ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นที่นิยมมาก ยิ่งในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2563 พบว่า 67.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจ เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แม้ว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมากว่า 10% แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งถึง 32.7% ที่ยังไม่ซื้อสินค้าทางออนไลน์ ผลสำรวจออนไลน์ของ CIGI-Ipsos จากกลุ่มตัวอย่าง 24 ประเทศทั่วโลก พบว่า 22% ของคนทั่วโลกบอกว่าพวกเขาไม่เคยซื้อของออนไลน์ เพราะ ‘ขาดความเชื่อมั่นในการซื้อของออนไลน์’
ความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการซื้อขายสินค้าทางหน้าร้าน เพราะผู้บริโภคไม่ได้พบหน้าผู้ขายโดยตรง ไม่ได้เห็นสินค้าและบริการของจริงก่อนชำระเงิน ทำให้ผู้บริโภคต้องประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ขายจากข้อมูลที่อาจไม่ครบถ้วน
การทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเชื่อใจในร้านค้าออนไลน์ของคุณนั้น ยังมีความท้าทายมากมายที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนี้ โดยได้มีการแบ่งความท้าทายตามลำดับของพฤติกรรมผู้ซื้อเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ “ก่อนการซื้อ” “การซื้อ” และ “หลังการซื้อ” สินค้าและบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรศึกษาแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข
ก่อนการซื้อ
การซื้อ
หลังการซื้อ
การสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าออนไลน์จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในการใช้เทคโนโลยี การปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรการ นโยบายต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นเร่งให้เกิดการพัฒนาและปรับตัวให้เร็วมากยิ่งขึ้น
หัวข้อ : สร้างความเชื่อมั่นอย่างไร? ให้คนหันมา ‘ซื้อออนไลน์’ มากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/how-to-build-confidence-shop-online
Published on 8 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนจะดีกว่า การปรับโครงสร้างหนี้ช่วยให้ธุรกิจไปต่อ และไม่ได้แปลว่าคุณไร้ความสามารถ หรือบริหารงานผิดพลาดจนธุรกิจล้มเหลวเสมอไป บางครั้งด้วยสถานการณ์ เป็นเหตุทำให้ธุรกิจต้องสะดุดลง แน่นอนว่าในวิกฤตย่อมต้องมีคนที่เจ็บหนัก ฉะนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าเจ็บจนไม่ไหวจริง ๆ อย่ารอจนสายกลายเป็นหนี้เสีย จนต้องเสียประวัติทางการเงิน คุณสามารถเลือกใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้เป็นทางออกให้กับธุรกิจในเวลานี้ได้
ก่อนจะปรับโครงสร้างหนี้ สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการต้องมองให้ออก คือ อนาคตของธุรกิจที่กำลังทำอยู่นั้น ยังมีทางรอดต่อไปได้หรือไม่? ต้องยอมรับว่าปัจจุบันพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปในหลายเรื่อง ถ้ามองแล้วว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าชิ้นนี้อีกต่อไป นั่นเรียกว่าไม่มีทางรอดแล้ว อาจถึงเวลาที่ผู้ประกอบการอาจต้องเลิกกิจการแล้วมองหาโอกาสใหม่แทน แต่ถ้าในธุรกิจยังสามารถไปต่อได้ การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อรอเวลาให้กระแสเงินสด (Cash Flow) ของธุรกิจกลับมา ถือเป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้
2. เช็กกระแสเงินสด
กระแสเงินสด (Cash Flow) เป็นตัวชี้ชัดได้เป็นอย่างดีว่า ธุรกิจจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้หรือไม่ หากธุรกิจมีเงินหมุนเวียนไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการต้องกลับมามองว่าทำไมเงินหมุนเวียนถึงไม่พอ ผู้ประกอบการต้องมอง 2 ด้านนี้ประกอบกัน คือ
สองสิ่งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่องและไม่สามารถชำระหนี้ได้ จำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องเข้ามาพูดคุยเจรจากับทางธนาคาร เพื่อหาทางออกร่วมกัน
3. ใช้วิธีการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม
วิธีการที่หลายคนคุ้นเคย คงหนีไม่พ้นการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ หรือการปล่อยเงินกู้ใหม่ ซึ่งในแต่ละวิธีการนั้นก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก ยกตัวอย่าง
- การขยายเทอมแบบที่เป็น Debt Holiday คือ ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย แต่วิธีการนี้ดอกเบี้ยจะสะสมไปเรื่อย ๆ
- การขยายเทอมในรูปแบบผ่อนจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย เงินต้นจ่ายทีหลัง
- การเปลี่ยนประเภทสินเชื่อ เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง
วิธีการเหล่านี้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์ก็เพื่อช่วยทำให้ กระแสเงินสดที่ต้องจ่ายออกไปของธุรกิจลดลง หรือทำให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่ได้รับเข้ามาในสถานการณ์ปัจจุบันนั่นเอง การปรับโครงสร้างหนี้แบบไหนที่จะเหมาะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อาจจะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป เพื่อหารูปแบบของการปรับโครงสร้างที่เหมาะสมกับธุรกิจนั้น ๆ
4. ปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้แปลว่า “เครดิตไม่ดี”
หลายคนมักคิดว่าหากมีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว อาจทำให้ธุรกิจมีตำหนิหรือเครดิตไม่ดี แต่แท้ที่จริงแล้ว ในมุมของธนาคารจะพิจารณาจากกระแสเงินสดของลูกค้าเป็นหลัก การที่กระแสเงินสดไม่มี ต้องไปดูต่อว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ซึ่งในภาวะปัจจุบันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าการที่ธุรกิจไม่มีกระแสเงินสด เป็นเพราะผู้ประกอบการบริหารงานไม่ดี ธนาคารจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวจากเหตุและผลประกอบกันอย่างหลาย ๆ ธุรกิจในอดีตที่เคยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงวิกฤตปี พ.ศ.2540 ก็ยังสามารถเติบโตกลายเป็นบริษัทใหญ่ในทุกวันนี้ได้
หัวข้อ : ไม่ไหวอย่าฝืน “ปรับโครงสร้างหนี้” ช่วยธุรกิจไปต่อ
อ่านเพิ่มเติม : www.kasikornbank.com/th/k-sme-inspired
Published on 8 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
แนะนำตัวช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายให้ผู้ประกอบการร้านอาหารที่มี LINE Official Account อยู่แล้ว ด้วย MyRestaurant ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ LINE MAN และ Wongnai ร่วมกันพัฒนาขึ้น ช่วยจัดการหน้าร้านอาหาร บริหารข้อมูลลูกค้า จัดการข้อมูลลูกค้าได้บนแพลตฟอร์มเดียว คือบน LINE Official Account อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
LINE MyRestaurant เป็นเครื่องมือฟรีที่เหมาะสำหรับร้านอาหารทุกขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กแบบร้านริมทาง ไปจนถึงร้านขนาดใหญ่ มาดูกันว่ามีฟีเจอร์ใช้งานอะไรได้บ้าง
1. เมนูออนไลน์สั่งง่ายด้วยสมาร์ทเมนู (Smart Menu) : เมนูอิเล็กทรอนิกส์บน LINE เชื่อมต่อกับระบบรับออเดอร์ของร้านอาหารได้โดยตรง ลูกค้าสามารถสแกน QR Code เพื่อดูเมนูพร้อมกดสั่งอาหารแบบกินที่ร้านผ่าน LINE ได้ทันที สั่งง่าย ไม่ต้องวุ่นวายบอกเบอร์โต๊ะ แถมรวดเร็ว ทันใจ ไม่ต้องกลัวออเดอร์ผิดพลาด
2. หน้าร้านออนไลน์ออกแบบเองได้ตามต้องการผ่านริชเมนู (Rich Menu) : เมนูบาร์ที่รวมบริการและโปรโมชั่นต่าง ๆ ของร้านอาหาร นำเสนอให้ลูกค้ากดเลือกดูได้ตามใจใน LINE Official Account โดยร้านสามารถออกแบบคอนเทนต์ นำเสนอบริการ โปรโมชั่นต่าง ๆ แบบปรับแต่งเองได้ตลอดเวลา เช่น ให้ลูกค้ากดดูเมนูอาหารออนไลน์ หรือกดสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่าน LINE MAN Wongnai ได้ทันที
3. สื่อสาร ทำการตลาดได้ดีกว่าเดิมด้วยระบบรีพอร์ท (Report) : รวบข้อมูลสำคัญทั้งรายงานกลุ่มลูกค้า (Customer Report) และรายงานยอดขาย (Sale Report) ช่วยให้ร้านอาหารสามารถดูข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์ต่อยอดกลยุทธ์การตลาดได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
ผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเข้าใช้งานได้แล้ววันนี้ที่
https://lineforbusiness.com/myrestaurant
หัวข้อ : มีอะไรใหม่ใน LINE MyRestaurant ผู้ช่วยร้านอาหาร
อ่านเพิ่มเติม :
https://www.bangkokbanksme.com/en/line-myrestaurant-assistant
https://lineforbusiness.com/myrestaurant/
Published on July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หลายครั้งที่การเริ่มต้นทำธุรกิจหรือการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ของผู้ประกอบการ มักเริ่มต้นจากการฟังเสียงของตัวเอง ที่เกิดจากความชอบและความเชี่ยวชาญ แต่นั่นอาจไม่ใช่ “สิ่งที่ลูกค้าต้องการ” เสียงจากลูกค้าตัวจริงสามารถดันให้ธุรกิจปังได้ในชั่วข้ามคืน หรือพังธุรกิจลงได้ในพริบตาเดียว
การฟังเสียงลูกค้า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ยิ่งในปัจจุบันที่การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะมีข้อมูลมากมายบนโลกออนไลน์ ที่สะท้อนความคิดความรู้สึก และความต้องการจากลูกค้าตัวจริง เช่น
การฟังเสียงของลูกค้าบนสื่อสังคมออนไลน์ หรือ Social Listening จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการยุคนี้มองข้ามไม่ได้ ด้วย 4 เหตุผลนี้
เป็นเอสเอ็มอีเล็ก ๆ แบรนด์ไม่ดัง ไม่มีใครพูดถึง จะฟังเสียงลูกค้าได้อย่างไร?
แม้คุณเป็นแบรนด์เล็ก ๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล หรือเสียงของลูกค้าบนออนไลน์ได้ ด้วยการประยุกต์ใช้ข้อมูลจากแบรนด์ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับธุรกิจของคุณ หรือมองหาแบรนด์ที่มีจุดขายเดียวกับคุณแต่เขาถูกลูกค้าพูดถึง ดูว่าเขาทำอะไร ลูกค้าบ่นอะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยสิ่งที่เอสเอ็มอีสามารถประยุกต์ใช้ข้อมูลของแบรนด์ใหญ่ได้ คือ
เนื่องจากข้อมูลบนโลกออนไลน์นั้นมีมากมาย ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยในการฟังเสียงผู้บริโภคและการวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยมีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการได้เลือกใช้ตามความต้องการทางธุรกิจ
Google Trend
เครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลฟรีของ Google เพื่อดูว่าในปัจจุบันหรือช่วงเวลานั้น ๆ มีเรื่องอะไรที่คนบนโลก
ออนไลน์อยากรู้ และมีเรื่องอะไรที่กำลังเป็นเทรนด์
- สามารถพิมพ์ Keyword หรือคำค้นหาที่ต้องการลงไปในช่องแถบค้นหา
- เครื่องมือจะแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เห็น ในรูปแบบสถิติที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตค้นหาคำนั้น ๆ บนแพลตฟอร์ม Google Search Engine
ลองใช้งานได้ที่ >> https://trends.google.co.th
Zanroo
หนึ่งใน Social Listening Tool หรือเครื่องมือในการจับข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์และบทสนทนาที่เกิดขึ้นบน Social Media เช่น Facebook, Twitter, Instagram ได้แบบเรียลไทม์ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่เดือนละประมาณ 3,000 - 50,000 บาทขึ้นไป
ลองใช้งานได้ที่ >> https://enterprise.zanroo.com/
Wisesight
เครื่องมือช่วยในการเก็บข้อมูลบนโซเชียลจากช่องทางต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ เพื่อทำให้รู้ว่าตอนนี้คนบนโลกออนไลน์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร มีข้อความ คอมเมนต์อะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยมีค่าบริการเดือนละประมาณ 30,000 บาท
ลองใช้งานได้ที่ >> https://wisesight.com/
หรือค้นหาเทรนด์ฮิตติดกระแสแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ >> https://trend.wisesight.com/
หัวข้อ : SOCIAL LISTENING ปรับธุรกิจปัง ฟังเสียงลูกค้า
อ่านเพิ่มเติม : www.kasikornbank.com/k-sme-inspired-Nov
Published on 08 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย