หนองพงนก เบเกอรี่เพื่อคนทุกกลุ่ม
จากร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ขายตามหมู่บ้านโซนนอกเมือง ในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ สู่บริษัท หนองพงนก เบเกอรี่ แอนด์ ฟู้ด จำกัด หรือ รู้จักกันในขื่อ เค้กหนองพงนก จากชื่อหมู่บ้านที่เป็นจุดกำเนิดธุรกิจ เค้กหนองพงนกประสบความสำเร็จจนสามารถเข้าถึงใจคนทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยเบเกอรี่คุณภาพสูงแต่ราคาไม่สูง ที่พร้อมปรับตัวหาช่องทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ปรับรูปลักษณ์เพิ่มโอกาสทางการค้า
จากธุรกิจครอบครัวที่ไม่มีใครสานต่อ คุณสมัชชา สีทันดร ได้กลับมาพัฒนาธุรกิจที่ผูกพันมาตั้งแต่เด็ก โดยมองไปที่การรีแบรนด์ร้านเบเกอรี่ใหม่ จากขนมที่ทำสดแล้วขายตามหมู่บ้านหรือตามโรงเรียน ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยเริ่มสำรวจตลาดกลุ่มร้านกาแฟ ศึกษาลักษณะของขนมที่น่าจะทำกำไรได้ และนำมาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ของตน เค้กที่รู้จักแค่ในกลุ่มชาวบ้าน จึงค่อยๆ ขยับขึ้นมาสู่ตลาดระดับกลาง นอกจากแบรนด์ที่ปรับเปลี่ยนตลาดแล้ว ยังได้ส่งต่อคำแนะนำแนวคิดนี้ให้แก่กลุ่มลูกค้าเดิมที่ซื้อไปจำหน่ายต่ออีกด้วย
เพราะเป็นเบเกอรี่ที่พัฒนามาให้ตอบโจทย์กลุ่มคนที่หลากหลาย ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป และมีคุณภาพ ทำให้เค้กหนองพงนกได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเติบโต จนกลายเป็นสินค้าขายดีของอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สามารถกระจายสินค้าไปได้ทั้งในหมู่ลูกค้าปลีก ลูกค้าส่ง ตามร้านของฝากและจุดพักรถต่างๆ
เมื่อมีช่องทางการจัดจำหน่ายมาก จึงปรับเปลี่ยนจากการผลิตในครัวเรือนมาสู่รูปแบบอุตสาหกรรมมาตรฐาน มีระบบระเบียบในการวางแผนและวิเคราะห์มากขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย และเพิ่มทรัพยากรบุคคลมาเสริมให้งานทุกอย่างไหลลื่นขึ้น
ปัจจุบันหนองพงนกเบเกอรี่มีทั้งหมด 8 สาขา มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กำแพงแสน และสาขาอื่นในบริเวณที่ไม่ไกลกัน และมีคู่ค้าที่อยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ด้วยแนวคิดที่เน้นย้ำว่าจะมีสาขากี่สาขาไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการบริหารจัดการและต้องดูแลได้อย่างทั่วถึง
พัฒนาเพื่อคนทุกกลุ่ม
เสียงตอบรับที่ดีของเค้กหนองพงนก มาจากการศึกษาวิเคราะห์รูปแบบสินค้าที่สามารถขายได้ในกลุ่มเป้าหมายเป็นวงกว้างและเน้นการพัฒนาอย่างจริงจัง กลยุทธ์ในการครองใจคนทุกกลุ่มก็คือ การสังเกตและผลิตตามความต้องการของลูกค้า เช่น เน้นเค้กราคาไม่แพงและขนาดชิ้นปานกลางสำหรับกลุ่มลูกค้าร้านกาแฟ เน้นทำบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามสำหรับกลุ่มลูกค้าร้านของฝาก หรือมีเค้กมะพร้าวและน้ำผึ้งเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่รักสุขภาพ ด้วยความสามารถในการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลากหลายกลุ่ม ทำให้เมื่อตลาดหนึ่งกำลังซื้อลดลง ก็สามารถนำตลาดอื่น ๆ มาทดแทนได้ นอกจากนี้ยังได้เพิ่มความใส่ใจในการบริหารจัดการเรื่องการขนส่ง โดยร่วมกับบริษัทขนส่งหลาย ๆ ที่เพื่อเปรียบเทียบราคา ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการส่งของให้กับลูกค้าได้ รวมถึงมีการเพิ่มรถตู้ห้องเย็นในการส่งขนมที่สดใหม่ และวางแผนการขนส่งไปตามเส้นทาง ทำให้การส่งของแต่ละครั้งสามารถบริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
มองหาช่องทางอยู่เสมอ
เค้กหนองพงนกใช้โอกาสในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ร้านค้าและจุดพักรถหลายแห่งปิด มาพัฒนาการขายทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์มทั่วประเทศ โดยปรับบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามและกะทัดรัด คัดเลือกสินค้าที่ง่ายต่อการขนส่งและเก็บรักษาได้ค่อนข้างยาว เช่น เค้กชิฟฟ่อน, เค้กรวมรสหน้าต่าง ๆ , และเค้กโบราณตัวเด่นของทางร้าน วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อการขายเค้กออนไลน์ จะเป็นการส่งเค้กเปล่า ประยุกต์ชิ้นให้กะทัดรัด และทำเป็นรูปแบบ DIY แยกกรวยบีบเป็น Set box ให้ลูกค้าไปแต่งหน้าเค้กเอง สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้ได้ผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก
หนองพงนกเบเกอรี่ยังไม่หยุดในการหาช่องทางใหม่ ๆ ในการขาย โดยมีเป้าหมายตามแผนระยะยาวที่มุ่งทำมาแต่ต้น คือ การรองรับช่องทางการจำหน่ายหลาย ๆ ช่องทางเพื่อตอบโจทย์ให้หลากหลายกลุ่ม รวมถึงมองตลาดให้กว้างขึ้นไม่ใช่แค่ในประเทศ เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าคนไทยในต่างประเทศซื้อกลับไปเป็นของฝากและนำไปจำหน่าย จุดประกายความคิดที่จะขยายไปทั้งในโซนเอเชีย ยุโรป และอเมริกา จึงใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาตัวเองและปรับปรุงระบบ เตรียมบุคลากรและความพร้อมเพื่อที่จะสามารถดำเนินการได้เลยทันทีหลังจากพ้นวิกฤตตรงนี้
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของหนองพงนกเบเกอรี่ มีหลากหลายชนิดและยังคงออกรสชาติใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
มีสินค้ายอดนิยมอย่าง ได้แก่ เค้กโบราณบานเย็น, เค้กรสมะพร้าว ซึ่งใช้มะพร้าวน้ำหอมจากธรรมชาติ, เค้กน้ำผึ้ง ถูกใจคนรักสุขภาพ, ชิฟฟอนเค้ก มีให้เลือกมากมากหลากหลายรสชาติ, ขนมเปี๊ยะ ไดฟุกุแป้งสด ขนมบัวหิมะ รสชาติต่างๆ, รับบริการทำเค้กวันเกิดและมีเค้กตามเทศกาลจำหน่าย เป็นต้น
ผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของหนองพงนกเบเกอรี่ แอนด์ ฟู้ด สามารถติดต่อได้ที่
44/2 หมู่ 12 ตำบลสระสี่มุม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 73140
Tel: 097-164 8581
Line id: Cha0159, NPN556, NPN559
Website: www.nongpongnokbakery.co.th
Email: nongpongnok5678@gmail.com
Facebook: www.facebook.com/Banyencafe/
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
ส้มตำไทยอบกรอบแม่ตุ๊ก อาหารไทยพื้นบ้านผสมผสานเทคโนโลยี
เมื่อ “ส้มตำ” อาหารไทยพื้นบ้าน ถูกนำมาเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ต่อยอดไอเดียให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เก็บได้นาน และง่ายต่อการรับประทาน ก็สามารถขยายความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ออกไปสู่ตลาดโลก
.
พลิกความคิด พร้อมสร้างโอกาสใหม่
ก่อนที่จะมาเป็นส้มตำและอาหารไทยกึ่งสำเร็จรูป ธุรกิจแรกเริ่มของแม่ตุ๊ก เป็นการขาย วัตถุดิบด้านการปรุงอาหารแบบค้าส่งและค้าปลีกที่ตลาดสี่มุมเมือง จำพวกปลาร้า หน่อไม้ และของดองต่าง ๆ แต่แม่ตุ๊กได้เล็งเห็นโอกาสที่จะขยายตลาดไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่นอกจากลูกค้าประจำ โดยการเปลี่ยนภาชนะบรรจุจากเดิมที่เป็นเพียงการใส่ถุง คิดใหม่ให้ดูสะอาด น่ารับประทานมากขึ้น พร้อมกันนั้นได้เริ่มทำปลาร้าต้มสุกบรรจุใส่ขวดเป็นเจ้าแรก ๆ ในประเทศไทย แล้วตามด้วยสินค้าอื่น ๆ เช่น หน่อไม้ดอง ที่ถูกพัฒนาสูตรขึ้นมาเป็นหน่อไม้ในน้ำใบย่านาง ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี ทำเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีความต้องการสั่งสินค้าเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
.
เพิ่มมูลค่าการตลาดด้วยเทคโนโลยี
เมื่อธุรกิจได้รับผลตอบรับที่ดี ก็เริ่มได้รับการติดต่อสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปวางจำหน่าย ในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศ แม่ตุ๊กจึงมีความตั้งใจที่จะหันมาสร้างธุรกิจแปรรูปอาหาร เพื่อช่วยยกระดับผลผลิตทางการเกษตรให้ได้มาตรฐานสากล และสามารถส่งออกได้ โดยเปิดเป็นโรงงานแปรรูปสินค้าการเกษตรขนาดย่อมในปี พ.ศ. 2557 มีเป้าหมายแรกจากการเริ่มทำน้ำปลาร้าสดบรรจุขวดเพื่อจำหน่าย
.
เปลี่ยนสิ่งที่พบเจอ เป็นช่องทางต่อยอดธุรกิจ
ด้วยพื้นฐานธุรกิจจากผลิตภัณฑ์วัตถุดิบทำอาหารและปรุงรส แม่ตุ๊กเริ่มเล็งเห็นช่องทางที่น่าสนใจ ในธุรกิจอาหารไทย จากการที่ต้องไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ และต้องออกไปเดินหาซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารไทย ในระหว่างนั้นได้สังเกตเห็นว่าไม่มีอาหารไทยรูปแบบกึ่งสำเร็จรูปมาวางขาย จึงทดลอง ทำสูตรออกมาให้ได้สินค้าที่ทานง่าย สะดวก รองรับกับวิถีชีวิตคนในปัจจุบัน และตอบโจทย์คนไทยในต่างประเทศ นักท่องเที่ยว รวมถึงทำให้สามารถซื้อหาเป็นของฝากได้
เมื่อมีโจทย์ตั้งต้นแล้ว จึงได้เริ่มพัฒนาสูตร โดยคิดถึงสินค้าที่สามารถต่อยอดได้ เช่น ส้มตำไทยอบกรอบที่นอกจากจะเป็นอาหารที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายแล้ว ยังหวังให้สินค้าเกษตรไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ เพราะในส้มตำประกอบไปด้วยผลผลิตทางการเกษตรหลายอย่าง น่าจะช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรได้
แต่ด้วยทักษะความรู้ในช่วงแรกที่ยังไม่พร้อม จึงต้องมีการศึกษาหาเทคโนโลยีที่จะสามารถผลิต สินค้าขึ้นมาได้ ลงเอยที่เทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze Dry) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้วิธีการระเหิดเอาความชื้นออกจาก ตัวอาหาร จนได้เป็นลักษณะที่กรอบ และเมื่อได้รับความชื้นก็จะคืนรูปกลับมาได้ จึงได้นำมาทดลองกับส้มตำ ต้มยำกุ้ง และผัดไทย จนสำเร็จ
.
อดทนและพัฒนา คือสูตรสำเร็จสู่ความสำเร็จ
สิ่งที่ทางแม่ตุ๊กยึดมั่นเสมอมาคือการผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคให้การยอมรับ หลังจากทดลองจนได้สูตรที่ต้องการ ต้องให้ตัวอย่างทดลองแก่ลูกค้าไปชิมเพื่อรับข้อติชม เสนอแนะและแก้ไขไปตามจุด หากสินค้าตัวนั้นไปต่อได้ ก็ทำการพัฒนาต่อให้อยู่ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีขึ้น สวยงามขึ้นและทำง่ายขึ้น
ทางด้านการทำการตลาดแม่ตุ๊กได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ส้มตำออกมาก่อนเพราะตอบโจทย์ความง่ายในการรับประทาน เพียงแค่ใช้น้ำเปล่าเทลงไป รอจนส้มตำคืนรูปก็สามารถทานได้เลย ในอนาคตทางแบรนด์จะวางขาย ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ที่พัฒนาสูตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้การเติมน้ำร้อนในการรับประทาน
สินค้าในแบรนด์ต่าง ๆ มีดังนี้
ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความใส่ใจในความสะอาดและปลอดภัยในอาหาร ยึดมั่นในความพึงพอใจของลูกค้า แม่ตุ๊กจึงพัฒนาอย่างไม่หยุด โดยมีเป้าหมายคือการทำสินค้าที่ให้ทุกคนสามารถทำอาหารทานเองได้
.
ข้อมูลติดต่อธุรกิจส้มตำไทยอบกรอบแม่ตุ๊ก
ที่อยู่ : 91 หมู่ 3 ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี 12170
โทรศัพท์ : 02-150-1688, 089-5065003 (ผู้จัดการ), 081-8095299 (ที่ปรึกษาผู้อาวุโส)
Fax : 02-150-1689
Email : maetuk.mt@gmail.com
Website : http://www.maetuk.com
Facebook : www.facebook.com/MAETUK.TH
.
ช่องทางติดต่อบริษัท เอ็ม ที เกษตรแปรรูป จำกัด
2/1 หมู่ 8 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
โทรศัพท์ : +66 (0)2-9026322
Fax : +66 (0)2-9026326
อีเมล : info@maetuk.com
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
บัวลอยกลมเกลียว เสน่ห์ในรสชาติและสุขภาพ
บัวลอยไทยเชื้อสายจีนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการทำ และเคารพในวัตถุดิบ เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของ คุณแม่แกว เอมรอินทร์ ชีรนรวนิชย์ ที่ได้ดูสารคดีเรื่องกะทิสดสามารถบำรุงหลอดเลือดหัวใจได้ หากบริโภคด้วยอุณหภูมิที่ถูกต้อง จึงนำมาคิดค้นเป็นสูตรบัวลอยกะทิสดที่ผ่านความร้อนน้อย ตัวแป้งทำเป็นบัวลอยแบบไทยเชื้อสายจีน ที่ผสมทั้งเผือก ฟักทอง มัน กับทรงเครื่องแบบจีนด้วยแปะก๊วย รากบัว พุทราจีน เป็นเสน่ห์ที่รวมทั้ง 2 วัฒนธรรมเข้ากันได้อย่างลงตัว และให้โภชนาการที่ดีสำหรับผู้คนหลากหลายวัย
.
พัฒนามรดกทางวิชาชีพ อย่างคงเอกลักษณ์
ช่วง 10 ปีแรกที่บัวลอยกะทิสดสูตรแม่แกวประสบความสำเร็จ นั้นยังไม่มีการบริหารจัดการใด ๆ แม้กระทั่งชื่อร้าน จนเมื่อคุณนก ปภัสพรรณ์ ชีรนรวนิชย์ ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาสืบทอดเจตนารมณ์ดั้งเดิมของคุณแม่ที่จะส่งต่อวิชาชีพนี้เพื่อที่เป็นมรดกให้กับลูกหลาน ด้วยความเชื่อมั่นว่าวิชาชีพนี้จะสามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้รอดพ้นหากเกิดวิกฤตด้านการเงินขึ้น เหมือนกับที่แม่แกวปรับเปลี่ยนอาชีพจากร้านโชห่วยที่กำลังประสบปัญหา และพลิกฟื้นสถานการณ์จนรอดพ้นมาได้ด้วยบัวลอยกะทิสด
โจทย์ในการสืบทอดกิจการของรุ่นที่ 2 จึงมุ่งเน้นในการทำแผนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ โดยโฟกัสเรื่องต้นทุนและความยั่งยืน ไม่ได้คิดเรื่องการทำกำไรให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและคงเอกลักษณ์ของบัวลอยให้คงอยู่ต่อไปได้ คุณนกต้องศึกษาจากจุดเริ่มต้นที่ไม่เคยมีความรู้ด้านธุรกิจหรือด้านอาหารมาก่อน จึงเลือกที่จะเข้าร่วมในโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อศึกษาหาความรู้เพื่มเติม รวมทั้งจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่พบเจอในห้องเรียน ทำให้ได้รับความช่วยเหลือเรื่องข้อมูล ไอเดีย รวมไปถึงมีการแบ่งปัน Supplier และลูกค้าให้แก่กัน เป็นความสัมพันธ์เกื้อกูลที่คุณนกคิดว่าทุก ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กควรสร้างสิ่งเหล่านี้ไว้
หลังจากได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครอบครัว จึงทำการตั้งแบรนด์ “บัวลอยกลมเกลียว” ขึ้น เป็นชื่อที่แฝงไว้ด้วย 2 ความหมาย คือ บัวลอยธุรกิจของครอบครัวที่ทุกคนทุ่มเทร่วมกันอย่างกลมเกลียว และความหมายที่สองคือ ตัวขนมบัวลอยเม็ดกลมที่เหนียวแน่น สื่อถึงความกลมเกลียวของครอบครัวและองค์กร เป็นสิ่งที่ที่คนไทยเชื้อสายจีนใช้ไหว้เป็นสิ่งมงคลในวาระสำหรับเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ
.
เริ่มแนวทางธุรกิจ จากจุดแข็งที่มี
หัวใจหลักที่ทำให้บัวลอยกลมเกลียวไม่เหมือนใคร คือ เรื่องของสินค้า บริการ และการต่อยอดธุรกิจ
เมื่อต้องก้าวเข้ามารับช่วงต่อในกิจการครอบครัว จุดแข็งที่คุณนกมุ่งมั่นจะเก็บรักษาและพัฒนาต่อ คือสูตรขนมและรสชาติที่คนรุ่นแรกปูทางไว้ให้แล้ว นำมาเพิ่มเติมต่อยอดในส่วนที่ขาด คือเรื่องการวางโครงสร้างเพื่อขยายแบรนด์ เนื่องจากในช่วงแรก แม่แกวเจ้าของสูตรต้องการที่จะให้ตนและคนในครอบครัวเป็นผู้ผลิตบัวลอยด้วยตัวเองเท่านั้น เพื่อรักษาคุณภาพ จึงทำให้ไม่มีเวลาในการบริหารงานและส่งผลให้การขยายธุรกิจเป็นไปได้ยาก เมื่อคุณนกเข้ามาดูแล ได้นำกระบวนการ Trial and Error เข้ามาใช้ คือทดลองทำเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ถามความคิดเห็นจากผู้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจครอบครัว และดูผลลัพธ์ไปด้วยกัน ค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น โดยสามารถเลี่ยงเรื่องความคิดที่ไม่ตรงกันที่มักจะพบในการรับช่วงต่อและพัฒนาธุรกิจของครอบครัวไปได้ ขั้นตอนต่อไปจึงมาดูแลในเรื่องของเป้าหมายและช่องทางการจัดจำหน่าย ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการเก็บข้อมูลจากลูกค้า จนแตกไลน์มาเป็นบัวลอยมงคล คือขนมอี๋ ในส่วนหนึ่งจับตลาดเทศกาลงานมงคลต่าง ๆ และอีกส่วนหนึ่งไปเน้นทำตลาดลูกค้าองค์กร โดยเฉพาะงานประชุมและสัมมนา โดยพยายามพัฒนาด้าน packaging ให้สะดวกสบายต่อการใช้งานมากที่สุด เช่น เปลี่ยนถ้วยใส่ขนมให้เป็นแบบที่ปลอดภัยกับไมโครเวฟ เพื่อตอบโจทย์คนทำงานที่สามารถนำขนมมาอุ่นทานภายหลังได้ รวมทั้งหาพันธมิตรเพิ่มเติมจากเพื่อน ๆ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้า จากที่ขายอยู่ตามตลาดนัด ก็ทำการปรับมาเปิดสาขาถาวรที่เยาวราช นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางให้สามารถเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่าง ๆ วิธีการขยายฐานลูกค้าเช่นนี้ ทำให้แบรนด์เกิดการเรียนรู้ในเรื่องการปรับปรุงยกระดับการให้บริการ สร้างความเสถียรในกำลังการผลิตและการบริหารระบบขนส่งให้ราบรื่น รวมถึงหมั่นสังเกตและนำคำแนะนำจากลูกค้ามาพัฒนาบริการเสมอมา
.
ปัจจุบันบัวลอยกลมเกลียวมีสินค้าและบริการดังนี้
และในอนาคตจะมีน้ำสมุนไพร มาเสริมยอดขายเพิ่มขึ้น
ยังมีผลิตภัณฑ์ที่กำลังอยู่ในช่วงวิจัยพัฒนาคือ ชุดบัวลอยพร้อมปรุง เพื่อจำหน่ายในช่องทางออนไลน์หรือในพื้นที่นอกเขตกทม. ด้วยแนวคิดที่ต้องการจะกระจายสินค้า โดยคิดวิธีการถนอมอาหารให้ยังคงรักษารสชาติดั้งเดิม จึงใช้ช่วงเวลาขณะนี้สำรวจตลาดและเก็บข้อมูลเพื่อดำเนินงานวิจัยต่อไป นอกจากนั้นได้มีการวางแผนต่อเนื่องไปถึงรุ่นต่อไปหลังจากนี้ ว่าจะมีแนวทางต่อยอดอย่างไรให้เท่าทันไปกับโลก และยังคงรักษาเสน่ห์ที่เป็นมรดกไว้ได้ เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ ไปผู้คนจะให้ความสำคัญกันมากในเรื่องของสุขภาพ
.
ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์และบริการของบัวลอยกลมเกลียว สามารถติดต่อได้ที่
Facebook: บัวลอยกลมเกลียว by แม่แกว
โทร: 099-592-2636, 085-933-6664, 086-644-9951
สาขาต่าง ๆ :
1.สาขาเยาวราช
ขายเวลา 20.00-24.00 น. หยุดวันอาทิตย์
ถนนเยาวราชซอย 4 ตรงข้ามโรงหนังไชน่ารามา, ก๋วยจั๊บนายอ้วน
ขายวันพฤหัส เวลา 11.00-14.00 น.
ตลาดเจ๊วารี สมาคมเทควันโด แยกเพลินจิต ข้าง ธ.กรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่
สามารถสั่งจองได้ โทร 085-933-6664
โดยสั่งจองก่อน 11.00 น.และมารับบัวลอยได้ถึง 14.00 น.
ขายทุกวันพุธสิ้นเดือน
เวลา 08.00-15.00 น.ที่ตลาดนัดตึกกลมคณะวิทยาศาสตร์
ขายเวลา 16.30-20.30 น. หยุดวันอาทิตย์ และวันพุธ
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
จากผลการสำรวจของ Nielsen พบว่า 54% ของคน Gen Z มีความฝันตั้งมั่นอยากเป็นเจ้าของกิจการ ปราศจากหนี้ มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง และอาชีพในฝันของคนกลุ่มนี้ก็คือ การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังตีโจทย์ธุรกิจไม่แตก ไม่รู้ว่าจะเข้าไปอยู่ใน Startup Ecosystem อย่างไร และอาจเข้าไม่ถึงเครือข่ายแหล่งทุนที่จะทำให้สเกลอัพได้
วันนี้เรามีหน่วยงานสนับสนุนสตาร์ทอัพในทุกๆ มิติมานำเสนอ นั่นคือ AIS The StartUp ตัวช่วยที่จะทำให้สตาร์ทอัพไทยเดินไปสู่ฝันที่เป็นจริงได้ ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้านเอไอเอส สตาร์อัพ บริษัท แอดว๊านซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า AIS The StartUp เป็นหน่วยงานของเอไอเอสที่เข้ามาเติมเต็มศักยภาพ ต่อยอด และให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในเมืองไทยให้มีความแข็งแกร่งเติบโต และพัฒนาไปสู่ระดับโลก โดยเปิดกว้างสตาร์ทอัพในทุกๆ สเตจ
เริ่มจากระยะเริ่มต้น Early Stage หรือ Idea Stage เพิ่งเริ่มสร้างธุรกิจยังไม่มี Business Model ชัดเจน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้มาด้วยไอเดียและ Passion ดังนั้น AIS The StartUp จะเข้ามาสร้างความรู้ความเข้าใจของการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ และให้มุมมองการพัฒนาไปสู่โมเดลการสร้างรายได้
Growth Stage ระยะการเติบโตซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่มี Business Model แล้ว แต่ต้องการทดสอบตลาด ทาง AIS The StartUp จะมีโปรแกรม Go to Market Program เพื่อร่วมทำกิจกรรมการตลาดด้วยกัน โดยจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงลูกค้าทั้งหมดของเอไอเอสที่มีกว่า 34 ล้านรายในปัจจุบัน โดยการเชื่อมต่อ API อาทิ การชำระเงิน ยืนยันตัวตน หรือทำโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อเป็นการทดสอบตลาดกับลูกค้าโดยตรง และหากกลุ่มนี้ต้องการสเกลอัพไปอีกเลเวลหนึ่ง AIS The StartUp จะยิ่งเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อช่วยธุรกิจของสตาร์ทอัพในกลุ่มนี้เติบโตได้ ผ่านการจัดหา (Provide) โซลูชั่นต่างๆ ได้ อาทิ โซลูชั่นทางด้านเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายโทรคมนาคมของเอไอเอส เพื่อเพิ่มศักยภาพของผลิตภัณฑ์, การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ , เทคโนโลยี IoT และระบบรักษาความปลอดภัย (Cyber Security) ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นหลังจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะเริ่มมีผลบังคับใช้เต็มฉบับในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 นอกจากนี้สิ่งที่สตาร์ทอัพจะได้รับยังเป็นเรื่องเงินทุนสนับสนุน การฝึกอบรมกลยุทธ์และเทคนิคการทำตลาด ให้คำปรึกษาด้านการเงิน และโอกาสการเข้าพบนักลงทุนต่างประเทศ และเข้าถึงเครือข่าย VC ชั้นนำทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีความสนใจลงทุนในธุรกิจ Digital อย่างไม่จำกัด
ดร.ศรีหทัย กล่าวว่า AIS The StartUp วางตำแหน่งเป็น Market Gateway หรือแพลตฟอร์มการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพและลูกค้าเอไอเอส ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ จนมาถึง SMEs ตรงนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสตาร์ทอัพในการขยายฐานลูกค้าเช่นกัน
“เมื่อสตาร์ทอัพเข้ามาใช้ Infrastructure ของเอไอเอสแล้ว ก็จะทำให้เรามีความเข้าใจในธุรกิจของเขาเพิ่มเติม พอที่จะเป็นช่องทางการขาย หรือช่องทางการตลาดให้กับสตาร์ทอัพได้เหมือนกัน ทั้งนี้ช่องทางการตลาดและช่องทางการขายมีหลากหลายรูปแบบ อันแรกคือ SAS Service หรือซอฟท์แวร์ที่สามารถซื้อทางออนไลน์ได้ โดยสตาร์ทอัพสามารถขยายฐานลูกค้าผ่านการเรียกเก็บเงินผ่านบิลค่าโทรศัพท์มือถือ ที่ผ่านมามีสตาร์ทอัพบางรายที่ทำพาร์ทเนอร์ชิพกับเราตรงนี้ แล้วทำให้รายได้ของเขา 20-25% มาจากช่องทางดังกล่าว ช่องทางที่สอง คือ การที่เรามีฐานลูกค้าองค์กรขนาดเล็กใหญ่ และ SMEs ที่มี Requirement แตกต่างกันไป พอเรารู้ความต้องการของเขา และรู้ศักยภาพของสตาร์ทอัพ ก็สามารถนำสองฝั่งนี้มาแมชชิ่งกันได้”
ในเวลาเดียวกัน หากสตาร์ทอัพรายไหนที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจภายในของเอไอเอสได้ ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการบริการให้ลูกค้า หรือมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ก็จะได้รับการทาบทามให้มาเป็นพันธมิตรกับเอไอเอส ด้วย Business Model ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อกลุ่มสตาร์ทอัพ
และเนื่องจากเอไอเอสเป็นโอเปอร์เรเตอร์เจ้าแรกๆ ที่เข้ามาสนับสนุนสตาร์ทอัพมานานมากกว่า 10 ปี จุดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดต่างที่ทำให้สตาร์ทอัพที่เข้ามาร่วมโครงการมีโอกาสในการเข้ามาอยู่ในสังคมสตาร์ทอัพที่มีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากรุ่นสู่รุ่น
“เมื่อสตาร์ทอัพเข้ามาอยู่ในโครงการ AIS The StartUp แล้วเราจะดูแลกันไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เข้ามาปีนี้แล้วปีหน้าก็หายกันไป แต่จะจูงมือแล้วโตกันไปในแต่ละสเตจ พอปีนี้สตาร์ทอัพรุ่นพี่เริ่มโต ปีหน้ามีสตาร์ทอัพน้องใหม่เข้ามา มันกลายเป็นคอมมิวนิตี้ และ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง เพราะไม่เพียงแต่เอไอเอสจะกรูมมิ่งน้องใหม่ แต่รุ่นพี่ที่เคยได้รับโอกาสจากเรา เขาก็กลับมาแบ่งปับประสบการณ์ หรือช่วยกรูมน้องใหม่อีกทางหนึ่งด้วย”
มากไปกว่านั้น อีกหนึ่งจุดต่างที่ไม่เหมือนใครก็คือ โอกาสการเข้าไปอยู่ในเครือข่าย Singtel Group ที่มีฐานลูกค้า 400 ล้านราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่ต้องการที่จะเติบโตในต่างประเทศ นี่จะเป็นอีกความได้เปรียบที่สตาร์ทอัพจะได้รับการพิจารณาเป็นเจ้าแรก
มาถึงตรงนี้แล้วหากสตาร์ทอัพรายไหนสนใจที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ AIS The StartUp สามารถส่งผลงานเข้ามาในเว็บไซต์ www.ais.co.th/thestartup หรือ facebook/aisthestartup เพื่อเข้าร่วม Monthly Online Pitching ได้ทุกเดือน และต้องบอกว่า AIS The StartUp ไม่เพียงแต่เปิดกว้างสตาร์ทอัพทุกสเตจเท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างสตาร์ทอัพทุกประเภทธุรกิจ และทุกประเภทเทคโนโลยีอีกด้วย
“สำหรับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนั้นจะขึ้นอยู่กับสเตจ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของสตาร์ทอัพที่จะเข้ามาในโครงการนี้ต้องถามตัวเองก่อนว่า วันนี้คุณมีความพร้อมของธุรกิจจริงไหม และมีความพร้อมด้านบุคลากรแค่ไหน เช่น เป็น FinTech หรือ HealthTech ก็ตามคุณมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญตรงนี้จริง นี่คือเกณฑ์การตัดสินอันดับแรกที่เรามอง ต่อมาเราจะมองความพร้อมของคน เพราะเราเชื่อว่าบางครั้งเทคโนโลยีเปลี่ยนธุรกิจเปลี่ยน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือคน มีสตาร์ทอัพหลายรายเหมือนกันที่เข้ามาอยู่กับเรา จนถึงวันนี้ทิศทางการเติบโตของเขาต่างไปจากเดิมมาก เพราะเขามี Mindset การปรับตัวและมองหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นตอนที่เขาเข้ามาในโครงการ เราจะไม่ได้มองว่าวันนี้เขาเป็นยังไง แต่สิ่งที่เราพยายามมองคือ อีก 3 ปีเขาจะเป็นยังไง ข้อสุดท้ายเราจะมองตลาดว่ามีความพร้อมแค่ไหนในช่วงเวลานี้และอีก 3 ปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม AIS The StartUp ถือเป็นอีกช่องทางการแจ้งเกิด เติบโต และขยายธุรกิจในระดับสากลให้กับสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศด้วยดิจิตัล
ยิ่งสถานการณ์ COVID-19 ลากยาวมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ SMEs หมดแรงมากเท่านั้น SMEs จำนวนไม่น้อยทยอยปิดตัว ส่วนที่เหลือ 70-80% ขาดสภาพคล่องประสบปัญหาด้านยอดขาย หรือเมื่อนำส่งสินค้าหรือบริการไปแล้วก็ยังต้องมาเจอกับเครดิตเทอม 45-60 วัน กว่าจะได้เงินมาหมุนยิ่งซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องเข้าไปอีก เมื่อ SMEs อ่อนแอจนไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าหรือบริการให้ได้ตามข้อตกลง ก็ย่อมส่งผลกระทบลูกโซ่ไปยังคู่ค้ารายใหญ่ที่ทำธุรกิจกับSMEs รายย่อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ผ่านมารัฐบาลจึงออกมาตรการอนุมัติสินเชื่อซอฟท์โลนหวังเป็นออกซิเจนที่จะหล่อเลี้ยง SMEs เพื่อป้องกันไม่ให้ SMEs ต้องหันมากู้เงินนอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงลิบลิ่ว แต่วันนี้ SMEs กำลังจะมีช่องทางเสริมของแหล่งเงินทุนอีกช่องทางหนึ่ง หลังจากที่ธนาคารไทยพาณิชย์ผนึกกำลังดิจิทัลเวนเจอร์สพัฒนาแพลตฟอร์ม PayZave มาตรฐานใหม่ในการชำระเงินระหว่างคู่ค้าให้รับ-จ่ายทันทีแบบไม่ต้องมีเครดิตเทอม อีกหนึ่งทางรอดที่จะช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่องมากขึ้น และไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบ
ทั้งนี้แพลตฟอร์ม PayZave ที่พัฒนาขึ้นโดยดิจิทัลเวนเจอร์ส จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้คู่ค้าระหว่างบายเออร์และซัพพลายเออร์ได้มาเจอกัน และดำเนินการรับ-จ่ายค่าสินค้าระหว่างกันทันทีโดยไม่ต้องรอเครดิตเทอม โดยทั้งสองฝ่ายจะทำข้อตกลงให้ส่วนลดการขายในลักษณะเปอร์เซ็นต์ส่วนลดตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย เพื่อแลกกับการได้รับชำระค่าสินค้าก่อนครบรอบบิล ในกรณีที่บายเออร์บางรายอยากเก็บเงินสดไว้มากกว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ก็ยังมีออพชั่นเพิ่มโดยให้การสนับสนุนทางการเงินกับบายเออร์ในการชำระเงินให้คู่ค้าได้เร็วขึ้นด้วยการปล่อยวงเงินโอดี ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ
เท่ากับว่า PayZave เป็นโมลเดล Win-Win เพราะทำให้บายเออร์ได้สินค้าที่มีต้นทุนถูกลง และลดภาระในการตอบคำถามเรื่องรอบชำระเงิน ในขณะที่ซัพพลายเออร์หรือผู้ขายก็ได้เงินค่าสินค้าทันทีโดยไม่ต้องไปหากู้จากแหล่งเงินทุนอื่น จึงเป็นการบริหารสภาพคล่องที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์อย่างลงตัว
ธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน GTS and Ecosystems ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงแพลตฟอร์ม PayZave ว่าเป็นการต่อยอดแนวคิด “รายใหญ่ช่วยรายเล็ก" ของธนาคาร โดยพลิกไอเดียจากระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังสู่ทางเลือกใหม่ “จ่ายก่อนเซฟกว่า” ด้วยข้อตกลงส่วนลดการขายเมื่อจ่ายเงินทันทีผู้ซื้อเซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ผู้ขายได้เงินเร็ว สามารถทำธุรกิจต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งสินเชื่อนอกระบบสร้างสมดุลสภาพคล่องแบบวินวินสำหรับทุกคู่ค้า
ในขณะที่อรพงศ์ เทียนเงิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิทัลเวนเจอร์ส จำกัด กล่าวเสริมว่าแพลตฟอร์ม PayZave เกิดจากความต้องการช่วยเหลือซัพพลายเชนในช่วง COVID-19 ด้วยโจทย์ว่าทำอย่างไรจึงจะลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับซัพพลายเออร์รายเล็กๆ แล้วคนที่รู้จักซัพพลายเออร์ที่ดีสุดคือบายเออร์ ในขณะที่ซัพพลายเออร์ก็อยากรักษาลูกค้า ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ที่คุ้มค่าเปลี่ยนแนวคิดจากระบบ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” เป็น “จ่ายก่อนเซฟกว่า” นำผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกันโดยตรงเพื่อสร้างข้อตกลงการชำระเงินโดยไม่ต้องมีข้อจำกัดทางด้านเครดิตเทอม 45-60 วัน
เมื่อไม่มีเครดิตเทอมจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งคนกลางหรือสถาบันทางการเงินจึงช่วยให้ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้ทั้งสองฝ่ายผู้ซื้อได้ส่วนลดของสินค้า ผู้ขายได้รับเงินทันทีประหยัดเวลาด้วยขั้นตอนที่รวดเร็วสะดวกทำรายการออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดปัญหาการติดตามเอกสารแบบเดิมๆ และทันสมัยด้วยระบบ Reconciliation (กระทบยอด) อัตโนมัติแบบเรียลไทม์
สำหรับขั้นตอนการสมัครแพลตฟอร์ม Payzave ในฝั่งของบายเออร์หรือผู้ซื้อ
ส่วนขั้นตอนการสมัครของซัพพลายเออร์หรือผู้ขาย จะเกิดขึ้นได้หลังจากผู้ซื้อส่งอีเมลเชิญใช้บริการ PayZave จากนั้น
1 . สมัคร
- กดที่ไอคอน Payzave เพื่อเปิดแอป
- กรอกเบอร์มือถือเพื่อเริ่มต้นการใช้งาน
- อ่านและยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการและนโยบายความเป็นส่วนตัว
- ใส่รหัส OTP ที่ได้รับใน SMS จาก Payzave
- กรอกชื่อและนามสกุลให้ถูกต้อง
- กดปุ่มลงทะเบียนเพื่อไปหน้าต่อไป
- ตั้งรหัส PIN 6 หลัก
- ใส่รหัส PIN 6 หลักอีกครั้ง ให้เหมือนครั้งแรก
- กดปุ่ม บันทึก เพื่อเริ่มต้นใช้งาน
- เลือกใบแจ้งหนี้ที่ต้องการขอรับเงินล่วงหน้า พร้อมให้ส่วนลดกับผู้ซื้อ
- รับเงินล่วงหน้าผ่านบัญชีที่ได้ลงทะเบียนไว้
นอกจาก PayZave ถูกออกแบบมาให้มีจุดเด่นในเรื่องใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็วแล้ว ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างให้บริการสำหรับคู่ค้าซัพพลายเชนทุกรายในประเทศไทยเข้าใช้งานได้แม้ไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อธนาคารไทยพาณิชย์ เพียงแค่มีบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมามีคู่ค้าในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจค้าปลีกเข้ามาใช้บริการแล้วจำนวนมาก และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระในช่วงวิกฤต COVID-19 ทางธนาคารเปิดให้ใช้บริการฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
และนี่จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ซัพพลายเออร์มีสภาพคล่องสามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ เมื่อซัพพลายเออร์แข็งแรง ก็จะเป็นรากฐานสำคัญให้ระบบซัพพลายเชนแข็งแกร่งทั้งระบบ