One Stop Service
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.naturefoods.co
ระบบการซื้อ-ขายผ่านช่องทางออนไลน์ แหล่งรวมสวนคุณภาพที่พร้อมเสิร์ฟผลไม้สดส่งตรงจากเกษตรกรถึงผู้บริโภค
เหมาะสำหรับชาวสวนผลไม้ที่ต้องเพิ่มช่องทางการขายผ่านทางออนไลน์ โดยชาวสวนจะทำหน้าที่คัดคุณภาพผลไม้ แพ็กสินค้า และจัดส่งทางบริษัทขนส่งชั้นนำ หรือแจ้งทีมงานมีแซ่ดให้ติดต่อบริษัทขนส่งไปรับที่สวน โดยที่ทางมีแซ่ดจะช่วยวางแผนการตลาดให้
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://mezfruit.com
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.apptodaygroup.com/dipin2101/
HempThai วิถีชาวม้งในเส้นใยกัญชง
กัญชง พืชเศรษฐกิจที่ผูกพันกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวม้งมาอย่างยาวนาน อารยธรรมที่สวยงามบวกกับคุณสมบัติที่น่าสนใจของกัญชงนี้เอง ทำให้ HempThai หันมาสนใจและทำการศึกษาทดลองเพื่อเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากกัญชง โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมชาวม้ง ผ่านสินค้าแปรรูปจากกัญชง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในชุมชนไปพร้อม ๆ กัน
.
อารยธรรมชาวม้ง วิถีชีวิตและภูมิปัญญาด้านกัญชง
ชาวม้งมีความผูกพันกับกัญชงในทุกช่วงเวลาของชีวิต นอกจากจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่เพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้แล้ว เส้นใยกัญชงยังถูกนำมาถักทอเป็นเปลสำหรับเด็กแรกเกิด เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวัน และในบั้นปลายของชีวิต ชุดจากใยกัญชงจะช่วยคุ้มครองดวงวิญญาณของชาวม้งเมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ ดังนั้น ชาวม้งจึงมีความผูกพันกับกัญชงอย่างเหนียวแน่น ภูมิปัญญาของชาวม้งที่ใช้ในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และผลิตเส้นใยกัญชงนี้เอง ที่ทำให้กัญชงไทย มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากกัญชงประเทศอื่น ๆ
.
วิธีการที่แตกต่าง นำมาซึ่งคุณสมบัติที่แตกต่าง
คุณสมบัติของเส้นใยกัญชงนั้นแตกต่างกันไปตามกระบวนการปลูกและการผลิต รูปแบบการปลูกเชิงอุตสาหกรรมหรือการเร่งปลูกจะทำให้คุณสมบัติของกัญชงหายไป ซึ่งการปลูกกัญชงของชาวม้งจะเป็นแบบออร์แกนิค ไม่มีการใช้สารเคมี จุดนี้เองที่ทำให้คุณสมบัติของกัญชงไทยยังคงอยู่อย่างครบถ้วน เส้นใยกัญชงสามารถป้องกันแบคทีเรีย เชื้อรา ไรฝุ่น ยูวี และยังระบายอากาศได้ดีอีกด้วย กัญชงไทยจึงเป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่นและชาวยุโรป เนื่องจากมีความแข็งแรงและมีคุณสมบัติที่ดี และเขามองเห็นและให้คุณค่ากับสินค้าเชิงวัฒนธรรม จึงทำให้กัญชงไทยสามารถเพิ่มมูลค่าได้
.
ผลิตภัณฑ์และชุมชน ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
เป้าหมายของ HempThai นอกจากการทำให้กัญชงไทยเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากต่างประเทศแล้ว การที่ HempThai นำเอาสินค้าแปรรูปจากกัญชงมาพัฒนาต่อยอดให้มีความหลายหลาย ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน สิ่งที่ตามมาคือการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น มีกี่ทอมือจำนวนมากขึ้น เพิ่มจำนวนกี่ที่ทำงานได้หลากหลายมากขึ้น มีการสอนเทคนิคการทอผ้า ปักผ้า พัฒนาฝีมือของคนในชุมชน และนำเอาเครื่องจักรมาช่วยทุ่นแรงในการแยกเปลือกกับตัวแกนของต้นกัญชง เพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ชุมชนเติบโต
.
การยอมรับจากเด็กรุ่นใหม่ในชุมชนคือสิ่งสำคัญ
ทุกวันนี้ มีเด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไปทำงานในเมืองเพื่อหารายได้ ด้วยความหลากหลายทางอาชีพที่มากกว่า และโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากกว่า แต่เมื่อสินค้าจากชุมชนมีการพัฒนาและมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่หันกลับมามองชุมชนของตัวเอง มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่พ่อแม่ตัวเองทำและเกิดความรู้สึกอยากพัฒนาต่อยอดในรูปแบบที่เขาถนัด ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนขยายไปเรื่อย ๆ HempThai จึงพยายามจัดกิจกรรมที่หลากหลายให้กับเด็ก ๆ ในชุมชน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถหรือถนัดด้านใดก็ตาม พวกเขาก็สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนได้
.
นวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า และการพัฒนาต่อยอดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยคติของแบรนด์ที่ไม่หยุดอยู่กับที่ และทดลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ปัจจุบัน HempThai ได้มีการนำเอานวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาผ้าใยกัญชง ทำให้มีคุณสมบัติพิเศษ ทั้งการเติมนาโนแคปซูลให้ผ้าปล่อยกลิ่นหอม การเพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ กันไฟ เพื่อใช้ในการทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน และมีการทดลองเพื่อแปรรูปทุกส่วนของต้นกัญชงให้มีประโยชน์มากที่สุด ทั้ง เส้นใย แกน ราก ใบ และเมล็ด ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อใช้เป็น ฝ้า ไม้อัด หลังคา หรือนำมารับแรงกระแทกในกระดานโต้คลื่น โดยทำการวิจัยร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
.
เลือกตลาดที่เหมาะกับสินค้า
นอกจากการพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมและงานออกแบบแล้ว การเลือกกลุ่มลูกค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน มีกรณีศึกษาจากผลิตภัณฑ์ของ HempThai ที่อาจไม่ตอบโจทย์ชาวไทย แต่ถูกใจชาวต่างชาติสุด ๆ
.
การปรับตัวเพื่ออยู่รอดในช่วงวิกฤต
ทุกธุรกิจที่ทำผ้าผืน ต่างเอาตัวรอดด้วยการผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อจำหน่ายในช่วงโควิด-19 ทาง HempThai ได้ทำการหาข้อมูลและพบว่าผ้าคอตตอนหรือผ้าชนิดอื่นที่ใช้สีเคมีในการย้อม เมื่อสูดดมเข้าไปสามารถสะสมและส่งผลเสียต่อร่างกายได้ จึงมุ่งสื่อสารที่จุดแข็งของ HempThai คือ กระบวนการผลิตที่เป็นออร์แกนิคทั้งหมด ใช้สีธรรมชาติที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว รวมถึงคุณสมบัติที่ระบายอากาศได้ดี ทำให้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แคนาดา ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา
.
จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการช่วยเหลือชาวบ้านและพัฒนาชุมชน ควบคู่กับการนำเสนอสินค้าไทยเพื่อให้ต่างชาติได้ประจักษ์ นำมาสู่การพัฒนาต่อยอดจนเป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมของชาวม้ง สิ่งนี้เองที่สร้างให้ HempThai เป็น HempThaiอย่างทุกวันนี้
.
ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ HempThai สามารถติดต่อได้ที่
Hemp Thai by DD NATURE CRAFT CO., LTD
ที่อยู่ : 68/57 หมู่ 5 ถ.กิ่งแก้ว ซ กิ่งแก้ว 40/2 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540
โทร. : (+66) 819110147, (+66) 654310863
อีเมล : info@hempthai.com
Website : www.hempthai.com
Facebook: hempthaishop
Instagram: hempthai
Line Official: HempThai
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
การทำการตลาดบน Google Search ทั้งแบบ SEM กับ SEO มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั้งคู่ทำงานบนระบบเดียวกันนั่นก็คือ Search Marketing ซึ่งจะต้องอิงผ่านเว็บไซต์ค้นหา แต่ทั้งสองมีหลักในการทำงานที่ต่างกันออกไป
SEM (Search Engine Marketing)
การทำ SEM คือการทำการตลาดออนไลน์บน Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหา เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าและบริการของธุรกิจเรามากขึ้น อีกทั้งการทำ SEM จะช่วยให้การทำการตลาดของเรานั้นมีประสิทธิภาพและเป้าหมายอย่างที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจมากที่สุดอีกด้วย โดยจะประกอบด้วย
Paid Search หรือ Search Advertising: คือการทำโฆษณาโดยมีค่าใช้จ่าย เมื่อมีการคลิกเข้าไปดูที่เว็บไซต์ ซึ่งจ่ายในรูปแบบการคลิกเรียกว่า PPC (Pay Per Click)
Organic Search หรือ Natural Search: เป็นการที่เว็บไซต์ของคุณจะถูกแสดงผลจากการค้นหาอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องเสียค่าทำโฆษณา ซึ่งเป็นการตลาดในส่วนของ SEO ที่ช่วยเพิ่มอันดับในการค้นหา โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อดันให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ บน Search Result Page
เทคนิคทำโฆษณาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับธุรกิจ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 : การกำหนด Keyword โดยกำหนดจากสิ่งที่เราคาดการณ์ว่าลูกค้าจะ Search คำว่าอะไรเป็นคำแรก ซึ่ง Keyword ก็คือ คำทั่ว ๆ ไป เป็นคำที่ลูกค้าเลือกใช้ในการค้นหาสินค้าชนิดนั้น ๆ
ส่วนที่ 2 : การออกแบบโฆษณาที่น่าสนใจและดึงดูด ข้อความโฆษณาต้องมีความแตกต่าง น่าสนใจ ดึงดูด และชูจุดขายของสินค้าหรือร้านค้า
ส่วนที่ 3 : Landing page หรือเว็บไซต์ เป็นหน้าแรกที่โชว์ขึ้นมาหลังจากคลิกโฆษณา ซึ่งจะนำทางลูกค้าเข้าไปในเว็บไซต์หรือเข้าไปในหน้า ที่เขาต้องการค้นหาจริง ๆ
ทั้ง 3 ส่วนนี้คือหัวใจสำคัญของ Search Engine เพราะว่าหากลูกค้าค้นหา Search Keyword แล้วเจอข้อความโฆษณาที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ ลูกค้าก็ไม่คลิกลิงก์เรา แต่เลือกไปคลิกที่อื่น ทำให้เสียโอกาสในการขายสินค้า
ในทางกลับกันถ้ามีคำโฆษณาที่โดนใจและตรงความต้องการ ก็สามารถดึงดูดให้ลูกค้าคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ เมื่อเข้ามาในเว็บไซต์แล้วพบว่ามีข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือขายสินค้าที่ลูกค้ากำลังต้องการ ก็ทำให้มีโอกาสที่จะขายสินค้าได้
อ่านเพิ่มเติม : www.bangkokbanksme.com/techniques-search-marketing-customers-find-your-shop
วิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จากธุรกิจที่เคยเป็นฮีโร่กลับต้องมาเจอศึกหนัก โดยมีการคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกจะฟื้นตัวในปี 2567 โดยจีนน่าจะฟื้นก่อนในช่วงปี 2566 โดยรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนจะมาก่อนการเดินทางแบบธุรกิจ ขณะที่การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะค่อยๆ ตามมา โดยคาดว่าธุรกิจสายการบินจะฟื้นตัวในปี 2569 ส่วนภาคธุรกิจโรงแรมที่พัก คาดว่าจะฟื้นตัวประมาณปี 2571 และธุรกิจทัวร์จะฟื้นตัวในปี 2573
นั่นหมายความว่า ภาคธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหมดของไทยยังคงต้องอยู่กับไวรัสโควิด-19 ไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นวันนี้นอกจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวต้องหยุดเลือดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้องค์กรอยู่รอดแล้ว คงต้องหันมาถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อมองไกลไปในอนาคตหลังพ้นวิกฤตครั้งนี้ ว่าจะปรับตัวสู่การทำธุรกิจแบบ New Normal กันอย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์การแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสส่งต่อเชิงนโยบาย โครงสร้างธุรกิจ รวมถึงรูปแบบการท่องเที่ยว ทั้งยังเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของผู้บริโภคไปด้วย
และนี่คือ 5 แนวทางการปรับตัวไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยวยั่งยืน และสะอาดปลอดภัยซึ่งจะเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวในยุค Next Normal
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ก็ยิ่งทำให้ทุกคนใส่ใจในเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวผู้ประกอบการต้องปรับปรุงมาตรฐานเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ด้านสุขอนามัยของกระทรวงสาธารณสุขสำหรับใช้ตราสัญลักษณ์ SHA Plus+ ถือเป็นการยืนยันความพร้อมของบุคลากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 แล้ว นอกเหนือจากมาตรการความปลอดภัยด้านอื่น เช่น การคัดกรองลงทะเบียนผู้รับบริการ จัดให้รักษาระยะห่าง ระบายอากาศที่ดี จัดที่ล้างมือ/เจลแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดพื้น เน้นทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมและห้องน้ำ เพิ่มรอบทำความสะอาด มีการจัดการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี และการสื่อสารแจ้งข้อปฏิบัติ สำหรับผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ล้างมือ รักษาระยะห่าง ลดการสัมผัส/งดใช้ของร่วมกัน จัดอาหารเฉพาะบุคคล และขอความร่วมมือให้ลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะสำหรับการติดตามตัว เมื่อใช้บริการในสถานที่ต่าง ๆ
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย น่านฟ้าเปิด นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาท่องโลกอีกครั้ง แต่การท่องเที่ยวครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เพราะพฤติกรรมที่เคยชินจากการหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าเป็นระยะเวลานาน แนวโน้มการท่องเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์จะลดน้อยลงหรือหากเที่ยวเป็นกลุ่มเพื่อนก็จำกัดจำนวนให้น้อยลง เหลือแค่เพียงคนใกล้ตัวเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคและคาดว่านักท่องเที่ยวในกลุ่มธุรกิจจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่เดินทางมาท่องเที่ยว นี่จึงเป็นโอกาสดีในการสร้างการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ด้วยการปรับตัวจากการแข่งขันด้านราคา (Red Ocean) หรือกรุ๊ปทัวร์ที่เน้นปริมาณ ยกระดับสู่การท่องเที่ยวคุณภาพ (Blue Ocean) เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) การท่องเที่ยวด้านการแพทย์ (Medical Tourism) เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวมีคุณภาพใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยนานมากขึ้น และเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวให้สูงขึ้น
แนวโน้มการท่องเที่ยวในอนาคตอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก็คือ นักท่องเที่ยวจะหลีกเลี่ยงการไปเที่ยวสถานที่สำคัญ หรือสถานที่มีชื่อเสียง เพื่อลดความเสี่ยงในการเผชิญกับผู้คนจำนวนมาก ประกอบกับความเคยชินจากการรักษาระยะห่างทางสังคม ดังนั้นสถานที่ยอดนิยมในอดีตจึงกลายเป็นเป้าหมายรอง โดยการท่องเที่ยวแบบสำรวจธรรมชาติอย่างเช่น การเดินป่า ปีนเขา การดำน้ำลึก และการท่องเที่ยวชุมชนจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้เป็นการท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนไม่มาก ทำให้ความเสี่ยงด้านโรคภัยไข้เจ็บจะลดน้อยตามไปด้วย ผู้ประกอบการควรใช้ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาสร้างโอกาสทางธุรกิจ ดัวยการพัฒนาสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งแบ่งออกเป็น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (Green Ocean) พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ และการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อตอบโจทย์สังคม (White Ocean) ด้วยการชูอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เชื่อมโยงกับจุดแข็งของประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงความรู้
แสวงหาความร่วมมือสร้างพันธมิตรเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยว หรือยกระดับการบริการ โดยผู้ประกอบการอาจจะจับมือกับหน่วยงานภาครัฐ หรือชุมชนในการจัดการธุรกิจท่องเที่ยว ยกตัวอย่างสร้างความเข้าใจให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ ใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นสร้างเอกลักษณ์การท่องเที่ยวเฉพาะพื้นที่ และให้ความสำคัญในการดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือผู้ประกอกบการธุรกิจโรงแรมอาจร่วมมือกับธุรกิจด้านสุขภาพ หรือสตาร์ทอัพผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจองที่พักเพื่อให้ลูกค้าสามารถรับสิทธิพิเศษในการเข้าพัก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าพักมากขึ้น หรือแอปพลิเคชั่นในการดำเนินงานทั้งการจ่ายเงิน รับสลิป การเปิดปิดประตูห้องเพื่อลดการสัมผัส เป็นต้น
การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ โดยการสร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผน เดินทาง ใช้จ่าย ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจหรือทำการตลาดส่วนบุคคล (Personalization) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแต่หากผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่มีบุคลากรด้านไอที ก็สามารถซื้อแพ็กเกจซอฟท์แวร์โซลูชั่นจากบริษัทผู้ให้บริการ Software as a Service ได้
จากแนวทางดังกล่าว น่าจะเป็นหนทางที่ทำให้ผู้ประกอบได้ปรับตัวเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ต่อไป เพราะการส่งมอบคุณค่าให้นักท่องเที่ยวได้มากขึ้น จะนำไปสู่การกลับมาเที่ยวซ้ำ ส่งผลให้ธุรกิจการท่องเที่ยวเติบโตได้ในระยะยาว
สำหรับ SMEs ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การนำเอา 5 เทรนด์การท่องเที่ยวไปประยุกต์ใช้นั้น ไม่จำเป็นต้องทำทีเดียวพร้อมกันหากยังไม่พร้อม แต่จะต้องดูว่าเทรนด์ใด เหมาะกับรูปแบบธุรกิจของตัวเองมากที่สุด และสามารถทำได้เร็วและได้ผลตอบรับดีที่สุด