Tellscore ติดอาวุธเสริมแกร่ง SMEs ด้วย Influencer Marketing

Influencer Marketing เป็นหนึ่งในการตลาดออนไลน์ที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเพราะเป็นรูปแบบการสื่อสารในช่องทางใหม่ๆ ที่ผู้คนในยุคดิจิทัลให้ความสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น Influencer Marketing ยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่สามารถช่วยในเรื่องการโปรโมทได้ดี และสร้างยอดขายได้จริง ในลักษณะการสื่อสารที่เรียกกันว่า "ปากต่อปาก"

กลไกสำคัญของ Influencer Marketing ก็คือ Influencer… แล้ว Influencer คือใคร? …

อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ ผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโซเชียลมีเดีย ทำคอนเทนท์อยู่บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, YouTube และ Blog และมีคนสนใจติดตามเป็นแฟนคลับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยทำงาน และมักคล้อยตามเนื้อหาที่อินฟลูเอนเซอร์นำเสนอ เพราะรู้สึกถึงความใกล้ชิด เหมือนเป็นเพื่อน 

เทลสกอร์ (Tellscore) คือ ผู้ให้บริการ Influencer Marketing Automation Platform ที่เชื่อมต่ออินฟลูเอนเซอร์เข้ากับแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยอินฟลูเอนเซอร์ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่มีส่วนช่วยส่งต่อเรื่องราวข่าวสารให้ทันเหตุการณ์ และตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันเทลสกอร์มีอินฟลูเอนเซอร์อยู่ในเครือข่ายกว่า 65,000 คน ซึ่งหากนับรวมผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหมดรวมกัน อาจมีจำนวนไม่น้อยกว่า 200 ล้านผู้ติดตาม

ที่ผ่านมา เทลสกอร์ ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ จัดทำโครงการที่เกี่ยวกับ SMEs มากมาย เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านอินฟลูเอ็นเซอร์ พร้อมให้ความรู้ และเคล็ดลับกับผู้ประกอบการในการพัฒนาธุรกิจของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยให้ได้เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการเข้าร่วมมาตรการขยายโอกาสทางธุรกิจของสสว. 

สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore กล่าวว่า ทางบริษัทร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ในการผลักดัน SMEs โดยได้นำทีมอินฟลูเอนเซอร์ผู้คร่ำหวอดในสายการตลาด และการทำธุรกิจร่วมโปรโมท และเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ลงทะเบียนเพื่อให้ได้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ผ่านเว็บไซต์ www.thaismegp.com เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น 

“ในแต่ละปีภาครัฐจะมีงบจัดซื้อจัดจ้างอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ SMEs ทั่วไปไม่รู้ข้อมูล และไม่รู้วิธีการที่จะเข้าถึงงบดังกล่าว บางคนเข้าใจว่า ต้องเป็น SMEs ระดับโรงงานเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ในขณะที่ภาครัฐมีงบประมาณในส่วนนี้มากถึง 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นเงินที่ถูกกันไว้เพื่อมาอุดหนุน SMEs อยู่แล้ว แต่ SMEs ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบข่าว เราจึงเข้ามาช่วยโปรโมท โดยทำผ่านอินฟลูเอนเซอร์ และเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นผู้ประกอบการ เพื่อทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงในการขยายการรับรู้”

ก่อนหน้านี้ ทางเทลสกอร์ ยังได้ร่วมมือกับสสว. และอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจ มาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำการตลาดโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเป็นส่วนช่วยในการเติมเต็ม และทำให้การสื่อสารทางการตลาดมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น 

“โครงการดังกล่าวเป็นการโปรโมท SMEs ที่เป็นสินค้า OTOP 5 ดาว บางรายเป็นสินค้าที่รางวัลจากต่างประเทศมากมาย แต่ยังขาดเรื่องราวในประเทศ เราจึงอาสาด้วยการนำอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยโปรโมท แต่ก่อนอื่นเราต้องติดอาวุธในเรื่องการตลาดออนไลน์ให้เขาก่อน เพราะเราเคยให้แพ็คเกจอินฟลูเอนเซอร์กับเขาแล้วแต่ใช้ไม่เป็น เลยต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ให้เขาสร้างอินสตาแกรม จัดเป็นคลาสที่เริ่มจากความรู้เบื้องต้น ซึ่งทางเทลสกอร์ได้มีการเซ็น MOU กับทางสสว.โดยจะมีสิทธิพิเศษให้กับทางสสว. 2-3 เรื่อง คือ การร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้กับผู้ประกอบการ การให้แพ็คเกจอินฟลูเอนเซอร์ราคาพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสสว.เป็นต้น” 

นอกจากนี้ เทลสกอร์ ยังเดินหน้าสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจ SMEs ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านทางความร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการมุ่งฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง อาทิ โครงการ TAT GYM 2020 ยิมเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และบริษัท แอร์เอเชีย จำกัด โครงการ SCB IEP BOOTCAMP The Hospitality Survival โดยธนาคารไทยพาณิชย์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โครงการ The FinLab โดยธนาคารยูโอบี และโครงการ Cherish Krabi ที่ร่วมกับจังหวัดกระบี่ มูลนิธิเอ็นไลฟ มูลนิธิเพื่อคนไทย ชุมชน และสมาคมผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดกระบี่ 

การได้ลงพื้นที่หลังการล็อกดาวน์ช่วงแรกๆ เพื่อไปให้ความรู้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ทำให้สุวิตา ได้รับทราบข้อมูลว่า ผู้ประกอบการบางรายไม่ได้มองกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทย หรือคนในท้องถิ่นเดียวกันเลย และเมื่อนำกลยุทธ์การสื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ไปปรับใช้ ผู้ประกอบการก็เริ่มให้ความสนใจ และเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการให้คนรอบข้าง หรือพนักงานของตัวเองทำหน้าที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโพสต์เรื่องราวของทางโรงแรม ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีเพราะจากเดิมที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าพัก ก็กลายเป็นว่าห้องพักเต็มทุกคืนในช่วงเวลานั้น 

สำหรับแผนงานในปีนี้ เทลสกอร์จะมุ่งเน้นในลักษณะของงาน In Process มากขึ้น เช่น การออกแพ็คเกจอินฟลูเอนเซอร์ราคาพิเศษเพื่อช่วยเหลือ SMEs เพราะมองว่า การอบรมให้ความรู้ทำได้เพียงบางครั้งคราว ไม่ต่อเนื่องจึงขยายต่อได้ยาก และไม่เกิดความยั่งยืน ขณะที่การจัดอบรมก็ไม่สามารถทำในจำนวนมากๆ ได้ภายในครั้งเดียว

“ในมุมมองของเราก็อยากจะขยาย แต่ถ้ามาจำนวนมากๆ ก็รับไม่ไหว วิธีการที่ดีที่สุด คือการเตรียมแพ็คเกจอินฟลูเอนเซอร์ราคาพิเศษให้กับ SMEs ได้มีโอกาสเข้ามาทดลองใช้งานจริงจะเห็นภาพมากกว่า ตอนนี้เริ่มทำแพ็คเกจร่วมกับบางหน่วยงานไปบ้างแล้ว เพราะมองว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการตั้งแคมเปญเลย และเราทำให้ในราคาไม่แพง เช่น ราคา 1 หมื่นบาท จะได้อินฟลูเอนเซอร์ 5 คน จะทำให้เขามีประสบการณ์ว่า การเป็นกระบอกเสียงของอินฟลูเอนเซอร์ทำอย่างไร หรือมีกระบวนการใช้งานในแพลตฟอร์มอย่างไรบ้าง ความรู้เหล่านี้มองไม่เห็นภาพถ้าเราไปพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียว”

การสร้างโอกาสให้ SMEs ได้เข้ามาใช้แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ยังเสมือนเป็นทางลัดให้กับผู้เริ่มทำธุรกิจได้มีโอกาสเรียนรู้การตลาดออนไลน์ในมุมมองใหม่ๆ เพราะหากไม่ใช่คนในแวดวงมีเดียก็จะไม่รู้จัก และไม่เข้าใจว่าจะใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างไร และเลือกใช้ใครดี แต่เมื่อได้เข้าไปในแพลตฟอร์มจะได้เห็นว่ามีใครบ้าง และใครมีผลงานในเรื่องใดบ้าง ทำให้สามารถเลือกใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้า หรือแบรนด์ที่ทำอยู่

สุวิตา อธิบายเพิ่มเติมให้ฟังว่า นอกจากอินฟลูเอนเซอร์จะช่วยเพิ่มยอดขาย ยังสามารถช่วยลดต้นทุนค่าโฆษณาได้อีกด้วย ซึ่งโดยปกติเจ้าของสินค้าสามารถจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์ได้โดยตรง แต่ข้อแตกต่างของการที่มีเทลสกอร์เข้ามาช่วย คือ 

1) การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ผ่านแพลตฟอร์มของเทลสกอร์จะได้ในราคาที่ถูก เนื่องจากทางเทลสกอร์มีการดีลงานมาเป็นวอลุ่มใหญ่ เช่น อินฟลูเอนเซอร์ 5 คน ในราคา 10,000- 15,000 บาท แต่ถ้าไปติดต่อเองเป็นรายบุคคลจะใช้งบมากกว่า เพราะราคาต่อคนประมาณ 5,000 บาท ถ้าใช้งาน 5 คน ต้องใช้งบถึง 25,000 บาท 

2) เทลสกอร์มีระบบการทำงานแบบพี่เลี้ยงที่ช่วยบรีฟงาน และดูแลงานอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนให้สื่อสารออกไปแนวทางที่ลูกค้าต้องการได้ 

3) แพลตฟอร์มของเทลสกอร์สามารถเก็บผลงานให้ลูกค้าได้ทันที มีความถูกต้อง แม่นยำ ไม่สามารถโกงสถิติได้ ทำให้ผู้ประกอบการหมดความกังวลเรื่องการวัดผล 

การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ ยังสามารถช่วยประหยัดงบโฆษณา หรือการยิงแอดบนเฟสบุ๊ค เพราะจากงานวิจัยยังพบว่า โดยปกติผู้ประกอบการมีจะใช้งบการตลาดประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน หรือ 360,000 บาทต่อปี แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการโยกงบการตลาดบางส่วนมาใช้งานอินฟลูเอนเซอร์
วันนี้ถ้าหากผู้ประกอบการอยากลดต้นทุนจะเข้ามาหาเทลสกอร์ และแบ่งงบการตลาดบางส่วนมาใช้กับอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งเดือนถัดมางบการตลาดที่เคยจ่ายเป็นค่าโฆษณา 300,000 บาท จะลดลงมาเหลือ 200,000 บาท เพราะการทำตลาดแบบ Influencer Marketing สามารถช่วยขายของได้ ทำให้โฆษณาในช่องทางอื่นๆ น้อยลง ซึ่งมีนัยสำคัญของเทลสกอร์ คือการสร้างการบอกต่อ ดังนั้น Influencer Marketing เป็นลูกครึ่งระหว่างการตลาดกับการโฆษณา

“โดย 0.5-1% ของจำนวนคนที่คลิก/ไลท์/คอมเมนท์/แชร์ จากการ Engagement จะเทิร์นเป็นยอดขาย เพราะทุกคลิก/ไลท์/คอมเมนท์/แชร์ ก็คือคนที่ไม่ได้แค่เห็นโฆษณา ไม่ได้แค่เห็นรีวิว แต่เห็นแล้วเกิดความสนใจติดตามไปอ่านอะไรบางอย่างต่อ ดังนั้นคนกลุ่มนี้เตรียมที่จะเปิดกระเป๋าตังค์อยู่แล้ว หน้าที่เราคือหาคนที่จะแง้มกระเป๋าตังค์ให้กับลูกค้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะแง้มกระเป๋าตังค์ง่ายๆ ซึ่งสถิติที่เราเก็บได้จะเป็นตัววัดค่าความสำเร็จ” สุวิตา กล่าวทิ้งท้าย

บทความแนะนำ

พักทรัพย์ พักหนี้ – ดิจิทัล แฟคตอริ่ง 2 ทางรอดของ SMEs

ในช่วงการระบาดของโควิด 19 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ ผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ 1.สินเชื่อฟื้นฟู และ 2.พักทรัพย์ พักหนี้ ซึ่งพักทรัพย์ พักหนี้ ถือเป็นมาตรการใหม่ ซึ่งมีการนำมาใช้ในหลายประเทศในช่วงสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น

สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือ Asset Warehousing มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ ให้มีโอกาสดำเนินธุรกิจได้ในอนาคต และไม่ถูกกดราคาทรัพย์สินในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งในต่างประเทศมีการตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก โดยธปท.พยายามสร้างกลไกนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถรักษาสินทรัพย์ไว้ได้

เงื่อนไขสำคัญของโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ คือ 

  1. ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนได้ภายใน 3 – 5 ปี โดยสถาบันการเงินจะไม่นำทรัพย์สินไปขายแก่บุคคลอื่นหากผู้ประกอบการไม่ยินยอม 
  2. ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิเช่าทรัพย์สินนั้นเพื่อประกอบธุรกิจต่อได้ โดยมีอัตราค่าเช่าตามที่ตกลงกัน
  3. ราคาทรัพย์สินที่สถาบันการเงินจะขายคืนแก่ผู้ประกอบการต้องไม่สูงกว่าราคาที่รับโอนไว้ รวมกับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอีกไม่เกิน 1% ต่อปี

 

ตั้งวงเงินช่วยเหลือแสนล้าน

สำหรับประเทศไทย ธปท.จะให้สถาบันการเงินกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่กับสถาบันการเงิน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจโอนทรัพย์สินชำระหนี้แก่สถาบันการเงินโดยมีเงื่อนไขซื้อคืนในราคาที่โอนไป และมีสิทธิเช่าทรัพย์สินนั้นกลับมาใช้ประกอบธุรกิจได้ตามปกติ โดยธปท.กำหนดวงเงินช่วยเหลือตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ รวม 100,000 ล้านบาท

ที่ผ่านมา โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้รับความสนใจไม่มากนัก เพราะรอมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกัน เพื่อชำระหนี้ ซึ่งล่าสุดกรมสรรพากร ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขกรณีหนี้ที่ต้องดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกัน เพื่อชำระหนี้ โดยสาระสำคัญ คือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน หรือเจ้าของทรัพย์สินและสถาบันการเงินจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์

ล่าสุด จากการติดตามความคืบหน้าโครงการของธปท. พบว่ามีลูกหนี้ติดต่อเข้าร่วมโครงการและได้รับการอนุมัติเป็นการภายในของสถาบันการเงินแต่ละแห่งรวมกว่า 10 ราย มูลค่าสินทรัพย์หลักหมื่นล้านบาท โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ขอเข้าร่วมโครงการเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น โรงแรม อาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล สปา โรงงานแปรรูป ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มีความกังวลว่าจะถูกยึดทรัพย์เมื่อครบกำหนดสัญญานั้น ในทางปฏิบัติลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องทำสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ร่วมกัน และทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดย ธปท. จะเข้าไปร่วมพิจารณาสัญญาให้เป็นธรรมโดยการกำหนดถ้อยคำในสัญญามาตรฐาน และให้สถาบันการเงินที่ขอเข้าร่วมโครงการส่งสัญญาตีโอนให้ ธปท. พิจารณาก่อนที่สถาบันการเงินจะเข้าร่วมโครงการนี้

 

เร่งเครื่องดิจิทัลแฟคตอริ่ง

นอกจากนี้ ธปท.ยังมีโครงการพัฒนาบริการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือ SMEs อย่างต่อเนื่อง อย่างการพัฒนา Digital Factoringให้เป็นทางเลือกเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SMEs

“ปัญหาสำคัญของ SMEs คือการเข้าถึงสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหานี้เป็น pain point สำคัญของผู้ประกอบการที่มักจะขาดเงินทุนหมุนเวียน แม้มีคำสั่งซื้อ ผลิตสินค้าและบริการได้ แต่กว่าจะเรียกเก็บเงินได้มีเครดิตเทอมตั้งแต่ 2 เดือน ถึง 6 เดือนก็มี ขณะที่มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง ยิ่งในภาวะเช่นนี้สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้น” ธรรมรักษ์ หมื่นจักร์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท.เล่าถึงที่มาของการพัฒนาโครงการ Digital Factoring สำหรับผู้ประกอบการ SMEs

สำหรับบริการ Factoring ที่มีอยู่เดิม เปิดโอกาสให้ผู้ขาย (SMEs) สามารถใช้ใบแจ้งหนี้ที่ออกให้ผู้ซื้อ (คู่ค้าที่เป็นBuyer) มาใช้เป็นเอกสารในการขอสินเชื่อได้ โดยมีรายรับที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นหลักประกัน แต่การใช้งานยังไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากผู้ให้บริการ Factoringมีความกังวลเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร และการยื่นขอสินเชื่อที่ซ้ำซ้อน

ธปท.จึงพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) สำหรับให้บริการ Digital Factoring ร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยยึดหลักการสำคัญ 2 ข้อที่จะทำให้โครงการสำเร็จ ได้แก่ 

  1. Open Architecture เปิดให้มีผู้ให้บริการทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและมิใช่สถาบันการเงิน 
  2. Customer Centric with Balanced Incentives สร้างแรงจูงใจให้ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้บริการ Digital Factoring เห็นประโยชน์และพร้อมขับเคลื่อนธุรกรรมให้เกิดผลสำเร็จ

“ในช่วงสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้บริการ เร่งดำเนินการในเรื่อง Digital Factoring เพื่อช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs อยากเข้ามาขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ขณะที่ช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ Factorสิ่งสำคัญต้องสร้างแรงจูงใจฝั่งผู้ซื้อให้เขามาช่วยคอนเฟิร์มใบแจ้งหนี้ดิจิทัล จะช่วยเอสเอ็มอีได้มากขึ้น สะดวกขึ้น ในภาวะเช่นนี้ยิ่งต้องเร่งช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นซัพพลายเออร์ให้อยู่รอดได้” ธรรมรักษ์ ระบุ

ปัจจุบัน มี SMEs ใช้บริการสินเชื่อ Factoring อยู่ประมาณ 3 หมื่นราย วงเงินสินเชื่อประมาณ 2 แสนล้านบาท ขณะที่มีผู้ประกอบการที่ใช้งานระบบ ERP อยู่ประมาณ 9 หมื่นราย ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเพื่อขอสินเชื่อได้ ปัจจุบันทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้บริการ Factoringอยู่ระหว่างการปรับระบบหน้าบ้าน หลังบ้านให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น ขณะที่ธปท.อยู่ระหว่างการพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมบัญชีกลาง เพื่อยืนยันข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานเร็วขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นการทำธุรกรรมชัดเจนขึ้นในปลายปีนี้

“ธนาคารแห่งประเทศไทย มุ่งพัฒนาบริการทางการเงิน การสร้างระบบนิเวศที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น ให้สอดรับกับทิศทางของโลก เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจะเข้ามาช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับทุกคน ทำให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว มีต้นทุนที่ถูกลง และเป็นธรรมมากขึ้น” ธรรมรักษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงภารกิจของธปท.ที่จะมุ่งต่อไปในอนาคต

บทความแนะนำ

Campfire Engine ผู้ช่วยมือหนึ่งของนักพัฒนาเกมมือใหม่

ภายใต้แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย มีการประเมินว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกมจะช่วยสร้างรายได้ และอาชีพให้กับประเทศอย่างมหาศาล อุตสาหกรรมเกมจึงมีบทบาทสำคัญ และเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเกมมาอย่างต่อเนื่อง 

เมื่อตลาดเกมยังคงขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ อาชีพ “นักพัฒนาเกม” (Game Developer) จึงเป็นอีกหนึ่งสายงานอาชีพที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยให้ความสนใจ และอยากก้าวไปให้ถึงฝั่งฝัน แต่การพัฒนาเกมก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยเงินทุนเนื่องจากทรัพยากรการสร้างเกมยังมีราคาสูงเกินไป อีกทั้งการพัฒนาเกมยังต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งบางเกมที่ทำเพียงคนเดียวอาจต้องใช้เวลานานถึง 4-5 ปี กันเลยทีเดียว 

จาก Pain Point ดังกล่าว เป็นที่มาของนวัตกรรม Campfire Engine ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Software House อย่าง “อิมเมจ เอนจิน” เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ และมุมมองใหม่ๆ ให้กับนักพัฒนาเกม โดย Campfire Engine เป็นชุดคำสั่งอัตโนมัติ (Game Automated System) สำหรับระบบงานหลังบ้านในการพัฒนาเกม ช่วยสร้างโอกาสให้คนที่อยากสร้างเกมได้มีต้นแบบเกมเป็นของตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที 

พลวัต ดีอันกอง ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมเมจ เอนจิน จำกัด กล่าวว่า บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในส่วน Campfire Engine ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนักพัฒนาเกมทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการพัฒนาเกมแต่ขาดความรู้การเขียนโปรแกรม และคนที่ต้องการใช้งาน Library เพื่อลดความยุ่งยากในการพัฒนาเกม รวมถึงกลุ่มผู้ที่ต้องการสร้างเกมแต่ยังขาดฮาร์ดแวร์ที่ดีพอ เพราะ Campfire Engine สามารถสร้างเกมได้อัตโนมัติผ่านแพลตฟอร์มโดยใช้เวลาเพียง 5 นาที 

“Campfire เป็นตัวสร้าง Asset เป็นเหมือนตัวสร้าง Ingredient ในเกม ปกติต้องใช้คนจำนวนมากในการทำขึ้นมาทำให้มีต้นทุนที่แพง แต่เราใช้ Campfire ในการสร้าง Ingredient ขึ้นมาเพื่อมาสร้างเกมอีกที ซึ่งตัว Ingredient หมายถึง Code หรือไฟล์ 3 D สำหรับการ Programming หรืออาจเป็นตัวละคร ต้นไม้ แม่น้ำ ที่เป็นส่วนประกอบต่างๆ ในเกม”

ในมุมของ SME หรือผู้ประกอบการทางด้านการผลิตและการพัฒนาเกม รวมถึงนักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ ยังสามารถนำแพลตฟอร์ม Campfire Engine มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและสร้างสรรค์งาน ด้วยเพราะ Campfire Engine มีข้อดีที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ได้แก่  

1.มีราคาถูกที่สุดในตลาด Game Engine ทำให้นักพัฒนาเกมที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้สามารถสร้างเกมได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนมาก ช่วยประหยัดงบ และช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเกม เนื่องจาก Campfire Engine มีการทำตลาดแบบ Freemium คือให้ผู้ที่สนใจสามารถใช้งานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายในระดับ Education แต่หากต้องการในระดับ Advance ที่สูงขึ้นไปก็จะมีแพ็คเกจเสียเงินให้เลือกใช้ตามลำดับ ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท ในขณะที่ Game Engine ของต่างประเทศอย่างประเทศจีน หรือสหรัฐอเมริกา จะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 30 – 40 เหรียญขึ้นไป

2.เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้ง่าย มีการทำงานที่รวดเร็ว จึงช่วยลดต้นทุนในเรื่องเวลา เพราะสามารถนำชุดคำสั่ง หรือไฟล์ 3D มาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแต่ง ซึ่งการเป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานในแบบชุดคำสั่งอัตโนมัติ ทำให้นักพัฒนาเกม หรือผู้ใช้งานแพลตฟอร์มไม่ต้องยุ่งยากกับการเขียนโค๊ดที่ซับซ้อน ไม่ต้องเสียเวลากับการสร้างโปรเจ็ควัตถุที่ต้องใช้เวลาอย่างมากมาย เพียงแค่ใช้ “Procedural Generator” ของตัวแพลตฟอร์ม

“Campfire Engine จึงตอบโจทย์ได้ดีในเรื่องของการออกแบบเกม เพราะทำให้การทำงานง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ ถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะคนที่ชื่นชอบการเล่นเกม และอยากก้าวสู่การเป็นนักพัฒนาเกมมักจะติดปัญหาการขาดความรู้เชิงเทคนิค ทำให้เขียนโค้ดไม่ได้ เมื่อเขียนโค้ดไม่ได้ก็ไม่สามารถทำภาพ 3D ได้ โดย Campfire Engine จะเข้ามาจัดการเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ด้วยหลักการทำงานแบบการต่อเลโก้ คือ นำชิ้นส่วนมาใส่ที่ละชิ้น ต่อกันไปเรื่อยๆ จนออกมาเป็นเกมๆ หนึ่ง”

3.เป็นแพลตฟอร์มภาษาไทย ที่พัฒนาขึ้นเพื่อนักพัฒนาเกมคนไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากหนึ่งในอุปสรรคของนักพัฒนาเกมคนไทยก็คือเรื่องภาษา ซึ่ง Game Engine ที่มีให้เลือกใช้งานก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาษาต่างประเทศ และภาษาเทคนิคที่ยากต่อการทำความเข้าใจ 

Library Assets จำนวนมากที่อยู่ใน Campfire Engine ยังถูกออกแบบมาสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ทำให้การสร้างเกมเป็นเรื่องง่าย และทำให้นักพัฒนาเกมสามารถสร้างเกมที่มีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองได้ง่ายไม่ยาก

“โดยCampfire Engine มีการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ จึงสามารถปรับเปลี่ยนตัวละครในเกมได้อัตโนมัติตามขีดความสามารถของผู้เล่น และยังทำให้ต้นทุนการพัฒนาเกมถูกลงแต่ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสให้กับนักพัฒนามือใหม่ หรือผู้ที่ไม่มีทักษะด้านไอทีสามารถสร้างเกมเป็นของตัวเองได้ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว”

  4.สามารถต่อยอดงานออกแบบได้มากมาย โดยเฉพาะการสร้างสรรค์งานออกแบบโปรแกรมต่างๆ นั่นหมายถึงโอกาสในการสร้างรายได้ของผู้ประกอบการในกลุ่มนักพัฒนาเกม และโปรแกรมประยุกต์ ด้วยการสร้างโปรแกรมประยุกต์จากภาพจำลองของไฟล์ 3D ตัวอย่างเช่น 

โปรแกรมด้านทันตกรรม DigiproSmile ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลภายในช่องปากของคนไข้ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ แม่นยำ และประหยัดกว่าการรักษาในแบบเดิม

โปรแกรม Web Based AR ของกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลการท่องเที่ยวภายในประเทศได้ทันทีโดยไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ สามารถทำงานได้ผ่านมือถือทุกเครื่องโดยที่ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น

นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาไปสู่โปรแกรมต่างๆ อีกมากมาย อาทิ โปรแกรมทางการแพทย์ด้านการผ่าตัด โปรแกรมด้านการผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ โปรแกรมประยุกต์ด้านเกษตรกรรมในระบบปิด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ อาชีพ “นักพัฒนาเกม” กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่คนรุ่นใหม่อยากทำเป็นอาชีพเสริม และอาชีพหลัก โดย พลวัต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประชากร 1 ใน 3 ของโลก ชอบการเล่นเกม และในประเทศไทยก็มีเกมเมอร์เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งคนที่หลงใหลการเล่นเกมมากๆ เมื่อไปถึงจุดหนึ่งก็อยากพัฒนาเกมเป็นของตัวเอง เพราะบางสิ่งที่ต้องการระหว่างการเล่นเกมไม่มีอยู่ในเกมที่กำลังเล่น จึงอยากพัฒนาเกมในแบบฉบับของตนเองขึ้นมา 

แม้ว่าแรงบันดาลในการอยากเป็นนักพัฒนาเกม จะมาจากอินไซต์ที่เป็นความหลงใหลในเกม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า รายได้จากการพัฒนาเกม หรือส่วนประกอบอื่นๆ ในเกมก็มีค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง จึงเป็นความท้าทายที่ทำให้หลายคนอยากพัฒนาไปสู่การสร้างเป็นอาชีพ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ตลาดผู้ผลิต และพัฒนาเกมจึงยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 

โดยผู้ประกอบการในกลุ่มนักพัฒนาเกมสามารถสร้างรายได้ในหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่การออกแบบตัวละคร การออกแบบสภาพแวดล้อม การออกแบบเนื้อเรื่อง ไปจนถึงการออกแบบ Template Game ปัจจุบันจึงมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาเป็นนักพัฒนาเกม เพราะมีตลาดรองรับงานเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก

“ตัวอย่าง รายได้จากการออกแบบตัวละครในระดับมือสมัครเล่นที่ยังไม่ได้ทำเป็นอาชีพ หากเป็นตัวละครดีๆ ตัวหนึ่งราคาจะอยู่ที่ 15,000 บาท ใช้เวลาทำประมาณ 14 วัน หรือถ้าทำช้าไม่ค่อยมีเวลาก็ประมาณ 1 เดือน ซึ่งหากเป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา ถือว่าเป็นรายได้ที่เยอะอยู่ หรือถ้าไม่ใช่ตัวละครอาจเป็นภาพ 2D, 3D ก็ยังสามารถขายได้แต่ราคาอาจจะลดลงมาเพราะทำง่ายกว่าการออกแบบตัวละคร”

สำหรับ อิมเมจ เอนจิน วางแผนต่อยอดการพัฒนาตัว Asset ใน Campfire Engine เพื่อบุกตลาดเกมทั่วโลกในช่วงปลายปี 2564 รวมถึงการตั้งเป้ารายได้ให้มีรายได้ไหลกลับเข้าองค์กรในจำนวน 100,000 บาทต่อวัน และหากบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ก็จะเดินหน้าสร้างงานในลักษณะของ Social Enterprise เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกมต่อไปในอนาคต

บทความแนะนำ

Hide & Seek เพิ่มมูลค่ามันสำปะหลัง สู่ทรายแมวที่รักแมวและรักษ์โลก

หลายปีมานี้ทาสแมวมีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความเป็นสังคมเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ความนิยมอาศัยอยู่คอนโดมิเนียม ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดและอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น

ดังนั้นแทนที่จะเลี้ยงสุนัขซึ่งต้องใช้บริเวณกว้างและค่อนข้างเสียงดัง คนส่วนใหญ่จึงหันมาเลี้ยงแมวนั่นเอง

ไม่เพียงแต่จะดีมานด์อาหารแมวเพิ่มขึ้นแต่ดีมานด์ของทรายแมวก็เพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน หลังจากทาสแมวนิยมเลี้ยงระบบปิดมากกว่า เพราะนอกจากจะสะดวกแล้วยังตอบโจทย์พื้นที่ที่อยู่อาศัยที่มีจำกัด ไม่สามารถพาน้องแมวออกไปข้างนอกได้ ที่สำคัญระบบปิดช่วยลดการออกไปสัมผัสกับแมวนอกบ้าน ลดการเกิดโรค ช่วยน้องแมวสุขภาพดี นั่นเท่ากับการลดค่าใช้จ่ายในการรักษาไปในตัว

จุดนี้เองที่ทำให้ อภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด มองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจ หลังจากอาชีพนักบินที่ยึดเป็นอาชีพหลักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 จึงรวมทีมกับเพื่อนที่เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับการนำวัตถุดิบที่เหลือจากอุตสาหกรรมน้ำตาล โดยนำประสบการณ์และความรู้เหล่านั้นมาวิจัยและแปรรูปมันสำปะหลังเพื่อเพิ่มมูลค่าบ้าง 

และสาเหตุที่เลือกมันสำปะหลังมาเป็นวัตถุดิบในครั้งนี้ก็เพราะมองเห็นคุณสมบัติของมันสำปะหลังที่มีส่วนประกอบหลัก 2 ตัว คือ แป้งกับไฟเบอร์ ที่สามารถนำมาพัฒนาด้วยเทคนิคผ่านการให้ความร้อนและความดันที่เหมาะสม ทำให้เกิดกระบวนการ Pre-gelatinization กับโมเลกุลของแป้ง ช่วยปรับปรุงสมบัติเชิงโมเลกุลของสตาร์ชในมันสำปะหลัง กระทั่งออกมาเป็นทรายแมวเม็ดเล็กละเอียด “Hide & Seek” ทรายแมวมันสำปะหลังเจ้าแรกของโลก  

“อีกเหตุผลหนึ่งที่เราใช้สำปะหลังเป็นวัตถุดิบยังเป็นเรื่องของซัพพลายที่มีอยู่ในตลาด เพราะไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการส่งออกมันสําปะหลังสูงสุดในโลก แต่ว่าหลายปีมานี้เราถูกกดดันเรื่องราคาเพราะผู้ซื้อหลักอย่างจีน เริ่มไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเรามากขึ้น ทำให้ตัวเลขการส่งออกของเราลดลง นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่เราเลือกมันสำปะหลังมาพัฒนา เพื่อส่งเสริมให้มีการนำมันสำปะหลังมาทำอย่างอื่นที่เพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น”

ข้อดีของการนำมันสำปะหลัง 100% มาเป็นวัตถุดิบทำให้ทรายแมว Hide & Seek มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งขัน เพราะสามารถดูดซับของเหลวและกลิ่นได้ดี ช่วยเก็บกลิ่นปัสสาวะของแมวได้ดีกว่าทรายแมวทั่วไปตามท้องตลาด ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สามารถจับตัวเป็นก้อนหลังจากแมวใช้งานเสร็จ ทำให้สะดวกในการเก็บ และสามารถนำไปทิ้งในชักโครกได้ เพราะมันสำปะหลังมีคุณสมบัติที่สามารถละลายแตกตัวในน้ำได้เร็ว และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ที่สำคัญไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ไม่ต้องกังวลหากแมวเผลอทานเข้าไป จึงแน่ใจได้ว่าจะไม่มีโทษหรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด เรียกได้ว่าปลอดภัยกับแมวและผู้เลี้ยงอีกด้วย 

“เจ้าของแมวประมาณ 90% ใช้ทรายคริสตัล หรือซิลิก้าเจลที่ผลิตมาจากพวกหินภูเขาไฟ หรือแร่เบนโทไนท์ ซึ่งเป็นทรายแมวประเภทย่อยสลายไม่ได้ตามธรรมชาติ แต่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ถึงผลเสียของทรายดังกล่าวว่าผลึกซิลิก้าสามารถเข้าสู่ร่งกายแล้วส่งผลต่อระบบหายใจ ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และมะเร็งปอด ให้กับแมวและเจ้าของได้ และหากแมวเลียขนที่มีสารดังกล่าวเข้าไป ก็จะทำให้เกิดโรคไตได้ด้วย นั่นจึงเป็นข้อสังเกตว่า ระยะหลังมานี้เราจะพบแมวที่มีอาการป่วยจากกลุ่มโรคเหล่านี้มากขึ้นทุกปี”

 

  อภินันท์ กล่าวว่า บริษัทพยายามพัฒนาทรายแมวให้ครบในทุกมิติ ทั้งความปลอดภัย และออกการใช้งานให้ใช้ได้กับทุกแบบ โดยนำข้อดีของทรายแมวแต่ละประเภทมารวมไว้ที่ Hide & Seek โดยตั้งสโลแกนว่า “เป็นมิตรต่อแมวผู้กลบ และทาสผู้เก็บ” ซึ่งเป็นที่มาของการตั้งชื่อแบรนด์ว่า “Hide & Seek” มาจากเวลาน้องแมวไปอึเขาจะมีธรรมชาติในการขุดแล้วก็กลบ เหมือนซ่อนไว้ แล้วเวลาคนไปตักก็จะไปขุดหา ก็เหมือนน้องแมวเขามาซ่อนแล้วทาสแมวก็ไปค้นหา เหมือนคำว่า Hide (ซ่อน) และ Seek (ค้นหา) นั่นเอง

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของทรายแมว Hide & Seek ประกอบกับราคาอันเหมาะสม แม้ไม่ใช่สินค้าราคาถูก แต่ก็ไม่ได้แพงที่สุดในตลาด ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเทรนด์ของผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์เหมือนคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย

“แต่เราก็พยายามทำราคาขายให้ถูกลง โดยควบคุมต้นทุนมาโดยตลอดทำให้ปัจจุบันลดราคาจากเดิมลงไปได้ 20% แล้ว แต่ในปีหน้าเรามีแผนย้ายกำลังการผลิตจากปัจจุบันอยู่ที่หลักสี่ กรุงเทพมหานครไปที่จังหวัดชลบุรี หรือฉะเชิงเทราเพื่อใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ และยังเป็นการเพิ่ม Economy of Scale ให้เราได้ต้นทุนที่ถูกลง โดยสามารถขยายกำลังการผลิตดได้ถึง 50-100 ตันต่อเดือน จากปัจุจบัน 20 ตันต่อเดือน ซึ่งจะทำให้เรามีความได้เปรียบในการแข่งขันภายในประเทศ และเพิ่มโอกาสในการส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงรองรับการผลิตแบบ OEM ให้กับลูกค้าในทวีปยุโรป”

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายนอกจากจะขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มารเก็ตเพลสแล้ว  Hide & Seek ยังจำหน่ายในร้าน Pet Shop และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อาทิ ท๊อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต และโลตัส เป็นต้น ส่วนส่งออกนั้นปัจจุบันส่งไปจำหน่ายในออสเตรเลีย เวียดนาม และตะวันออกกลาง 

สุดท้ายนี้ Hide & Seek วางเป้าหมายที่จะเป็นผลิตภัณฑ์รักษโลกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานำกากสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนเพิ่มอีก 10% แล้วยังเป็นการส่งเสริม Circular Economy อีกด้วย คาดว่าจะเปิดตัวทรายแมวกากมันสำปะหลังออกสู่ตลาดได้ภายในปีหน้า

บทความแนะนำ

Sweepy ไม้กวาดดอกหญ้า ยกระดับอุปกรณ์ทำความสะอาดสู่สินค้า Ergonomic Design

ใครที่คิดว่า “ไม้กวาด” ก็เป็นได้แค่ “ไม้กวาด” อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เมื่อสถาปนิกรุ่นใหม่อย่าง ตูน-นนทัช ขันธรูป ที่มองเห็นปัญหา คุณค่าและโอกาส จาดไม้กวาดดอกหญ้าไปพร้อมๆ กัน ตูนมองเห็นว่าไม้กวาดดอกหญ้าที่ขายกันทั่วไปนั้น “ขาดความทนทาน” ตูนมองเห็นคุณค่าของงานฝีมือท้องถิ่นของไทยที่อยากรักษาไว้ และตูนมองเห็นโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ของสินค้าชิ้นนี้จากงานออกแบบที่เขารัก จนเป็นที่มาของแบรนด์ Sweepy ไม้กวาดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากงานดีไซน์

SME One : แบรนด์ Sweepy เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

นนทัช : Sweepy ดังในเรื่องของไม้กวาด ผมได้เรียนรู้วิธีการทำไม้กวาดตอนที่ผมบวชที่วัดป่าจากคุณลุงประสัก ไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียว แต่ต้องทำทุกวัน มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นแต่คนที่อยากเรียนรู้ก็มาทำโดยจะมี 2-3 แบบที่วัดกำหนด ที่ผมอยากทำเพราะว่ารู้สึกว่าไม้กวาดมันเป็น Skill ที่เราไม่เคยเรียน แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ เพราะไม้กวาดเป็นงานแฮนด์เมดและมีความละเอียด 

จากนั้นผมก็สึกออกมา แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนมามันเป็นอะไรที่มีวัฒนธรรมอยู่ งานช่างหรืองานฝีมือของคนไทยเรามันมีวัฒนธรรมและคุณค่า เพียงแค่ดีไซน์ของมันยังขายในตลาดไม่ได้มากกว่า เราก็เลยมาศึกษาเพิ่มเติมว่า ถ้าเราจะเอาไม้กวาดดอกหญ้ามาขายในตลาด เราจะต้องเอามาทำอะไรบ้าง เราจะต้องออกแบบอย่างไรที่มันถึงจะสามารถสื่อสารกับคนได้ เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่เราอยากจะสร้าง ธุรกิจนี้มันเป็นงานคราฟท์ที่ทันสมัย เราไม่ได้อยากสร้างอะไรที่มันเป็นงานคราฟท์อย่างเดียว เราพยายามสร้างให้มันเป็นธุรกิจที่มีสินค้าตัวนึงที่เราออกแบบแล้วมันสำคัญกับบ้านทุกบ้าน 

 

SME One : วันที่เราคิด เราเห็น Pain point อะไรของ Product ดั้งเดิม

นนทัช :  จริงๆ ตอนที่เราเริ่มศึกษาตลาดและถามคนว่า Pain point ของไม้กวาดมีอะไรบ้าง ที่เราเจอคือ กวาดแล้วดอกหญ้าชอบหลุด ใช้ไปไม่นานก็เริ่มหลุด เราซื้อไม้กวาดดอกหญ้าที่ตอนนั้นเหมือนจะ 30-40 บาทนี่แหละ เพื่อมาดูว่าข้างในมันทำอย่างไรถึงชอบหลุด แล้วก็เดินทางทั่วประเทศเพื่อที่จะไปค้นหาไม้กวาดแบบต่างๆ ว่ามันมีแบบไหนบ้าง มันทำอย่างไร แล้วเขาขายที่ราคาเท่าไหร่  

ช่วงที่เราศึกษาตลาดไม้กวาด ไม้กวาดดอกหญ้ายังมีแบ่งเป็นหลายราคาอีก ส่วนใหญ่เหมือนกับว่าไม้กวาดที่เราเห็นทั่วไป แบบมันไม่ได้เป็นแบบที่มีลิขสิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบ แต่ว่าไม้กวาดทั่วไปผมไม่อยากใช้คำว่าแบ่งเกรด แต่ผมศึกษาแล้วรู้สึกว่ามันมีช่องทางในตลาดนี้อยู่ เพราะผมรู้สึกว่าไม้กวาด 30-40 บาท มันใช้ได้แป๊บเดียวจริงๆ ผมมองว่าสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวันมันมี Pain point อยู่ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเห็นช่องทางในตลาด ทั้งในเชิงของดีไซน์ และเกรดของดอกหญ้าด้วย ตั้งแต่เรื่องของคุณภาพ เรื่องการคัดเลือก แล้วก็วิธีการเย็บอะไรต่างๆ ถ้าลูกค้าใช้ลองไม้กวาดของเรา Sweepy เราเย็บและมัดดอกหญ้าได้ดีที่สุด เย็บ 2 ชั้น เพื่อให้มันยึดเกาะได้ดี รูปทรงไม้กวาดและน้ำหนักที่ไม่ได้หนักเกินไป มีความยาวพอดี และออกแบบให้มีองศาทีที่กวาดได้กว้างขึ้น ไม่ได้เป็นแบบผ่ากลาง 2 แฉก ทำให้ไม่ต้องก้มหรือบิดตัวเยอะเวลากวาดสามารถที่จะเข้าซอกมุมต่างๆ ได้ค่อนข้างดี เพราะดอกหญ้าของเรามันค่อยๆ โค้งไป ปลายที่มันสั้นกว่าทำให้เราเข้ามุมได้ โดยที่กวาดแล้วไม่เมื่อย ปวดหลังน้อยลง และรู้สึกดีผ่อนคลายเวลาทำความสะอาดบ้าน งานออกแบบมันมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้ตอบโจทย์ และแก้ปัญหา Pain point ได้ 

SME One : คิดว่างานดีไซน์ของ Sweepy ตอบโจทย์ Functional หรือ Emotional มากกว่ากัน

นนทัช :  ผมคิดว่าเรื่อง Emotional มันสำคัญมาก ซึ่งผมคิดว่ามีลูกค้าที่เขาเลือกซื้อของด้วย Emotional เยอะมากกว่า Functional ด้วยซ้ำ ลูกค้าของ Sweepy ถ้าดูจากเปอร์เซ็นต์ยอดขาย เราวิเคราะห์ได้ว่าผู้หญิงจะซื้อเยอะกว่า เท่าที่ผมศึกษามาผู้หญิงน่าจะอินกับ Emotional ส่วนเรื่องของ Functional มาทีหลัง คือไม้กวาดของ Sweepy ดอกหญ้ามันจะไม่หลุด และช่วยกวาดบ้านได้ลึกขึ้น ซึ่งไม้กวาดที่มันดูดีดูสวยในบ้าน จึงทำให้ลูกค้ามองเห็น Value ในสินค้าของเรามากขึ้น ส่วนฟังก์ชันมันค่อนข้างไปด้วยกันได้ 

นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว งานออกแบบไม้กวาดของ Sweepy เราพยายามเน้นเรื่องของ Ergonomic Design หรืองานดีไซน์ที่ตอบโจทย์สรีระของผู้ใช้งานจริงๆ โดยเน้นองค์ประกอบของ 3 E’s คือ 1) Effective (ใช้งานดี) 2) Easy to Use (ใช้งานง่าย) และ 3) Enjoyable (ทำให้ประสบการณ์ในการทำความสะอาดดีขึ้น) เราให้ความปราณีตในทุกขั้นตอน เพื่อแก้ปัญหาตั้งแต่แรก คือ การเลือกใช้วัสดุ การคิดไปเรื่องวิธีการใช้งานจริง จนเป็นไม้กวาด Ergonomic Design

 

SME One : เคยลองเปรียบเทียบไหมว่าไม้กวาดของ Sweepy ที่ราคาสูงกว่า กับไม้กวาดทั่วๆ ไปมีอายุการใช้งานต่างกันขนาดไหน 

นนทัช : เท่าที่ผมเปรียบเทียบ ถ้าคนที่ใช้ทุกวัน ใช้ 2-3 เดือน ดอกหญ้าก็จะเริ่มหลุดแล้ว มันจะเริ่มเล็กลงๆ ส่วนของเราจากรีวิวของลูกค้าและที่ใช้กันในบริษัท คนเขาก็ถ่ายรูปมาให้ดู ผมก็เห็นว่าใช้มาเป็นปีแล้วนะ ดอกหญ้าเหลืองจากที่มันเขียวสด คือสีของตัวดอกหญ้ามันค่อยๆ จางลง เพราะใช้ได้นานกว่ากันเยอะ 

 

SME One : วันที่เราเริ่มทำเราคัดเลือกวัสดุเป็นดอกหญ้าอย่างเดียวเลย หรือเรามีการทดลองวัสดุอื่นด้วย

นนทัช : ดอกหญ้าเป็นสินค้าหลักของ Sweepy เราเลือกจากไม้กวาดดอกหญ้าก่อน เพราะมันเป็นไม้กวาดที่คนนิยมและรู้จักกัน หลังจากนั้นเราก็ยังพัฒนาอยู่ เช่น ใช้เส้นใยมะพร้าว 

เส้นใยมะพร้าวจะมีข้อแตกต่างกันในเรื่องของความแข็ง ถ้าใยมะพร้าวเราจะเอามาทำเป็นไม้กวาดหยากไย่ หรือกวาดฝ้า ที่มันมีความยาว เพราะเส้นใยมีความแข็ง เพื่อที่จะให้มันกวาดพวกฝุ่นที่เกาะอยู่ได้ ถ้าเป็นไม้กวาดเสี้ยนตาลมันก็จะมีความยืดหยุ่น เราก็จะมีการฉีดน้ำยา ซึ่งเราจะใช้ในการกวาดด้านนอก อาคารพวกใบไม้หรือลานปูนได้ ส่วนตัวดอกหญ้าที่เป็นเมนหลักๆ ก็คือจะยิยมใช้กวาดในบ้าน 

ช่วงที่เราพัฒนาสินค้า ผมมีโอกาสได้ลองไม้กวาดพลาสติกด้วย ซึ่งเราพบว่าวัสดุทดแทนอย่างพลาสติก ตอนกวาดมันก็จะกวาดยากนิดนึง เพราะฝุ่นมันจะไม่ขึ้น ผมเลยยังเชื่อในตัวดอกหญ้าที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการทำไม้กวาดมานานแล้ว 

SME One : คนส่วนใหญ่มองไม้กวาดเป็นสินค้า OTOP แต่เรามาสร้างแบรนด์ มีความหนักใจหรือไม่

นนทัช : ตอนที่ผมทำ ภาพในหัวไม่ได้มองว่าสินค้าของเราเป็น OTOP แล้ว สินค้าของ Sweepy เราใช้คำว่า Craftsmanship เพราะผมคิดว่าเรื่องของ Emotion ตรงนี้สำคัญ คือเรามองถึงการตกแต่งบ้าน เป็นไลฟ์สไตล์ เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและการออกแบบที่อินเตอร์ ทันสมัย การออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจากความมินิมอลของญี่ปุ่น ผมคิดว่าภาพที่คนจะได้มันเป็นแบบนั้นมากกว่า คือตอนเริ่มต้น เราก็ดูก่อนว่าคนในหมู่บ้าน OTOP เขาอยากทำกันไหม เขาก็ไม่อยากทำ เพราะเขาเคยทำแบบเดิมมานานแล้ว OTOP เขาก็ไม่ได้อยากทำแบบเรา ผมก็เลยคิดว่ามันแยกออกจากกันได้ค่อนข้างชัดเจน

ทุกวันนี้ในส่วนของการผลิต เราก็ผลิตแบบอุตสาหกรรมมีโรงงานเป็นรูปเป็นร่าง แต่เรายังใช้แรงงานจากคนในระแวกนั้น ส่วนแหล่งวัตถุดิบเราก็หามาจากแหล่งปลูกในประเทศไทยที่จะมีอยู่ 2-3 แหล่ง ทางภาคเหนือ และพื้นที่ใกล้ชายแดนประเทศลาว และปากช่อง โคราช

 

SME One : ช่วงทำธุรกิจแรกๆ Sweepy เจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างหรือไม่ 

นนทัช : ผมคิดว่าปัญหาตอนเริ่มต้นมันยังไม่ได้เป็นธุรกิจเท่าไหร่ คนมันยังไม่ค่อยครบ ตอนนั้นผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา เพราะคิดว่าคนที่เป็น CEO ต้องเริ่มจากการมีคนไม่กี่คนก่อน แล้วก็จะมีปัญหาที่มีคนไม่เก่งอยู่ เราก็จะไปหาคนเก่งมาทำหน้าที่นั้น อย่างเช่นการทำการตลาดในประเทศ เราจะทำการตลาดแบบไหน โฆษณาแบบไหน เราจะเข้า Modern Trade อย่างไร แล้วเราจะสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาอย่างไร แล้วถ้าเราจะส่งออกไปต่างประเทศ เราต้องทำวิธีไหนบ้าง เราก็จะศึกษา Distribution Channel ของเรา เราส่งไปแล้วมันเป็นยังไงบ้าง มันก็คือการสร้างคนผมคิดว่า มีคนที่เราไว้วางใจและสามารถเติบโตกับธุรกิจนี้ได้ คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะต้องผ่านให้ได้ 

ผมใช้เวลาศึกษาตลาดจริงจังประมาณ 1 ปี จนถึงวันหนึ่งที่เราตัดสินใจจะทำไม้กวาดและกว่าจะได้เป็นไม้กวาดออกมา กว่าที่เราจะหาคนที่เราไว้ใจและทำธุรกิจให้เป็นระบบขึ้นมาได้ จนมาถึงตอนนี้ก็ยังมีปัญหาครับ มันก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ เพราะมันเป็นการทำธุรกิจ ปัญหาช่วงเริ่มต้นมันมีอยู่แล้ว ตอนนั้นไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา แต่มองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้สำเร็จมากกว่า และสิ่งที่ได้มาหลังจากนั้นก็คือว่า เราจะสร้างคนอย่างไร เราจะสร้างระบบอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนไว้วางใจในสินค้าเรา ทำอย่างไรให้ Sweepy เป็นที่พูดถึง ยอมรับ และอยากได้ 

SME One : Sweepy ทำตลาดมาแล้ว 5 ปี ไม้กวาด Sweepy เวอร์ชั่น 1.0 กับเวอร์ชั่นปัจจุบันมีความแตกต่างรกันหรือไม่

นนทัช : ต้องบอกว่าทุกวันนี้เวอร์ชั่น 1.0 ก็ยังขายอยู่ เพราะว่าคนเขายังชอบแบบอยู่ แล้วมันก็จะมีเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่มันผลิตขึ้นมาด้วย เช่น เวอร์ชั่นที่ถอดประกอบได้ ก็จะส่งไปที่เมืองนอก แล้วก็จะมีที่โกยผงที่ขายพร้อมกัน

ทุกวันนี้ Sweepy มีการแตกไลน์สินค้าออกไปบ้าง แต่หลักๆ ก็จะเน้นเรื่องการทำความสะอาด ไม้กวาดดอกหญ้า ไม้กวาดหยากไย่ ไม้กวาดเสี้ยนตาล ที่โกยผง แล้วเราก็จะมีการทำตะกร้าที่เอาไว้ไปตลาดไปซื้อของ ก็จะเป็นตะกร้าที่แข็งแรงทำมาจากปาล์ม แล้วก็เหมาะที่จะอยู่ในครอบครัวเดียวกับ Sweepy แล้วตอนนี้ก็มีผ้าสปันที่เป็นเหมือนผ้าฟองน้ำที่เอามาเช็ดถู แล้วกสามารถใช้ซ้ำได้

SME One : ช่วง COVID-19 ระบาด Sweepy ได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่

นนทัช : เราขายดีขึ้นเยอะในช่วง COVID-19 ระบาดแรกๆ หลังจากนั้น COVID-19 มันก็ขึ้นๆ ลงๆ ยอดขายเราก็นิ่งๆ หย่อนๆ บ้าง จน 2 เดือนที่แล้วตัวเลขก็ค่อยขึ้นมาอีก ทุกคนก็น่าจะรู้ว่ายอดใน Modern Trade มันลดลง แล้วเราโฟกัสต่างประเทศมากขึ้นด้วย มันก็เลยทำให้เราขายได้มากขึ้นในตอนนั้น 

ปัจจุบันเราขายผ่านช่องทาง Modern Trade เช่นบุญถาวร, Index, Homepro นอกจากนั้นก็จะมีร้านเล็กๆ แล้วก็จะมีส่งออกไปที่อเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี แล้วก็มียุโรปที่ฝรั่งเศส โดยรายตอนนี้ประมาณ 60-70% อยู่ในประเทศ และประมาณ 30-40% เป็นตัวเลขส่งออกต่างประเทศ 

SME One : ตลาดต่างประเทศบางประเทศนิยมใช้พรม สินค้าของเราไปฟิตกับไลฟ์ไตล์แบบไหน

นนทัช : ผมคิดว่าเขาก็ใช้ไม้กวาดเหมือนกันนะครับ ตอนแรกผมก็แปลกใจเหมือนกัน คือฝุ่นบ้านเขาต้องน้อยกว่าบ้านเราแน่นอน แต่ไม้กวาดก็ยังต้องมี ผมคิดว่าประชากรของเขาก็เยอะด้วยแหละ มันก็เลยทำให้ยังได้ยอดขายเยอะอยู่ตลอด

 

SME One : วางแผนการขยายธุรกิจในอนาคตไว้อย่างไร

นนทัช : ผมไม่ได้คิดว่าต้องรอให้เหตุการณ์มันกลับมาเป็นปกติ เรื่องของการขยายธุรกิจก็คิดอยู่ แล้วก็ลองทำอยู่เหมือนกัน เพราะว่าสินค้านี้มันเป็นสินค้าที่ต้องมีทุกบ้าน คือผมรู้สึกว่าธุรกิจจะให้มันเป็นไม้กวาดอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องเป็นมากกว่านั้น คือตอนนี้ทุกคนเริ่มออนไลน์กันเยอะขึ้น เราก็ไปร่วมกับโปรโมทของเขามากขึ้น คือเน้นในเรื่อง Distribution Channel มากกว่า ให้คนเข้าถึงเราได้เยอะขึ้น 

ในส่วนของสินค้าใหม่ ตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าอะไร เราขอพยายามโฟกัสที่เราทำอยู่ให้มันดีก่อน สิ่งที่สำคัญคืออยากทำให้ภาพของ Sweepy ให้มันชัดเจนด้วย 

ในส่วนของความท้าทาย ทุกวันนี้เรื่องท้าทายคือต้องการทำให้ธุรกิจดีขึ้น และการมีสินค้าตัวใหม่ที่ทำขึ้นมา คือไม้กวาดมันเป็น Signature ของเรา แล้วมันก็จะมีตัวอื่นที่คนก็ซื้อ แต่ก็ไม่ได้ซื้อเท่าตัวไม้กวาด การสร้างสินค้าที่เป็น Signature อันนั้นคือความท้าทายที่สุด มันอาจจะใช้เวลา แต่อยู่ที่ว่าเราเรียนรู้ เราค้นคว้าใช้เวลากับมันมากแค่ไหน 

ในเรื่องของการพัฒนาตลาด ถ้าเราสามารถทำอะไรที่มันใหม่ๆ ได้ หรือใครที่คิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ผมก็อยากให้คนทำออกมาเรื่อยๆ การออกสินค้าใหม่มันอาจจะไม่ดีกว่าเดิม หรืออาจจะดีกว่าเดิมก็ได้ ดีกว่าของผมหมายถึงเชิงฟังก์ชั่น เรื่องตัวแบบ และดีไซน์

อีกหนึ่งเป้าหมายที่เราอยากทำเพิ่นขึ้นในอนาคตก็คือ การทำ Co-Branding ผมชอบไอเดียที่มันเป็นความร่วมมือใหม่ๆ ตอนนี้ Sweepy เองอาจจะยังไม่ได้ทำจริงจัง เราเคยทำงานร่วมกับ Habitat คือที่ส่งไปขายที่ประเทศฝรั่งเศส รวมถึงเกือบมีโอกาสจะได้ทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง H&M แต่ติดปัญหาเรื่องราคาต้นทุน เรื่อง Co-Branding เราเปิดรับเสมอถ้ามีใครสนใจก็อยากให้เขาติดต่อมาได้เลย แต่จะทำได้ได้หรือไม่ได้ก็ต้องเจรจาดู

 

SME One : ถ้าอยากจะให้ฝากคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เราจะให้คำแนะนำอะไร

นนทัช : อยากฝากเรื่องการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ และมี Passion กับมัน เพราะผมอยากให้มองสิ่งที่จะทำเป็นมากกว่าไอเดีย คือถ้ามันทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ก็จะดี แล้วก็ลองขายดู ยังไม่อยากให้ยอมแพ้ไปก่อน พอมันเริ่มได้แล้วก็ควรหาความรู้รอบด้านให้เยอะที่สุด และควรรู้รอบด้านในเชิงการทำธุรกิจด้วย

 

บทสรุป

ความสำเร็จของไม้กวาดดอกหญ้า Sweepy มาจากการให้ความสำคัญทั้งด้าน Emotional Value และ Functional Value เพราะนอกจากจะมีการออกแบบที่สวยงาม การเย็บที่ปราณีตแล้ว ยังคำนึงถึงเรื่อง Ergonomic Design หรืองานดีไซน์ที่ตอบโจทย์สรีระของผู้ใช้งานจริงๆ โดยเน้นองค์ประกอบของ 3 ทั้ง 3 ส่วนคือ ใช้งานดี, ใช้งานง่าย และทำให้ประสบการณ์ในการทำความสะอาดดีขึ้น

บทความแนะนำ