e-Withholding Tax ทางเลือกใหม่ หักภาษี ณ ที่จ่าย จบ ครบ ง่าย ในที่เดียว

 

เอสเอ็มอีไม่ว่าจะแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ล้วนแต่ต้องเสียภาษีก่อนที่จะถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี โดยกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ไว้ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ ตามประเภทภาษีเงินได้และอัตราภาษีที่กำหนด เมื่อถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ก็มีสิทธินำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายนั้น ไปหักออกจากจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย และเสียภาษีเพิ่มเฉพาะส่วนที่เหลือหลังจากหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว 

 

หากทบทวนดูแล้ว ระบบหักภาษี ณ ที่จ่าย อาจสร้างภาระมากมายและยังเป็นต้นทุนที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เช่น

- ทำให้เกิดหน้าที่ของผู้จ่ายเงินได้ ที่ต้องหักภาษีทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงินได้แล้ว 

- ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้รับเงินเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

- ต้องจัดทำแบบสรุปภาษีหัก ณ ที่จ่ายประจำปียื่นต่อกรมสรรพากร 

 

กรมสรรพากรจึงได้พัฒนาระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ e-Withholding Tax เป็นวิธีการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในรูปแบบใหม่ โดยผู้จ่ายเงินสามารถนำส่งข้อมูลและเงินภาษี พร้อมกับการทำรายการสั่งโอนชำระเงินผ่านธนาคารที่เป็นผู้ให้บริการระบบ e-Withholding Tax แทนการยื่นแบบเป็นกระดาษ หรือผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing) 

- รองรับการนำส่งภาษีเงินได้ แบบ ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53, ภ.ง.ด.54 

- รองรับการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบ ภ.พ.30, ภ.พ.36 

 

ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการรับชำระเงินจากธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ e-Withholding Tax กับกรมสรรพากร โดยเมื่อมีการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินทั้งในและต่างประเทศ ผู้จ่ายเงินได้ประเภทที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย จะต้องแจ้งข้อมูลดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารทราบ

  1. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้จ่ายเงิน
  2. ชื่อหรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้รับเงิน 
  3. ระบุประเภทของเงินได้พึงประเมินและจำนวนเงินได้ที่ผู้จ่ายเงินได้นำส่ง
  4. จำนวนภาษีที่หักหรือนำส่ง

 

สำหรับการทำงานของระบบ e-Withholding Tax มีขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

  1. ผู้จ่ายเงินสั่งโอนเงินพร้อมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับเงิน และภาษีหัก ณ ที่จ่ายต่อธนาคารของผู้จ่ายเงิน
  2. ธนาคารผู้จ่ายเงินออกหลักฐานการนำส่งภาษีให้แก่ผู้จ่ายเงินและผู้รับเงิน
  3. ธนาคารผู้จ่ายเงินโอนเงินและข้อมูลการหักภาษีให้แก่ธนาคารของผู้รับเงิน
  4. ธนาคารผู้จ่ายเงินแจ้งโอนเงินให้แก่ธนาคารของผู้รับเงิน และธนาคารของผู้รับเงินโอนเงินให้แก่ผู้รับเงิน
  5. ธนาคารผู้จ่ายเงินนำส่งภาษีและข้อมูลภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กรมสรรพากร
  6. กรมสรรพากรออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้จ่ายเงิน ซึ่งผู้รับเงินและผู้จ่ายเงินสามารถตรวจสอบข้อมูลการนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้บนเว็บไซต์กรมสรรพากร

 

 

ประโยชน์ของระบบ e-Withholding Tax สำหรับผู้จ่ายเงิน นอกจากสามารถลดต้นทุนจากการไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี และไม่ต้องออกและจัดเก็บหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว ยังได้รับความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลการหักภาษี ณ ที่จ่ายบนเว็บไซต์กรมสรรพากรและได้รับใบเสร็จรับเงินจากกรมสรรพากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย

 

เท่านั้นยังไม่พอ ทั้งธนาคารผู้ให้บริการระบบ e-Withholding Tax และผู้หัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบ e-Withholding Tax ยังสามารถนำรายจ่ายเพื่อการลงทุนในระบบ e-Withholding Tax มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้ถึง 2 เท่า และสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจที่สุด ก็คือ ผู้ที่ใช้บริการ e-Withholding Tax จะได้รับการจัดให้เป็นผู้ประกอบการกลุ่มดีได้ง่ายขึ้น ทำให้ถูกตรวจสอบน้อยลงและกรณีมีการขอคืนภาษี ก็จะได้รับคืนเงินภาษีเร็วขึ้นอีกด้วย

 


 

หัวข้อ : e-Withholding Tax เรื่องภาษีจบได้ในขั้นตอนเดียว
อ่านเพิ่มเติม :www.kasikornbank.com/KSMEKnowledge และ sme.krungthai.com/sme

 

Published on 19 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

 

บทความแนะนำ

ธุรกิจมือใหม่ วางแผนเงินทุนอย่างไรให้ไม่สะดุด

 

ไม่อยากเจอกับภาวะเงินสะดุด ต้องวางแผนจัดการทางการเงินให้ดีตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ลองใช้เทคนิคเหล่านี้มาช่วยวางแผนการเงินให้กับธุรกิจของคุณ 

 

สิ่งแรกที่ต้องคิดและวางแผนให้ดี สำหรับบรรดามือใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจ นั่นคือ “เงินทุน” สำหรับการเริ่มต้นกิจการ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้ว จะมีอยู่ 3 แหล่งด้วยกัน คือ

 

แหล่งทุนที่ 1 “ใช้เงินตัวเอง”

เป็นแหล่งทุนเริ่มต้นทุนที่ความเสี่ยงต่ำสุด เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์น้อย กังวลว่าธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จสูง การใช้เงินทุนของตัวเองถ้าไปต่อไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยคือเสมอตัวไม่ได้ติดลบ เพราะไม่ได้กู้ยืมใครมา หากใช้เงินตัวเองในการเริ่มต้นธุรกิจต้องวางแผนสะสมเงินทุนให้ได้สักก้อน อาจจะเป็นการเริ่มต้นจากเงินทุนไม่มาก ทำจากเล็ก ๆ ไปก่อนในช่วงแรก

 

แหล่งทุนที่ 2 “หาหุ้นส่วนเพิ่ม”

การหาทุนเพิ่มจากหุ้นส่วน เป็นหนึ่งทางเลือกในกรณีเงินทุนของตัวเองมีจำกัดหรือไม่เพียงพอ ซึ่งในการเลือกหุ้นส่วนนั้นอย่ามองเพียงแค่ว่าต้องการคนที่จะเอาเงินมาเติมในส่วนที่ขาด แต่ให้มองหาคนที่จะมาเติมความสามารถ หรือศักยภาพในส่วนที่ธุรกิจขาดมากกว่า

 

แหล่งทุนที่ 3 คือ “กู้ยืมจากสถาบันการเงิน”

เป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่ เพราะด้วยประสบการณ์ที่น้อย ในมุมของสถาบันการเงินการจะเข้าถึงสินเชื่อเพื่อธุรกิจจึงค่อนข้างยาก ทำให้ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งหันไปพึ่งพาการใช้บริการทางการเงินส่วนบุคคล ซึ่งจะได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า หากจะใช้สินเชื่อประเภทนี้อาจใช้เป็นตัวประกอบการหาเงินมาเพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินธุรกิจคล่องตัวขึ้นจะดีต่อธุรกิจมากกว่า

 

ถ้ากู้เงินจากธนาคาร กู้แค่ไหนถึงไม่เป็นภาระหนักให้ธุรกิจ?

กรณีที่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ถ้าไม่อยากให้กลายเป็นภาระที่หนักจนเกินไปของธุรกิจ สัดส่วนของการชำระหนี้โดยหลักแล้วควรอยู่ระหว่าง 50-70% ของผลกำไรธุรกิจ เช่น 

หากเรามีกำไรจากธุรกิจเดือนละ 100 บาท ควรจ่ายหนี้อยู่ระหว่าง 50-70 บาท เพื่อให้ธุรกิจมีกำไรเหลือสะสม การทำธุรกิจแล้วไม่เหลือกำไรเลย เพราะต้องจ่ายหนี้หมด โอกาสที่ธุรกิจจะไปรอดได้ก็เป็นเรื่องยาก

 

มีเงินสำรองเท่าไร ถึงจะเพียงพอให้ธุรกิจเดินได้?

การทำธุรกิจจำเป็นต้องมีเงินทุนหมุนเวียน หรือเงินทุนสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งถ้าจะให้แนะนำผู้ประกอบการ หากเป็นสูตรทางบัญชี ให้คิดตามหลักง่าย ๆ ด้วยสูตรนี้ คือ 

ลูกหนี้การค้า + สต็อกสินค้า - เจ้าหนี้การค้า = เงินทุนหมุนเวียน

ยกตัวอย่าง ลูกหนี้การค้า (500 บาท) + สต็อกสินค้า (200 บาท) - เจ้าหนี้การค้า (300 บาท) = เงินทุนหมุนเวียน (400 บาท)

 

แต่สำหรับมือใหม่ ๆ หลายคนอาจจะยังสับสนในเรื่องของลูกหนี้การค้า สต็อกสินค้า และเจ้าหนี้การค้า เพื่อให้ง่ายขึ้นสามารถเปลี่ยนมาใช้สูตรสำเร็จแบบนี้ คือ การคิดว่าจะต้องมีเงินสำรองกี่เท่าของยอดขาย โดยในภาวะปกติ หลายคนอาจบอกว่า ควรมีเงินสำรองสัก 2-3 เท่าของยอดขาย เช่น 

 

มียอดขายได้เดือนละ 100 บาท ควรมีเงินสำรองประมาณ 300 บาท แต่ในช่วงวิกฤต COVID-19 มองว่าผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องมีเงินสำรองถึง 6 เท่าของยอดขาย เพราะอยู่ในสถานการณ์ ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนั่นเอง

 

ถึงจะเป็นมือใหม่ แต่ก็ใช่ว่าจะบริหารจัดการทางการเงินไม่เป็น ยิ่งรู้เทคนิคแบบนี้ด้วยแล้ว เชื่อได้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจของคุณในครั้งนี้ อย่างไรก็ไม่สะดุดแน่นอน

 


 

หัวข้อ : เทคนิควางแผนการเงิน ฉบับมือใหม่
อ่านเพิ่มเติม :https://www.kasikornbank.com/k-sme-inspired

 

Published on 19 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

 

บทความแนะนำ

กติกาสากลของการทำ Cross-Border E-Commerce ที่ SMEs ต้องรับรู้

 

ปัจจุบัน การค้าขายบนโลกออนไลน์ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็ว ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น ข้อมูลจากสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย หรือสมาคมอีคอมเมิร์ซ พบว่าในปี 2563 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีมูลค่า 2.2 แสนล้านบาท เติบโต 35% จากปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4-5% ของมูลค่าค้าปลีกโดยรวม

แน่นอนว่าในจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการค้าขายในรูปแบบของการสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายหรือ Cross-Border E-Commerce โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกฎหมายการค้า การคุ้มครองผู้บริโภคและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ การคุ้มครองผู้บริโค ระบบการชำระเงินออนไลน์ มาตรการควบคุมและจำกัดการโฆษณา เป็นต้น

แนวทางการกำกับดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ส่งเสริมสภาพการแข่งขันที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่ต้องไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จึงเป็นความท้าทายของแต่ละประเทศในการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคในยุคที่ Cross-Border E-Commerce กำลังเป็นที่นิยม

เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ร่วมกับบริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด จัดโครงการศึกษาวิจัยประเด็นปัญหาและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับ Cross-Border E-Commerce โดยมีกรณีศึกษาจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย

 

โจทย์ใหญ่คือการคุ้มครองผู้บริโภค

ชานนท์ วุฒิจรรยารักษ์ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เมื่อผู้บริโภคมีการสั่งซื้อสินค้าและบริการข้ามชาติผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความท้าทายในการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการฉ้อโกง การปลอมปนหรือปลอมแปลงเอกสาร การหลอกลวง การโฆษณาไม่ตรงความจริง การชำระเงินและการคืนเงินสินค้าที่มีปัญหา

“ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิกเฉยต่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำให้การค้าดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือน้อยลง และขาดความสามารถในการก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่” ชานนท์ระบุ

ในเชิงการติดต่อซื้อขาย ถ้าเป็นองค์กรขนาดกลางหรือใหญ่ที่มีฝ่ายกฏหมายคอยตรวจสอบก็อาจจะได้รับผลกระทบจากตรงนี้น้อย แต่ถ้าเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือ SMEs ที่ขาดความชำนาญก็มีโอกาสที่จะถูกหลอกลวงได้

 

โครงการศึกษาในประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของอังค์ถัด เพื่อวางแนวทางการกำกับดูแลการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน ที่ผู้ประกอบการรายเล็กควรรับรู้ไว้ แบ่งได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้

ช่วงก่อนการซื้อ (Pre-Purchase) ผู้ซื้อต้องมีข้อมูลครบถ้วน ทั้งราคา รูปแบบการชำระเงิน การคืนสินค้า รายละเอียดผู้ขาย เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน ต้องมีมาตรการป้องกันการชี้นำให้ทำธุรกรรมอย่างไม่เป็นธรรม

ช่วงการซื้อ (Purchase) ต้องมีการป้องกันสัญญาซื้อขายไม่เป็นธรรม โดยผู้ขายต้องไม่ซ่อน บิดเบือน หรือปกปิดเงื่อนไขในการซื้อขายสินค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อ ต้องมีมาตรการป้องกันการชำระเงินออนไลน์ และระบบป้องกันข้อมูลทางการเงิน ต้องมีมาตรการเก็บรักษาข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

ช่วงหลังการซื้อ (Post-Purchase) ต้องมีแนวทางป้องกันข้อพิพาท มีมาตรการชดเชย กรณีที่สินค้ามีปัญหา ต้องมีแนวทางส่งเสริมการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน เช่น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของแต่ละประเทศการกำกับดูแล การคุ้มครองเด็ก กรณีซื้อสินค้าอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

สำหรับประเทศไทย การคุ้มครองผู้บริโภคในช่องทางอีคอมเมิร์ซ มีกฎหมายที่กำกับดูแลในหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตามพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหน้าที่ตรวจสอบโฆษณาและระงับการเผยแพร่โฆษณาที่ผิดกฎหมาย สำนักงานมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม (สมอ.) ดูแลมาตรฐานสินค้า เป็นต้น

ส่วนกฎระเบียบ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค จะมีแนวปฏิบัติของ UN General Assembly เน้นที่ธุรกรรมแบบ B2C รวมถึงข้อบังคับสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมระหว่าง ผู้บริโภคออฟไลน์และออนไลน์ ส่วน OECD มี 1991 Recommendation ที่มีการปรับปรุงเนื้อหาใหม่ในปี 2016 เพิ่มเติมในส่วนธุรกรรมที่ไม่ใช่ตัวเงิน ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลคอนเทนต์ และโทรศัพท์มือถือ

 

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลความท้าทายบนโลกดิจิทัล

นิยามคำว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลที่เกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคลที่ทำให้สามารถระบุตัวหรือรู้ตัวของบุคคลนั้นๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการศึกษาประวัติ สุขภาพ สายพิมพ์นิ้วมือ เป็นต้น” ซึ่งประเทศไทยกำลังเตรียมประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งแนวทางการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในปัจจุบัน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองส่วนบุคคล และ 2.จัดทำกระบวนการการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

สำหรับสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล จะมีสิทธิดังนี้ คือสิทธิได้รับการแจ้งให้ทราบ สิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล และสิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล

ในต่างประเทศมีรูปแบบการออกกฎระเบียบด้านการควบคุมการไหลของข้อมูลจากน้อยไปหามาก เช่น กฎหมายว่าด้วยข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี (Eu’ Regulation on Non-Personal Data) ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อย่างกฎ GDPR ของยุโรป หรือกำหนดให้มีฐานข้อมูลเฉพาะภายในประเทศอย่าง Vietnam’s 2018 Cybersecurity Law

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการค้าออนไลน์ เพราะธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก หากมีการรั่วไหล ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อาจส่งผลเสียหายอย่างมาก ซึ่งอียูมีกฎหมาย GDPR ที่มีบทลงโทษสูง ขณะที่ OECD มีการออกแนวปฎิบัติว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดน ซึ่งประเทศไทยอยู่ระหว่างประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ต้องเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มีประสิทธิภาพ

ทั้งหมดนี้ คือ ส่วนหนึ่งของกติการะดับสากลในการค้าขายออนไลน์ที่ SMEs ต้องรับรู้

 


 

Published on 19 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

ก.ล.ต. จับมือ สสว. เปิดโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุน (PP-SME)

ขอเชิญผู้ประกอบการที่สนใจ เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุน (PP-SME) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ MSME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้มากขึ้น โดยสามารถขายหุ้นและหุ้นกู้แปลงสภาพได้ต่อบุคคลในวงจำกัด โดยไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตกับสำนักงาน ก.ล.ต.

คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ

เป็นบริษัทจำกัด ซึ่งเข้าข่ายเป็น MSME ขนาดกลาง (Medium) ขนาดเล็ก (Small) และขนาดย่อย (Micro) ตามที่กำหนด

เกณฑ์  กิจการ ขนาดย่อย (m)  ขนาดย่อม (S) ขนาดกลาง (M)
รายได้ต่อปี กิจการผลิต ไม่เกิน 1.8 ลบ. ไม่เกิน 100 ลบ. เกิน 100 - 500 ลบ.
  กิจการบริการ ค้าส่ง ค้าปลีก ไม่เกิน 1.8 ลบ. ไม่เกิน 50 ลบ. เกิน 50 - 300 ลบ.
การจ้างงาน กิจการผลิต ไม่เกิน 5 คน ไม่เกิน 50 คน เกิน 50 - 200 คน
  กิจการบริการ ค้าส่ง ค้าปลีก ไม่เกิน 5 คน ไม่เกิน 30 คน เกิน 30 - 100 คน

1. สมัครลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ MSME ด้วย SME ONE ID ได้ที่ ศูนย์กลางบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (bizportal.go.th) หรือในแอปพลิเคชัน สสว. SME Connext (ได้ทั้งระบบ iOS และ Android)

2. และสมัครเข้าร่วมโครงการ PP-SME ได้ที่ https://forms.gle/AwX73K5WK5iCP8Bz8

เมื่อดำเนินการตามข้อ 1. และ 2. ข้างต้นแล้ว ทาง สสว. จะตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นผู้ประกอบการ MSME ต่อไป

โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการตรวจสอบและมีคุณสมบัติเป็น MSME สามารถตรวจสอบรายชื่อกิจการเข้าร่วมโครงการได้ที่ คลิก!!

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในวันและเวลาทำการ โทร. 02-263-6232, 02-033-9520, 02-142-9209

หรือทางอีเมลที่ : sme@sec.or.th หรือ info@sme.go.th 

ข้อมูลเพิ่มเติม :

https://www.sec.or.th/TH/pages/lawandregulations/sme-pp.aspx 

https://www.sec.or.th/TH/Template3/Articles/2563/100663.pdf

Published on 9 September 2020 (Update 27 July 2023)

SMEONE "ทุกเรื่องครบ...จบในที่เดียว"

บทความแนะนำ

เปิดร้านค้าออนไลน์ ทำอย่างไรให้คนกล้าซื้อ

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นที่นิยมมาก ยิ่งในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2563 พบว่า 67.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจ เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แม้ว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมากว่า 10% แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งถึง 32.7% ที่ยังไม่ซื้อสินค้าทางออนไลน์ ผลสำรวจออนไลน์ของ CIGI-Ipsos จากกลุ่มตัวอย่าง 24 ประเทศทั่วโลก พบว่า 22% ของคนทั่วโลกบอกว่าพวกเขาไม่เคยซื้อของออนไลน์ เพราะ ‘ขาดความเชื่อมั่นในการซื้อของออนไลน์’

ความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการซื้อขายสินค้าทางหน้าร้าน  เพราะผู้บริโภคไม่ได้พบหน้าผู้ขายโดยตรง ไม่ได้เห็นสินค้าและบริการของจริงก่อนชำระเงิน ทำให้ผู้บริโภคต้องประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ขายจากข้อมูลที่อาจไม่ครบถ้วน

 

ทำอย่างไรถึงจะสร้างความมั่นใจให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณ?

การทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเชื่อใจในร้านค้าออนไลน์ของคุณนั้น ยังมีความท้าทายมากมายที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนี้ โดยได้มีการแบ่งความท้าทายตามลำดับของพฤติกรรมผู้ซื้อเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ “ก่อนการซื้อ” “การซื้อ” และ “หลังการซื้อ” สินค้าและบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรศึกษาแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข

ก่อนการซื้อ

  1. การได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน (Information asymmetry) : การที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น ผู้ซื้ออาจจะไม่ทราบตัวตนและที่อยู่ของผู้ขายทางออนไลน์ เป็นผลทำให้ขาดความเชื่อมั่น หรือการให้รายละเอียดของสินค้าไม่ชัดเจนทำให้ผู้ซื้อเกิดความลังเลใจ
  2. การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair commercial practices) : ผู้ขายมักจะมีการใช้เทคนิคทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ ซึ่งบางครั้งมีความกำกวม รวมถึงการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และการโฆษณาที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้
  3. การส่งโฆษณาโดยมิได้ร้องขอหรือสแปม (Unsolicited electronic commercial communications [spam]) : การโฆษณาที่บ่อยเกินไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล กล่องข้อความ โซเชียลมีเดีย อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัว ก่อให้เกิดความรำคาญใจ และมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ

 การซื้อ

  1. ความสับสนในตัวผู้ขาย สถานที่ตั้ง และสถานะ (Confusion on seller location and status) : หากผู้ขายไม่แจ้งให้ชัดเจน ในบางกรณีผู้ซื้ออาจสับสนว่าตนเองกำลังซื้อสินค้ากับแพลตฟอร์มโดยตรง หรือกับทางผู้จัดหาสินค้า (Supplier)
  2. การมีช่วงเวลาระหว่างยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อ (Cooling-off period) : ด้วยพฤติกรรมของผู้ซื้อที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ยกเลิกคำสั่งซื้อที่ผิดพลาด จึงควรต้องกำหนดระยะเวลาที่สามารถเปลี่ยนแปลง และยกเลิกคำสั่งซื้อได้
  3. ความปลอดภัยในการชำระเงินออนไลน์ (Online payment security) : ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการชำระเงิน จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างความเชื่อมั่นสำหรับเรื่องนี้
  4. การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal data protection) : การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลผิดวัตถุประสงค์ หรือการขอข้อมูลมากเกินความจำเป็น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ

หลังการซื้อ

  1. กฎความรับผิด (Liability rules) : หลังการซื้อต้องมีกฎ มาตรการ การรับผิดเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เช่น คุณภาพของสินค้าที่ถูกจัดส่งเสียหาย การจัดส่งล่าช้า
  2. การระงับข้อพิพาท (Dispute resolution) : แจ้งให้ทราบว่าเป็นการควบคุมดูแลของภาครัฐ หรือเอกชนสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง

 

แนวทางเพิ่มความเชื่อมั่นในการทำการค้าออนไลน์

  1. การสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้าออนไลน์ : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการออกเครื่องหมายการค้าทางออนไลน์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้าออนไลน์ อย่าง เครื่องหมาย DBD Registered และ เครื่องหมาย DBD Verified สามารถดูรายละเอียดและขอเครื่องหมายได้ที่  https://www.trustmarkthai.com/th
  2. การคุ้มครองผู้บริโภค : ปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐมากมายที่คอยช่วยเหลือ รับเรื่องร้องเรียนทางออนไลน์สำหรับผู้ซื้อที่มีปัญหาจากการซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการหลอกลวงผู้บริโภคทางออนไลน์
  3. แนวทางการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature Guideline) : ในการทำการค้าออนไลน์หากต้องมีการทำสัญญาทางการค้า การทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นจะต้องมีแนวทางและสามารถเลือกใช้วิธีลงลายมืออิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมกับธุรกรรมตามมาตรฐานของ ETDA
  4. การบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 : การให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีความกังวล การบังคับใช้กฎหมายจะมีส่วนช่วยให้ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในการให้ข้อมูลมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นในการทำการค้าออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน

การสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าออนไลน์จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในการใช้เทคโนโลยี การปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรการ นโยบายต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นเร่งให้เกิดการพัฒนาและปรับตัวให้เร็วมากยิ่งขึ้น

 


 

หัวข้อ : สร้างความเชื่อมั่นอย่างไร? ให้คนหันมา ‘ซื้อออนไลน์’ มากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/how-to-build-confidence-shop-online

 

Published on 8 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

 

บทความแนะนำ

Clear Cache
Clear All Cache
Enable Page Cache
Disable Page Cache