“ทีเส็บ” ผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยี หนุน SMEs
ต่อยอดธุรกิจไมซ์ให้ยั่งยืนในอนาคต
ทีเส็บเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจในทุกภาคส่วนมาโดยตลอดและได้มีการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SMEs มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสนับสนุนตั้งแต่การสร้างฐานข้อมูล ส่งเสริมและพัฒนาตลาด สนับสนุนเงินทุน รวมถึงการให้องค์ความรู้
คุณจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจไมซ์สามารถนำข้อมูลหรือความรู้จากโครงการต่างๆ ที่ทางทีเส็บสนับสนุนไปใช้ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ในการดำเนินธุรกิจ อาทิ โครงการ MICE Winnovation: Winning with the Innovation
“โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการจัดงานไมซ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการไมซ์แบบครบวงจรในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดงานไมซ์อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์จริงที่ตอบโจทย์แต่ละธุรกิจและองค์กร ทั้งการจัดทำแหล่งรวบรวมข้อมูลนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมไมซ์มาเชื่อมโยงเป็น Marketplace เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยในธุรกิจไมซ์ได้พบปะกับผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจให้มีความแตกต่างเหนือคู่แข่งและมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น การสนับสนุนเงินทุนด้านการตลาด การจัดหาเวทีพบปะเจรจาธุรกิจ และการให้องค์ความรู้เพื่อให้เกิดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้งานได้จริงเป็นการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของการทำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
ทั้งนี้แนวทางการดำเนินงานของโครงการ MICE Winnovation มี 4 กิจกรรมหลัก คือ
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่พร้อมให้บริการกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจไมซ์ คือ Thai MICE Connect เป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ผ่านการรวบรวมฐานข้อมูลสินค้า บริการ สถานที่ บริษัท ในทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งหมดให้เข้าถึงง่ายภายในเว็บไซต์เดียว ซึ่งทีเส็บได้พัฒนาจนสามารถเรียกได้ว่าเป็น e-Marketplace ของธุรกิจไมซ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งแรกของไทย (www.thaimiceconnect.com)
โดยปัจจุบันมีข้อมูลจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอยู่ใน Thai MICE Connect แล้วกว่าหมื่นราย โดยข้อมูลต่างๆในแพลตฟอร์มนี้แบ่งออกเป็น 12 หมวดหมู่ คือ สถานที่จัดงาน ออแกไนเซอร์ ท่องเที่ยว/นำเที่ยว ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม บริการสำหรับผู้จัดงาน ธุรกิจบริการอื่น ๆ วิทยากร โชว์/การแสดง ร้านค้า/สินค้า โลจิสติกส์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ภาครัฐ/สมาคม) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการจัดกิจกรรมไมซ์ได้ง่ายขึ้น เพียงกรอกรายละเอียดเพื่อค้นหาสถานที่จัดงาน และบริการได้ตามประเภทธุรกิจ หรือจะเลือกจากรูปแบบกิจกรรมที่ต้องการจัด ระบบจะประมวลผลจับคู่ธุรกิจอัตโนมัติให้ทันที และยังพูดคุยผ่านแชตหรือวิดีโอคอลกับผู้ประกอบการได้โดยตรง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ให้ผู้ใช้งานได้รับรู้ข่าวสารในแวดวงไมซ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ได้อีกด้วย
แพลตฟอร์ม Thai MICE Connect จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลจากทั้งแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไมซ์ ผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมงาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
สำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจเข้าร่วม Thai MICE Connect สามารถสมัครเป็นสมาชิกผ่านทาง www.thaimiceconnect.com โดยเลือกได้ว่าจะใช้อีเมล Faceboook, Line หรือเบอร์โทรศัพท์ในการสมัครซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะช่วยเพิ่มช่องทางการโปรโมตธุรกิจของสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการไมซ์ทุกภาคส่วนให้เป็นที่รู้จักเพิ่มโอกาสการขายผลิตภัณฑ์และการบริการ รวมถึงส่งเสริมการจัดงานไมซ์ในประเทศ สร้างรายได้ และสร้างการจ้างงานจากการจัดงานไมซ์ โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Error! Hyperlink reference not valid. เฟซบุ๊ก www.facebook.com/ThaiMICEConnect/ ไลน์ @thaimiceconnect หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ 02-021-5515 (ไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้งาน)
นอกจากนี้ ทีเส็บยังมีโครงการอบรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจไมซ์อย่างต่อเนื่อง เช่น การอบรมมืออาชีพด้านการจัดงานอย่างยั่งยืนวันที่ 23-24 พฤษภาคม ที่โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ และจัดในรูปแบบออนไลน์ วันที่ 4 มิถุนายน-19 สิงหาคม ซึ่งดำเนินการจัดอบรมโดยฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ การอบรมออกแบบเมนูอาหารเพื่อสุขภาพเชิงสร้างสรรค์ หรือ The Creative Healthy Food Design วันที่ 26พฤษภาคม ที่จังหวัดสงขลา การอบรมการตลาดออนไลน์แก่บุคลากรภาคการท่องเที่ยวเกาะสมุย วันที่ 25 มิถุนายน ที่สุราษฏร์ธานี และการอบรมผู้ประกอบการ Digital Marketing สู่การปรับตัวอย่างมืออาชีพวันที่ 19 กรกฎาคม ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งดำเนินการจัดอบรมโดยสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคใต้ เป็นต้น
ทีเส็บได้ดำเนินการจัดทำโครงการและกิจกรรมต่างๆ มากมายที่พร้อมสนับสนุนและสรรหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มามอบให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจไมซ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ อัปเดตข่าวสารและเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปต่อยอดในการดำเนินธุรกิจ อาทิ
ศูนย์ข้อมูล MICE Intelligence Center บนเว็บไซต์ www.businesseventsthailand.com โดยเป็นศูนย์ข้อมูลที่รวบรวมเกี่ยวกับเรื่องเทรนด์และองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมไมซ์ในมิติต่างๆ ของประเทศไทยและต่างประเทศ ผ่านการนำเสนอเนื้อหาภาพรวมและโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ที่น่าเชื่อถือในรูปแบบบทวิเคราะห์ที่กระชับเข้าใจง่ายและน่าสนใจทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เช่น ข้อมูลบทวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวในภาคอุตสาหกรรม (Real Sectors Analysis) แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ (S-Curve) สถิติตัวเลขนักเดินทางไมซ์ที่เข้ามาในประเทศไทยโดยแบ่งเป็นรายประเทศ รายได้ในการใช้จ่ายต่อคนต่อทริป จำนวนงานไมซ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี และการคาดการณ์ตัวเลขในอนาคตที่นำเสนอในรูปแบบ Interactive Dashboard รวมถึงข้อมูลนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากทีเส็บ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้ประกอบการ SMEsในธุรกิจไมซ์สามารถนำไปใช้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการต่อยอดธุรกิจที่นำไปสู่การยกระดับการจัดงานไมซ์ของผู้ประกอบทุกรายได้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าใช้บริการศูนย์ข้อมูลดังกล่าวแล้วกว่า 1.4 ล้านคน
อีกทั้ง ยังมีการจัดทำระบบการเก็บข้อมูลอุตสาหกรรมไมช์ในรูปแบบไฟล์ดิจิตัลและหนังสือดิจิตัล โดยรวบรวมในลักษณะห้องสมุดอิเลคทรอนิกส์ ที่เรียกว่า TCEB E-Library ซึ่งเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่ทีเส็บได้จัดทำขึ้น เช่นวารสาร MICE Guru by TCEB โบว์ชัวร์ผลิตภัณฑ์ไมซ์ในเส้นทางต่างๆ เป็นต้น เพื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจไมซ์ตลอดจนผู้ที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมไมซ์ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าข้อมูลดังกล่าวได้ง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม MICE Intelligence Talk 2022 ซึ่งจัดเป็นสัมมนาพิเศษร่วมกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้กลุ่ม Startup และผู้ประกอบการ SMEs ในยุค New Normal ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค ได้เพิ่มพูนทักษะความรู้ ความสามารถในการนำข้อมูลหรือความรู้ใหม่ๆ ไปพัฒนาและเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมไมซ์ในอนาคตต่อไปได้ โดยทีเส็บได้ดำเนินการจัดกิจกรรมดังกล่าวไปแล้วในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และในส่วนของภูมิภาคจัดที่จังหวัดขอนแก่นเดือนพฤษภาคม และจังหวัดภูเก็ตเดือนมิถุนายน
ทุกท่านสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/miceinthailand หรือ https://www.businesseventsthailand.com
บทสัมภาษณ์สําหรับลงในสื่อของ สสว. ภายใต้โครงการพัฒนาเนื้อหาให้บริการวิสาหิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดย
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อํานวยการด้านระบบนวัตกรรม สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ประเด็นถาม-ตอบ
1. นโยบายการให้ความช่วยเหลือSMEของNIAทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในมุมของการสนับสนุนและสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ SME ได้ด้วยนวัตกรรมมีเรื่องใดบ้าง มาตรการระยะสั้น
- โครงการ “นิลมังกร” ซึ่งเป็นโครงการที่นําผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในส่วน ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย มาส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้ในด้านนวัตกรรม รูปแบบธุรกิจนวัตกรรม และการสร้างแบรนด์และเล่าเรื่องสินค้าและบริการนวัตกรรม รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดระบบการ จับคู่ผู้เชี่ยวชาญในการให้คําปรึกษาในรายธุรกิจ เน้นการนําไปปฏิบัติจริง ซึ่งสามารถทําให้ยอดขาย เติบโตอย่างน้อย 5 เท่า ในระยะเวลา 12 เดือน และมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมเป็นที่ รู้จักและยอมรับมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมในมิติต่างๆ ผ่าน หลักสูตรของ NIA Academy
สําหรับแผนงานของ NIA ในปีนี้จะโฟกัสใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
- สิ่งสําคัญที่ SME ต้องให้ความสําคัญคือ 1) กลยุทธ์นวัตกรรม นํานวัตกรรมมาสร้างโอกาสอย่างไรกับ ธุรกิจ 2) การลีนและเพิ่มประสิทธิภาพ นําเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมกระบวนการมาปรับใช้ อย่างไรเพื่อเค้นประสิทธิภาพการทํางาน และ 3) การบริหารจัดการทรัพยากรและความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ระบบเศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุปทาน และสภาวะการเมืองยังมีความผันผวน
สป.อว.ช่วยขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทย
ผ่านงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษาของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางการเกิดขึ้นของ Megatrends ที่เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญ และส่งผลต่อการผลักดันภารกิจต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนับจากนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างคน เพื่อรองรับต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ที่เชื่อมต่อจากรั้วมหาวิทยาลัยไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ไทย
ขณะเดียวกัน สป.อว. หรือ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม คือ
หน่วยงานสำคัญด้านบูรณาการงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีบทบาทด้านการส่งเสริมการพัฒนารูปแบบความร่วมมือ กลไกการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับหน่วยงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และ ชุมชน ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.)
ภายใต้แผนการการขับเคลื่อนกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ไทยด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) จะมีการร่วมวิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนายอดงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการสู่การใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม มีการบ่มเพาะ พัฒนา SMEs และ Startup ที่มีฐานจากงานวิจัย หรือภูมิปัญญา รวมทั้งเร่งการเติบโตของของธุรกิจเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง มีการสนับสนุนปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในระดับพื้นฐานสู่เชิงพาณิชย์ และยกระดับขีดความสามารถของสถานประกอบการด้วยกระบวนการ ววน. เพื่อปรับปรุงและแก้ปัญหาในกระบวนการผลิต หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
รวมถึงมีบริการให้คำปรึกษา ถ่ายทอดเทคโนโลยี เผยแพร่ความรู้ด้าน ววน. และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักด้าน ววน. และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งเสนอแนะมาตรการและแรงจูงใจในการปรังปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจนวัตกรรมของผู้ประกอบการ เป็นต้น
ศจ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวแสดงทัศนะคติที่มีต่อ SMEs และ Startup ไทย มีความตั้งใจและพร้อมที่จะเรียนรู้ในการนำองค์ความรู้ด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจได้ดี แต่ยังขาดการกระจายตัวในเรื่องของการใช้ทักษะ (Skill) ด้านดิจิทัล โดยจะเห็นได้ว่า SMEs และ Startup ที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ยังไม่สามารถนำทักษะด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ได้เท่ากับ SMEs และ Startup ในพื้นที่ส่วนกลาง
โดยแผนงานในปีนี้ ทางสป.อว.จะมุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถของ SMEs และ Startup ให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการ และ Startup เนื่องจากภาคเอกชนมีประสบการณ์ด้าน
การตลาดค่อนข้างมาก
ตัวอย่าง โครงการที่ประสบความสำเร็จ และส่งผลต่อการยกระดับขีดความสามารถของ SMEs คือ โครงการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นโครงการที่นำโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมายกระดับ SMEs ทำให้ SMEs มีศักยภาพในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น สามารถลดต้นทุนในการผลิตทั้งยังสามารถยกระดับความสามารถใช้เทคโนโลยีของ SMEs อีกด้วย
ในส่วนของแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถของ SMEs ไทย ที่ได้จัดทำไปในปี 2564 ทาง สป.อว.ได้ดำเนินกิจกรรมตามแผนยุทธศาสตร์ การส่งเสริม พัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของแผนยุทธศาสตร์สำคัญ และมีความเชื่อมโยงไปสู่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยมากที่สุด
โดยการดำเนินงานจะจัดทำผ่านแผนการส่งเสริม พัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศมีเป้าหมายให้ชุมชนและผู้ประกอบการได้รับการยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์และคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิจัยและนวัตกรรม โดยแผนงานที่ได้จัดทำไปแล้ว ได้แก่
1)โครงการสร้างและพัฒนาวิสาหกิจในระยะเริ่มต้น เพื่อการสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ และใช้งานวิจัย และนวัตกรรมใหม่ๆ ในสถาบันต่อยอดออกสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
2) โครงการพัฒนาสภาพแวดล้อมในการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้เกิด Startup Ecosystem ในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งผู้ประกอบการ และยกระดับของมหาวิทยาลัยในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อส่งเสริมความตระหนักการตื่นตัวในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม
3)โครงการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (นิคมธุรกิจวิทยาศาสตร์ภูมิภาค) เพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนาในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย สป.อว. ได้สนับสนุนงบประมาณให้ดำเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ จำนวน 5 หน่วยงาน ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเครือข่าย อุทยาน วิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นและเครือข่าย อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา)
4)โครงการพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ OTOP ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต มาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักร เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ มาตรฐาน สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยได้มีการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ OTOP ตามแนวทางคูปองวิทย์ 6 ด้าน คือ พัฒนาคุณภาพวัตถุดิบ กระบวนการผลิต นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ มาตรฐานบรรจุภัณฑ์ และเครื่องจักร
5)โครงการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต้นแบบภายใต้โครงการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอัตลักษณ์ที่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ของภาค เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานสู่เชิงพาณิชย์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากเกษตรอัตลักษณ์
6)โครงการการส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ภาคใต้ชายแดน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมบริหารจัดการฟาร์ม ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตและแปรรูปปศุสัตว์ เป็นการสร้างความเป็นอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ภาคใต้ชายแดนที่จะพัฒนาเข้าสู่ระบบการผลิตเชิงการค้าและรองรับอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อการจัดจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกต่อไปในอนาคต
7)การถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อสร้างความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่มีความสำคัญตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีที่นำไปสู่พาณิชย์ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับกระบวนการผลิตภายในประเทศตามความต้องการของภาคผลิตและบริการ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการยกระดับความสามารถการแข่งขันและวางรากฐานทางเศรษฐกิจ และสร้างนวัตกรรมสำหรับเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนนวัตกรรม
สำหรับแผนปฏิบัติการประจำปี 2565 ของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะมีความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ ฉบับปรับปรุง ยุทธศาสตร์จัดสรร เป้าหมายการให้บริการกระทรวง เป้าหมายการให้บริการหน่วยงาน ผลผลิต/โครงการ ของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ศจ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวเสริมว่า ความท้าทายของ SMEs และ Startup ไทยในยุค Post COVID-19 เป็นเรื่องของกำลัง
ซื้อของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปมากและมีแนวโน้มที่จะลดลง ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัว หันมาทำธุรกิจที่มีความสอดคล้องกับกำลังซื้อของลูกค้า ประกอบกับในภาวะสงครามทำให้สินค้าหลายชนิดปรับราคาสูงขึ้น มีต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรมีการศึกษากลไกราคาสำหรับการทำธุรกิจและเลือกขายผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของคุณภาพและราคา
“ที่ผ่านมา ในส่วนของ สป.อว. ก็มีความท้าทายอย่างหนึ่ง คือการเข้าถึงกลุ่ม SMEs และ Startup ในไทยที่มีความ
ต้องการที่จะได้รับการส่งเสริมและการพัฒนาจริงๆ ยังไม่ทั่วถึง ดังนั้น สป.อว. ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานทั้งในส่วนของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานวิจัยต่างๆ จึงต้องร่วมผลักดันทั้งสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานวิจัย ในการทำเอาศักยภาพ องค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านั้น เข้ามาช่วยเหลือและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ศจ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าว
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
บีโอไอออกมาตรการด้านเทคโนโลยี
เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ SMEs
การที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบริษัทต่างชาติผ่านมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติสู่ภาคเอกชนของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ได้มีโอกาสพัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้ทั้งตนเองและอุตสาหกรรมโดยรวม
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ โดยการให้สิทธิและประโยชน์ในการลงทุน การเสริมสร้างปัจจัยเกื้อหนุนต่อการลงทุน การส่งเสริมการลงทุนและการบริการลงทุนจึงให้ความสำคัญและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นโครงการ SMEs เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ
ที่ผ่านมา โครงการลงทุนของ SMEs ไทย ส่วนใหญ่เป็นกิจการด้านดิจิทัล อาทิ การพัฒนาซอฟต์แวร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ และการให้บริการด้านดิจิทัล รองลงมาเป็นกิจการแปรรูปสินค้าเกษตร การผลิตอาหาร การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมสนับสนุน อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเครื่องจักร และผลิตภัณฑ์โลหะ นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีหลัง เริ่มมี SMEs ในกลุ่มกิจการด้านเทคโนโลยีมากขึ้น อาทิ การวิจัยและพัฒนา การออกแบบทางวิศวกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เป็นต้น
สำหรับปีนี้ บีโอไอเน้นส่งเสริมให้ SMEs ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านต่างๆ อาทิ การใช้พลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรทันสมัยหรือระบบอัตโนมัติ การยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่มาตรฐานสากล อาทิ GAP, FSC, ISO 22000
อย่างไรก็ดี จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น บีโอไอได้ออกมาตรการเพิ่มเติมด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กร และการผลิต หรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ดิจิทัล ทำให้เกิดการพัฒนาและการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศตามมา
ทั้งนี้ โครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท แต่สำหรับ SMEs จะลดเหลือเพียง 5 แสนบาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการนำซอฟต์แวร์ ระบบ ERP หรือระบบ IT อื่นๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร หรือใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบออนไลน์ของภาครัฐ อาทิ National E–Payment หรือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning การใช้ Big Data หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน
บีโอไอยังมีการสนับสนุน SMEs ในอีก 5 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย
ทั้งหมดนี้บีโอไอหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมศักยภาพให้ SMEs ไทยเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
DITP เร่งติดปีก SMEs ไทย
ให้บินไกลไปตลาดโลก
SMEs ในประเทศไทยถือเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด จากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำ 2564 ระบุว่ามี SMEs มากกว่า 300,000 ราย สร้างรายกว่า 90% ของธุรกิจในประเทศไทยทั้งหมด สำหรับส่วนของการส่งออกก็เช่นเดียวกัน สัดส่วนผู้ส่งออกรายใหญ่มีอยู่ 10% ในขณะที่รายย่อยมีถึง 90% ดังนั้นกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือ DITP จึงเล็งเห็นช่องว่างในการสร้างผู้ประกอบการที่พร้อมส่งออกให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต
คุณอารดา เฟื่องทอง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่าภารกิจในการการช่วยเหลือ SMEsไทยถือเป็นนโยบายหลักที่คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายไว้ให้กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยมีภารกิจหลัก 4 ด้านที่เรียกว่า 3P 1S เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SMEsไทยมีโอกาสก้าวไกลไปค้าขายในต่างประเทศได้ ซึ่งทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย
People พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านการค้าระหว่างประเทศ
Product สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ
Places การพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อผลักดันให้สินค้าและบริการของไทยสามารถเจาะตลาดโลกได้
Services การให้บริการทั้งข้อมูล คำปรึกษา การเชื่อมโยงธุรกิจ
สำหรับภารกิจข้อแรก People พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านการค้าระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่าหลังจากเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก การพบปะเจอกันแบบ Face to Face เพื่อทำ Business Matchingไม่สามารถทำได้การติดต่อสื่อสารจึงเปลี่ยนมาสู่ช่องทางออนไลน์และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ DITP จึงมุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 กลุ่มหลักคือกลุ่ม Traditional Exporter ผู้ประกอบการรุ่นเก่าที่มากประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญในการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศแต่ไม่คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีหรือช่องทางออนไลน์กับ New Exporter ผู้ประกอบรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีมีความเชี่ยวชาญในด้านดิจิตัลแต่ขาดประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ
“ผู้ประกอบการณ์ 2 กลุ่มนี้เป็น 2 กลุ่มที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเน้นย้ำและพยายามมากที่จะช่วยเหลือเขาในช่วงที่ผ่านมา เราได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ NEA ทำหน้าที่ช่วยเหลือ นอกจากนั้นเรายังมีโครงการที่มีชื่อว่าปั้นเจนซี ให้เป็นซีอีโอ From Gen Z to be CEO ซึ่งจะช่วยสร้างผู้ส่งออกรุ่นใหม่เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการผู้ส่งออกให้เข้ามาอยู่ในระบบการค้าระหว่างประเทศซึ่งที่ผ่านมาเราพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีความสนใจทำธุรกิจต้องการไปเป็น CEO ในอนาคตไปแล้วกว่า 20,000 คนในปี 2564และปี 2565 เราจะเดินหน้าร่วมมือทำต่อกับ 95 มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศไทยโดยเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะพัฒนาผู้ประกอบการให้ได้เพิ่มอีก 20,000 รายเพื่อให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้มีส่วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของไทยเข้มแข็งมากขึ้น”
อีกกลุ่มที่ DITP ให้ความสำคัญคือผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นค่อนข้างมากในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19และคุณอารดามองว่ามีความรู้ความสามารถรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ทำธุรกิจแบบใหม่ในพื้นถิ่นตัวเอง
“เรามองเห็นศักยภาพของคนกลุ่มนี้เราจึงมีโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ Salesman จังหวัด Go-Inter ขึ้นมา โดยเรามีสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เราเห็นว่าเริ่มมีการไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในทุกจังหวัดจึงพยายามไปค้นหาดวงดาวเหล่านี้เพื่อพัฒนาศักยภาพของเขาและให้เขาสามารถทำการค้าไปยังต่างประเทศได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องมาอยู่เมืองใหญ่ ให้เขาสามารถเข้าร่วมกิจกรรม Online Matching กับเราได้สามารถใช้ศักยภาพวัตถุดิบในพื้นถิ่นของเขาแล้วนำมาสร้างจุดเด่น สร้างอัตลักษณ์และส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เรามีการนำเอาพาร์ทเนอร์มาช่วยเหลือในหลายด้านทั้งการนำแพลตฟอร์ม e-commerce มาใช้ เชื่อมต่อเครือข่ายที่นำเข้าในต่างประเทศมาทำ Online Business Matching รวมถึงเรายังมีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ของเราให้มีประสิทธิภาพเพื่อเข้าไปช่วยให้คำแนะนำผู้ประกอบการได้”
ภารกิจส่วนของ Product การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ คุณอารดา อธิบายว่าสมัยก่อนผู้ประกอบการไทยมักจะผลิตสินค้าที่ตัวเองถนัดเมื่อได้รับความสนใจก็จะทำตามกันซึ่งการค้าในยุคปัจจุบันไม่สามารถทำแบบนี้ได้แล้ว การพัฒนาเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการเป็นสิ่งสำคัญและผู้ประกอบการไทยก็เริ่มทำได้ดีขึ้นผู้ประกอบการเริ่มมีความคิดสร้างสรรค์ มีการนำนวัตกรรมมาใช้ สร้างจุดเด่นให้กับสินค้าไทย
“เราพยายามจับจุดแข็งของสินค้าและบริการของไทยออกมาโชว์เพื่อสร้างความแตกต่างพื้นฐานประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม เราเป็นประเทศที่เรียกว่า Kitchen of the world สินค้าอาหารและเกษตรของเรามีภาพลักษณ์ที่ดีเราจึงมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการเหล่านี้”
โดยเป้าหมายของ DITP คือกลุ่มสินค้าที่เป็น Future Food ประกอบไปด้วย 1. Function Food 2. Novel Food อาหารนวัตกรรม 3.Medical Food 4.Oganic Food กลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์เมกกะเทรนด์โลกเช่น สินค้าที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้า BCG สินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Work From Home สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและความงามซึ่งเป็นธุรกิจที่โดดเด่นอีกหนึ่งธุรกิจในประเทศไทย และอุตสาหกรรม Digital Content ซึ่งในประเทสไทยมีคนเก่งอยู่มาก กลุ่มสุดท้ายคือโลจิสติกส์ซึ่งต้องมีการปรับให้การขนส่งเป็นในลักษณะ Multimodal คือการขนส่งที่ใช้วิธีการขนส่งที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางรถ ทางเรือ และ ทางอากาศให้มีความ Seamless เพื่อขนส่งสินค้าไปยังตลาดโลกอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุดด้วยต้นทุนต่ำซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพค่อนข้างมาก
ภารกิจในส่วนของ Places การพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อผลักดันให้สินค้าและบริการของไทยสามารถเจาะตลาดโลกได้ซึ่งคุณอารดามองว่าผู้ประกอบการต้องมองช่องทางที่หลากหลายและต้องมองตลาดที่มีความเฉพาะมากขึ้น
“เราต้องมอง Niche Market มากขึ้น ต้องเจาะตลาดเชิงลึกซึ่งแน่นอนว่าในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกระทรวงที่ทำหน้าที่ผลิต ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เราทำหน้าที่เป็นตลาดเขาทำหน้าที่ผลิต เราจึงมียุทธศาสตร์ร่วมกันที่เรียกว่าตลาดนำการผลิตหรือ Demand divan ซึ่งเราสามารถทำงานด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เช่น ตลาดเดิมที่เราพูดกันเสมอซึ่งเป็นตลาดสำคัญของประเทศไทย มีสัดส่วนการส่งออกสูงยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา จีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย กลุ่มนี้เรายังต้องรักษาไว้และยังต้องสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อให้ลูกค้าเก่าของเราไม่หายไป นอกจากนี้เรายังมุ่งเจาะเมืองรองในตลาดเดิมนั้นๆด้วยอย่างที่จีนแต่ละมณฑลมีความต้องการสินค้าและบริการของไทยแตกต่างกันเราต้องตอบโจทย์ความต้องการนั้นให้ได้และขายในแพลตฟอร์มที่เหมาะกับแต่ละประเทศ เช่น ในอเมริกาและยุโรปเราก็ร่วมมือกันกับ Amazon ในตลาดจีนเราก็ร่วมมือกับ Alabama Tencent TMALL ฮ่องกงก็ร่วมมือกับ TMALL Global เราต้องเจาะไปในแต่ละตลาดให้ถูกช่องทาง ในส่วนของตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ มีการเติบโตสูง เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา ยังต้องใช้ความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐอยู่และต้องอาศัยกลยุทธ์ในการจัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อบุกไปเจาะตลาดเหล่านี้ สุดท้ายคือตลาดที่เราเพิ่งกลับมารื้อฟื้น อย่าง ซาอุดิอาระเบียซึ่งเราเพิ่งกลับมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตและกระทรวงพาณิชย์ของเราก็ไม่รอช้ารื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าทันที”
ภารกิจสุดท้ายคือ Services การให้บริการทั้งข้อมูล คำปรึกษา การเชื่อมโยงธุรกิจ ทาง DITP มี สำหรับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ NEA ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะเข้ามาเสริมประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบเข้าสู่การประกอบธุรกิจระหว่างประเทศโดยการสรรหาองค์ความรู้ที่ได้มาจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 58 แห่งทั่วโลกซึ่งมีทูตพาณิชย์ที่จะนำข้อมูลความต้องการซื้อของลูกค้า พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศปลายทาง มาพัฒนาเป็นหลักสูตรกว่า 70 หลักสูตรบรรจุไว้เป็น e-learning เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังพัฒนาแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการด้วยเช่นกันเพื่อให้ผู้ประกอบการร่วมกันสร้าง Business Plan และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เรื่องสุดท้ายที่ NEA เข้ามามีบทบาทการสร้างกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเชื่อมต่อให้ผู้ประกอบการได้เจอผู้ซื้อจริง ซึ่งหากผู้ประกอบการสนใจสามารถไปดูรายละเอียดได้บนเว็บไซต์ของสถาบัน NEA คือ https://nea.ditp.go.th รวมถึง Mobile Application อย่าง DITP ONE ให้บริการสำหรับธุรกิจส่งออกครอบคลุมครบทุกมิติทั้งหมด 13 บริการในหนึ่งเดียว
คุณอารดา เสริมว่าในแง่ของความท้าทายสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEsในการออกไปทำการค้าต่างประเทศ คือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เรื่องบางเรื่อง กฎหมายบางข้อกินเวลาเกือบ 10 ปีในการเปลี่ยนแปลงแต่โควิด-19 มาเร่งให้เรื่องเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นแต่ก็จะเป็นในแง่ของอุปสรรคด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่จีนมีนโยบาย Zero COVID ซึ่งส่งผลให้สินค้าเข้าประเทศเขายากขึ้น สินค้าต้องสะอาดจริงๆ หรืออย่างในยุโรปหรืออเมริกาก็จะมีเรื่องของ Carbon Credit ก่อนหน้านี้ใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าข้อตกลงปารีสจะเกิดผล แต่พอโลกร้อนขึ้น เผชิญกับวิกฤตอุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างรุนแรงเป็นตัวเร่งให้ประเทศคู่ค้าออกกฎระเบียบใหม่จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการของเรา เพราะถ้าเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนวิธีคิด การผลิต วิธีการทำธุรกิจให้สอดรับสิ่งเหล่านี้เราก็จะค้าขายกับเขาไม่ได้อีกเลย ส่วนของ DITP ก็เช่นกัน เราต้องปรับตัวให้รวดเร็วและก้าวข้ามกฎระเบียบมาตรฐานที่เราทำการค้าในต่างประเทศ รวมถึงกฏระเบียบของเราเองด้วยเพื่อเท่าทันสถานการณ์โลกและสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้” คุณอารดากล่าวปิดท้าย
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone