“ธุรกิจเครื่องสำอาง” เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากจะสร้างแบรนด์ และทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เกิดขึ้นภายใต้ชื่อแบรนด์ของตัวเองสักครั้ง แต่ในกระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางขึ้นมาสักหนึ่งตัวเพื่อนำมาวางจำหน่าย ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ด้วยเพราะมีขั้นตอนที่มากมาย และเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสูตร การจัดหาวัตถุดิบ ขั้นตอนการผลิต การหาบรรจุภัณฑ์ ไปจนเรื่องของการจดแจ้งเลขทะเบียน และการขอเลขทะเบียนอย.
ยังไม่นับรวมเรื่องของการวางแผนการตลาด และการสร้างช่องทางการขาย ที่วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า การตลาดออนไลน์ คือ คำตอบที่น่าสนใจของธุรกิจในยุคนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีหากเราสามารถสร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเองได้ไม่ยากจากธุรกิจที่ให้บริการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางแบบครบวงจร อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยที่จะทำให้ขั้นตอนต่างๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้น พร้อมวางแผนงานในด้านอื่นๆ ให้แบบเบ็ดเสร็จ ภายใต้งบประมาณที่ไม่เกินเอื้อม
บริษัท ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ จำกัด เป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2019 โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาต่างๆ ของผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการมีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตนเอง ด้วยรูปแบบบริการแบบรับจ้างผลิต (OEM) พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางให้กับผู้ที่สนใจ โดยสร้างจุดขายด้วยนวัตกรรมสารสกัด และการพัฒนาสินค้าจากสมุนไพรภายใต้คอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมาตรฐานสากล โดยการส่งเสริมการพัฒนาสินค้านวัตกรรมบนพื้นฐานของงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
ดร.จุรัญญา อ่อนล้อม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ จำกัด กล่าวว่า ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ เกิดจากการรวมตัวกันของผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเครื่องสำอาง โดยส่วนตัวศึกษามาทางด้านงานวิจัยนวัตกรรม การวิจัยในเชิงลึกทางด้านสมุนไพร และเครื่องสำอาง จึงมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจจากการรวมความเชี่ยวชาญของแต่คนมาไว้ด้วยกัน และเป็นจังหวะที่คนรุ่นใหม่เริ่มสนใจกับการทำธุรกิจเครื่องสำอางด้วยการสร้างแบรนด์ และเน้นการทำตลาดบนออนไลน์กันมากขึ้น
“ทางบริษัทจึงนำเสนอนวัตกรรมที่เป็น OEM Solution สำหรับการพัฒนาสินค้า และการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางแบบครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ในช่วงแรกจะเป็นคนที่อยากมีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตนเอง แต่อยากเริ่มต้นด้วยงบน้อยๆ ไม่ต้องลงทุนมาก ซึ่งการเข้าหาบริษัทใหญ่ๆ ต้องมีการผลิตจำนวนมากๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง จึงเป็นช่องทางให้เรามาจับกลุ่มลูกค้าที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่มีงบประมาณไม่มาก แต่สามารถได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ผลิตจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเครื่องสำอางโดยตรง”
จุดเด่นที่ทำให้ ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ มีความแตกต่างจากโรงงานผลิต OEM ทั่วไป คือ การเป็น เป็น One Stop Service ของ OEM Cosmetics ที่การมุ่งเน้นความเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผนวกกับบริการให้คำปรึกษาในเรื่องการสร้างแบรนด์ และการดูแลด้านการตลาดที่ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการมาใช้บริการ ภายใต้มาตรฐานการส่งออก มีการควบคุมคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย รวมถึงการบริการจดทะเบียนเครื่องสำอางอย่างถูกต้อง มีการออกแบบ จัดหาบรรจุภัณฑ์ พร้อมให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ และออฟไลน์
“สิ่งสำคัญ คือ ลูกค้าสามารถผลิตสินค้าด้วยจำนวนขั้นต่ำที่ค่อนข้างน้อยกว่าที่อื่นๆ ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก ด้วยรูปแบบการให้บริการแบบ One Stop Service และการเป็นบริษัทที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ทำให้ขั้นตอนในการให้บริการลูกค้ามีความรวดเร็วเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีขั้นตอนการทำงานที่มากกว่า”
สำหรับการคิดค่าบริการของ ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ จะมี 2 รูปแบบ คือ
1)การผลิตแบบแพ็คเกจโปรโมชั่น ด้วยสูตรมาตรฐานของทางโรงงาน เช่น การผลิตสบู่ 500 ก้อน ราคา 9,900 บาท ในแพ็คเกจจะกำหนดจำนวนสารสกัดที่สามารถเพิ่มได้ สามารถเปลี่ยนสี และกลิ่นได้ตามความชอบ พร้อมการยื่นจดแจ้งการขึ้นทะเบียน ลูกค้าสามารถเลือกผลิตสินค้าชนิดอื่นๆ ได้ เช่น เซรั่ม ลิปสติก แชมพูและครีมนวดผม เป็นต้น
ตัวอย่าง การทำโปรโมชั่นที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย เช่น การสั่งผลิตสบู่ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 100 ชิ้น หรือการผลิตลิปสติกอย่าง ลิปปาล์ม หรือลิปแม็ชท์ เริ่มต้นที่ 500 ชิ้น คละสีได้ 10 สี เป็นต้น
2)การพัฒนาสูตรตามความต้องการของลูกค้า จะมีการคิดค่าบริการเป็นแต่ละขั้นตอน เช่น การพัฒนาสินค้าใหม่ การยื่นจดแจ้งเครื่องสำอาง การผลิตขั้นต่ำ เป็นต้น โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการว่าจะใช้บริการเฉพาะขั้นตอนไหนบ้าง
“ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการจดแจ้งเลขทะเบียนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 แบรนด์ รวมสินค้ากว่า 100 รายการ ซึ่งลูกค้าหลักส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของแบรนด์ หรือแม่แบรนด์ที่เน้นการทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก มีทั้งที่อยู่ในจังหวัดพิษณุโลก และจากกรุงเทพฯ ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีความเชี่ยวชาญในด้านการขายเป็นหลัก แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงมาขอคำปรึกษาจากทางแล็บ เราก็จะช่วยในการแนะนำเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และแม้ว่าแล็บของเราจะอยู่พิษณุโลกแต่ลูกค้าอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่อุปสรรคในเรื่องการติดต่อคุยงาน เพราะปัจจุบันสามารถคุยงานผ่านระบบออนไลน์ หรือวิดีโอคอลได้ ส่วนการส่งตัวอย่างสินค้าก็สามารถส่งผ่านบริษัทขนส่งที่มีในปัจจุบันได้ง่ายๆ”
ดร.จุรัญญา ยังกล่าวเสริมถึงเทรนด์เครื่องสำอางที่กำลังได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SME ที่ก่อนหน้านี้จะเน้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเมคอัพ เช่น ลิปสติก และบลัชออน ที่ติดทนนาน แต่ปัจจุบันจะให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอโรม่าที่ช่วยผ่อนคลาย และทำให้หลับสบาย รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคเพื่อสุขอนามัยมากขึ้น รวมถึงเรื่องของสารสกัดสมุนไพรต่างๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสารสกัดจากสมุนไพรไทย จากเดิมที่จะเน้นแต่สารสกัดจากต่างประเทศ
ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจาก ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ อาทิ ผลิตภัณฑ์เจลแต้มสิวจากสารสกัดเปลือกมังคุดเข้มข้น ครีมขัดผิวผสมสารสกัดจากดอกตะบองเพชร และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากกัญชง (Hemp) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจเลือกโรงงานเพื่อผลิตสินค้า และสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง มีหลักในการพิจารณาง่ายๆ ดังนี้ คือ
1.โรงงานต้องจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายได้มาตรฐาน และได้รับอนุญาตให้เป็นสถานที่ผลิตเครื่องสำอางจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข โดยจดทะเบียนนิติบุคคลรูปแบบบริษัทจำกัด เพื่อการชำระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2. มีสถานที่ตั้งโรงงาน หรือสำนักงานที่ชัดเจน มีตัวตนอยู่จริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
3. มีบริการแบบครบวงจร One Stop Service เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการผลิต การวิจัย และการสร้างแบรนด์ได้อย่างมืออาชีพ
โดย บริษัท ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ จำกัด มีสำนักงาน และสถานที่ตั้งของห้องปฏิบัติการวิจัย อยู่ภายในอาคารมหาธรรมราชา มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตัวโรงงานตั้งอยู่ในอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีทีมงานที่พร้อมให้บริการในทุกขั้นตอน หากลูกค้าต้องการคำปรึกษา หรือต้องการต่อยอดเพื่อการวิจัยเฉพาะด้าน ทางบริษัทก็มีบริการวางแผนโครงการร่วมขอทุนกับภาครัฐจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความน่าเชื่อถือให้แก่ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการวางแผนตลาด การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้สามารถทำตลาดได้จริง
ดร.จุรัญญา ให้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่สนใจอยากสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง ควรมีการศึกษากลุ่มลูกค้าของตัวเองว่า มีความต้องการสินค้าที่จะผลิตและนำไปจำหน่ายจริงๆ หรือไม่ รวมถึงศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สามารถต่อยอดทางด้านความคิดต่อไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในส่วนของงบการลงทุนในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หากมีเงินทุน 10,000 บาท ก็สามารถผลิตสินค้าได้แล้ว แต่ในเรื่องของค่าทำตลาดเบื้องต้นอาจต้องมีทุนสำรองอีกประมาณ 10,000 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบ และวิธีการทำตลาด ซึ่งโอกาสทางการตลาดของเครื่องสำอางไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพ ความปลอดภัย และเพิ่มในเรื่องของนวัตกรรมให้มากขึ้นกว่าเดิม
“เราจะช่วยคิด และวางคอนเซ็ปต์ให้กับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นที่เข้ามาบอกว่าอยากทำแบรนด์ โดยดูเทรนด์ในช่วงนั้นเพื่อคิดคอนเซ็ปต์ออกมาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของลูกค้า มีการทำเซอร์เวย์เพื่อปรู๊ฟคอนเซ็ปต์ที่คิดไว้ว่าจะไปได้ดีในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือไม่ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการวิจัยและพัฒนาสูตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ ไปจนถึงการจัดหาตัวบรรจุภัณฑ์ให้กับลูกค้า เราสามารถยื่นจดแจ้งเครื่องสำอางให้ได้หากลูกค้าต้องการ และยังมีการแนะนำการตลาดเบื้องต้นให้กับลูกค้าที่ยังไม่มีความรู้ด้านการตลาด เป็นการคิดด้วยกัน และทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาแบบตัวเปล่าได้เลยถ้าอยากสร้างแบรนด์” ดร.จุรัญญา กล่าว
ปัจจุบัน ทางบริษัทเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook Page และเว็บไซต์ www.darinlab.com และสำหรับแผนงานในปีนี้ ทางบริษัทจะเน้นการสร้างมาตรฐาน GMP และ ISO เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร และแบรนด์ พร้อมวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 3 เท่าตัว
แม้ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรง แต่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ล่าสุด IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 6% โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ยุโรป และจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันกว่า 50% ของจีดีพีโลก ดังนั้น ในปีนี้ พระเอกที่เศรษฐกิจไทยจะหวังพึ่งได้ ก็คือ “การส่งออก”
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และความหวังของไทยจากการส่งออก โดย EXIM BANK พร้อมที่จะสนับสนุน “พระเอก” ไปให้สุดทาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
หากดูตัวเลขการส่งออกของไทยล่าสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า ขยายตัวได้ถึง 15.5% โดยเฉพาะ 2 เดือนล่าสุดคือเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ที่การส่งออกไทยขยายตัวได้กว่า 40% สูงสุดในรอบ 11 ปีที่สำคัญคือหากไปดูตลาดส่งออกของไทย 50 อันดับแรกพบว่า ขยายตัวถึง 47 ตลาด และแต่ละตลาดก็ขยายตัวเป็นตัวเลขสองหลัก (Double Digits) แทบทั้งสิ้น
“โดยเฉพาะตลาดที่ฉีควัคซีนได้ไว อย่างสหรัฐฯ ยุโรปและจีน (คิดเป็นสัดส่วน 40% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย) ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 50% ของประชากร กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเค้ากลับมาฟื้นตัวได้เร็ว และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Pent-up Demand หรืออุปสงค์ที่อั้นมาจากในช่วงที่ Lockdown ทั้งการจับจ่ายใช้สอย ความต้องการท่องเที่ยว รับประทานอาหารนอกบ้าน กิจกรรมสันทนาการต่างๆ ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ความต้องการสินค้าทั้งอุปโภคบริโภค อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลไม้ อาหารสัตว์เลี้ยง รถยนต์และจักรยานยนต์ ตลอดจนสินค้าเพื่อการผลิต อาทิ เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง) ที่กลับมาฟื้นตัวได้โดดเด่น” ดร.รักษ์ระบุ
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยยังได้ ลมใต้ปีกอีกแรงหนึ่ง นั่นคือเงินบาทที่อ่อนค่าลงราว 10% นับจากต้นปี ที่จะช่วยให้ผู้ส่งออก Pricing ได้เปรียบคู่แข่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้รายรับเมื่อแลกกลับมาในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ไม่ได้เกิดมาหลายปีแล้ว ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ EXIMBANK คาดว่าการส่งออกไทยทั้งปี 2564 จะขยายตัวได้ 2-digits หรือมากกว่า 10% ขึ้นไป จากที่หดตัวถึง 5.9% ในปี 2563
โอกาสของ SMEs ไทย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การส่งออกของ SMEs ไทยในปี 2564 เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากหลายปัจจัยดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ส่งผลให้ล่าสุดการส่งออกของ SMEs ในช่วง
5 เดือนแรกปี 2564 ขยายตัวถึง 23.5% ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปี 2564 การส่งออกของ SMEs ยังมีโอกาสเปิดกว้างในหลายตลาด และหลายสินค้า ได้แก่ ตลาดที่ COVID-19 ยังระบาด อาทิ หลายประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
ด้านตลาดที่ COVID-19 คลี่คลายในระดับหนึ่งอาทิสหรัฐฯ และจีนเมื่อประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ จะทำให้สินค้า-บริการหลายอย่างที่ความต้องการเคยลดลงในช่วงก่อนหน้ากลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้ง
สินค้า Lifestyleจำพวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และเครื่องประดับที่ราคาไม่สูงเนื่องจากผู้คนเริ่มออกไปทำงานอีกครั้ง และยังมีความไม่มั่นใจว่าโรคระบาดจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่ จึงยังไม่ต้องการใช้สินค้าที่มีราคาแพงจนเกินไป
สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการทำกิจกรรมนอกบ้านเช่น การรับประทานอาหารนอกบ้าน การไปออกกำลังกายหรือชมกีฬา ทำให้มีความต้องการอาหารในลักษณะที่เป็นวัตถุดิบของร้านอาหาร/ภัตตาคาร จำพวกอาหารแช่แข็งและแปรรูป อาทิ ไก่แช่แข็ง สับปะรดกระป๋อง และน้ำผลไม้ รวมทั้งคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อเสื้อกีฬาเพิ่ม (ไทยเป็นฐานการผลิตเสื้อกีฬารายสำคัญของโลก)
สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทาง-ท่องเที่ยวโดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มจากออกเดินทางในประเทศก่อน ทำให้มีความต้องการ เครื่องใช้ในการเดินทาง อาทิ กระเป๋าเดินทาง เพิ่มขึ้น ขณะที่โรงแรมต่างๆ จะมีแนวโน้มสั่งซื้อของใช้ในโรงแรมเพิ่มขึ้น อาทิ สบู่ แชมพู และปลอกหมอน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว
ยานยนต์และชิ้นส่วนอาทิ ยางล้อ เบาะนั่ง และอุปกรณ์ตกแต่ง เนื่องจากได้รับผลดีจากกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น และความต้องการซื้อที่เลื่อนมาจากปีก่อนหน้า รวมทั้งมีหลายประเทศที่ประชาชนต้องการซื้อรถยนต์ส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รถสาธารณะ
“หากผู้ประกอบการ SMEs ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดและผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนดก็มีโอกาสส่งออกได้ไม่ต่างจากผู้เล่นรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน” ดร.รักษ์กล่าว
EXIM BANK พร้อมหนุนผู้ประกอบการ
ปัจจุบัน EXIM BANK มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 สองส่วนสำคัญ พักหนี้และเติมทุน สำหรับมาตรการพักหนี้ ประกอบด้วยสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ หรือ Asset Warehousingเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีทรัพย์สินที่สามารถตีโอนชำระหนี้ได้ ด้วยการพักทรัพย์ พักหนี้ 3-5 ปี โดยผู้ประกอบการไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินชั่วคราว และมีโอกาสกลับมาทำธุรกิจในอนาคต และไม่ถูกกดราคาทรัพย์สิน
สำหรับมาตรการเติมทุนของ EXIM BANK ร่วมกับภาครัฐอื่นๆ ในการเติมทุนให้กับผู้ประกอบการ ได้แก่
1) สินเชื่อเอ็กซิมส่งเสริมการจ้างงานระยะ 2 (ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน) เป็นโครงการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยโครงการนี้จะช่วยเติมทุนให้ผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่อง และรักษาการจ้างงานไว้ได้
2) สินเชื่อ EXIM Biz Transformation Loan (อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายโครงการจากกระทรวงการคลัง)EXIM BANK มีนโยบายสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนเครื่องจักร หรือโรงงานเพื่อปรับตัวกับ New Normal และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศโดย EXIM BANK อนุมัติไปทั้งสิ้นเต็มวงเงินมากกว่า 5,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุดถึง 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรกเพียง 2% ต่อปี
3) สินเชื่อ Global อุ่นใจ เป็นวงเงินสินเชื่อระยะยาว เพื่อใช้สำหรับหมุนเวียนในกิจการ สำหรับผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมการค้าทั่วไป ตลอดจนเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมการค้าไปกลุ่มประเทศ CLMV และสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินงานในต่างประเทศ วงเงินต่อรายสูงสุดถึง 100 ล้านบาท
4) สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อผู้ส่งออกป้ายแดง(Brand New Export Financing) เป็นมาตรการตามพันธกิจของธนาคาร ที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการกลุ่ม Start Up ให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเริ่มต้นส่งออกได้ โดยมีหลักประกันเพียง บสย. หรือบุคคลค้ำประกันเท่านั้นวงเงินกู้สูงสุด1.5 ล้านบาท
“นอกจากนี้ เพื่อเน้นย้ำบทบาทของธนาคารเพื่อการพัฒนา EXIM BANKมุ่งเน้นการเป็นพี่เลี้ยงให้คนตัวเล็กมีพื้นที่ในเวทีการค้าโลก โดยตั้งเป้าจะสร้างผู้ส่งออก SMEs รายใหม่ๆ ด้วย One Stop Trading Facilitator for SMEs หรือศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศผ่านกลยุทธ์ 2 เติมเติมองค์ความรู้พัฒนาศักยภาพ SMEs ภายใต้หลักการ “บ่มเพาะ ต่อยอด และสร้างโอกาส”และ เติมทุน สนับสนุนทางการเงินตลอดวงจรธุรกิจและบริการป้องกันความเสี่ยงครบวงจร” ดร.รักษ์กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อ EXIM BANK ได้ 6 ช่องทาง ดังนี้
ร้านบิ๊กเต้เป็นร้านโชห่วยเล็กๆ ตั้งอยู่ในแหล่งหอพักของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ความน่าสนใจของร้านบิ๊กเต้ไม่ได้อยู่ที่การตกแต่งหน้าร้าน หรือการเลือกสินค้ามาวางจำหน่ายในร้าน หากแต่อยู่ที่วิธีการสื่อสารเพื่ออธิบายคุณสมบัติหรือวิธีการใช้งานของสินค้าให้กับลูกค้าในร้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนเมื่อสื่อโซเชียลมีเดียได้รับความนิยม ร้านบิ๊กเต้ก็มีแฟนคลับทั้งจาก Facebook, Instagram และ Twitter ร่วมแสนคนจากทั่วประเทศ แม้ว่าหลายคนจะยังไม่มีโอกาสมาซื้อสินค้า
ถึงวันนี้ เต้-ศตวัสส์ ฝ่ายรีย์ เจ้าของร้านบิ๊กเต้ มองว่าร้านบิ๊กเต้สามารถเป็นมากกว่าร้านโชห่วยทั่วไป คือเป็นทั้งมีเดียในการโฆษณาสินค้า หรือแม้กระทั่งเป็นร้านค้าชุมชน เป็นพื้นที่สร้างงานและรายได้ให้กับคนที่เดือดร้อนจาก COVID-19
SME One : จุดเริ่มต้นของร้านบิ๊กเต้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ศตวัสส์ : จุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากแม่ยายแนะนำว่าเจอร้านโชห่วยที่กำลังจะเซ้งธุรกิจอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้ ๆ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พอได้มาดูทำเลก็สนใจ เพราะอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแล้วก็มีหอพักหลายอาคาร ร้านโชห่วยนี้อยู่ในหอพักก็คิดว่าน่าจะพอจะทำธุรกิจได้ นี่คือจุดเริ่มต้นเลยจริงๆ
ก่อนหน้าที่จะมาเซ้งร้านก็เป็นพนักงานกินเงินเดือน และใช้เวลาว่างหลังเลิกงานทำร้านอาหารเล็ก ๆ เป็น Kiosk ก่อนจะออกมาขายอาหารเต็มตัว จนได้มาทำร้านขายของก็เลยต้องหยุดทำร้านอาหารไป เพราะว่าอยู่ค่อนข้างไกลกันต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบแล้วร้านอาหารที่ทำเป็นร้านแบบ Kiosk มองแล้วว่าไม่สามารถเติบโตได้ แต่ร้านโชห่วย
คิดว่าเป็นธุรกิจที่โตกว่าเดิม ก็ถือว่าเป็นการขยับขยาย
SME One : วันที่เซ้งร้านมองเห็นโอกาสจากธุรกิจอย่างไร เพราะตลาดร้านสะดวกซื้อมีการแข่งขันรุนแรง
ศตวัสส์ : เนื่องจากวันที่เข้ามาในธุรกิจนี้ เข้ามาแบบที่ไม่มีความรู้ใด ๆ เลย เข้ามาแบบความรู้เป็นศูนย์ ตอนนั้นมองว่าขายของไม่น่าจะยาก คิดแบบนี้จริง ๆ ว่าแค่ซื้อมาแล้วก็ขายไป อันนั้นคือการมองในแว็บแรก แต่ก็ปรากฏว่าตอนต่อมาสิ่งที่มองมันผิด ร้านโชห่วยไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป
พอได้ลงมือทำจริงๆ ช่วงแรกดราม่ามาก เพราะเราไม่มีประสบการณ์การขายเลย มันไม่ใช่ว่าของซื้ออะไรมาแล้วจะขายได้ ทำให้ในช่วงแรกต้องเรียกว่าขาดทุนอยู่หลายเดือนจนจะไม่ไหวแล้ว ก็เลยมานั่งคิดกันว่าเราพอจะปรับปรุงอะไรได้บ้าง ปรับปรุงในที่นี้ คือปรับปรุงร้าน ปรับปรุงการทำงาน ปรับปรุงแนวคิด ก็เริ่มอันดับแรก ยังจำได้ดีเลย วันนั้นเริ่มจากเสิร์ชหาคำว่าโชห่วยในอินเทอร์เน็ต ที่เจอข้อมูลเยอะ ๆ ก็คือ Pantip.com ในเว็บบอร์ดจะมีคนพูดถึงร้านโชห่วยมากมาย เราก็เอามารวบรวมดูว่าคนพูดถึงโชห่วยในมุมไหนบ้าง มันก็แบ่งออกได้เป็น 2 หมวด ก็คือที่แบบที่ดี ที่รู้สึกประทับใจ กับที่ไม่ดี
แล้วเราก็มาดูว่าส่วนที่คนบ่นที่บอกว่าไม่ดีร้านเรามีแบบนี้บ้างไหม หรือว่าถ้าไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดี เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่คนไม่ชอบได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ลูกค้าจะไม่พอใจถ้าไม่มีเงินทอน เงินทอนไม่พอ การได้มาศึกษาหาข้อมูลอย่างเป็นระบบมันช่วยได้ค่อนข้างเยอะทีเดียว ผลจากการศึกษาในครั้งนั้นทำให้เรารู้ว่าร้านมีจุดไหนบ้างที่ต้องปรับปรุง มีจุดไหนบ้างที่เราควรจะเอาอย่าง คือบางคนเขาก็จะมาแชร์ว่าร้านโชห่วยที่เขาประทับใจ เขาประทับใจตรงไหน แล้วเราก็ทำตาม อันนี้คือจุดที่เรียกว่าเป็นจุดพลิกของธุรกิจ จากที่เมื่อสักครู่นี้บอกว่าขาดทุนติด ๆ กันหลายเดือนจนเกือบจะเจ๊ง ก็พลิกกลับมามีกำไรได้
เราเคยทำอะไรแบบเรียกว่าพลาดแบบคนที่ไม่มีประสบการณ์ เช่น เคยมีเซลส์เข้ามาติดต่อวางขายแชมพูยี่ห้อหนึ่ง เป็นแชมพูที่คนรู้จัก เขามาบอกว่ามีแชมพูสูตรใหม่ออกมา แล้วก็ปกติแล้วแชมพูสูตรใหม่ก็จะมี Promotion เพื่อดึงดูดให้ร้านค้า ซื้อ เราก็สั่งเข้ามาตามโปรไม่ได้คิดอะไร ปรากฏว่าแชมพูตัวนั้นสั่งมาแค่ 12 ขวด 1 ปีขายไปได้แค่ขวดเดียว ทั้ง ๆ ที่เป็นยี่ห้อที่ Mass ยี่ห้อแบรนด์ดัง แต่ที่ขายไม่ออกก็เพราะลูกค้าเราเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นนักศึกษา แต่แชมพูนี้เป็นสูตรผมดำ
อันนี้ก็เป็นบทเรียนว่ามันไม่ใช่ว่าอะไรก็ขายได้ เราจะต้องรู้ว่าลูกค้าเราคือใคร แล้วก็ลูกค้าเราเขาต้องการอะไร นี่คือเบสิกเบื้องต้น พอเราเริ่มเรียนรู้จากจุดผิดพลาดทั้งของตัวเองแล้วก็ของคนอื่น เราก็ค่อย ๆ ปรับ ก็ค่อย ๆ พลิกมาจนเริ่มมีกำไร แล้วก็พออยู่ได้
SME One : ปัจจุบันร้านบิ๊กเต้มีอยู่ทั้งหมดกี่สาขา
ศตวัสส์ : มี 2 สาขา ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ใกล้กันแต่กลุ่มลูกค้าก็ยังแตกต่างกัน เนื่องจาก 2 หอพักนี้ก็มี Target Group ที่ต่างกัน หอนึงจะเป็นหอแบบทั่วไป ส่วนอีกหอนึงคนที่อยู่จะค่อนข้างจะมีฐานะ เพราะค่าหอแพงคนที่อยู่ได้ก็ค่อนข้างจะมีฐานะ เพราะฉะนั้นของบางอย่างขายที่สาขานึงได้ อีกสาขานึงอาจจะขายไม่ได้ ในขณะที่บางอย่างสาขานึงขายได้ อีกสาขานึงขายไม่ได้ อย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่มหัศจรรย์ใจมาก คือเราซื้อน้ำแร่ขวดละร้อยกว่าบาทมาตั้งโชว์ในร้านเพราะขวดสวย ไม่ได้คิดจะขาย เพราะไม่คิดว่าจะมีคนซื้อ แต่เอาจริงๆ มีลูกค้าหลายคนถามว่าขายไหมเพราะอยากได้ อันนี้ก็เป็นความแตกต่างของในกลุ่มลูกค้าที่เราบอกว่าเป็นนักศึกษาเหมือนกันแต่ก็ยังมีความแตกต่างกัน
SME One : มาถึงไฮไลท์ที่ทำให้คนรู้จักเราเพิ่มขึ้น เราชอบใช้แก๊กโปรโมทสินค้าที่อินกับกระแส ตรงนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ศตวัสส์ : เกิดจากการที่เราต้องการสื่อสารกับลูกค้า Concept ไม่มีอะไรเลย คือชอบมีคนมาถามคำถามเดิมบ่อย ๆ แล้วร้านเรามี 2 สาขา เพราะฉะนั้นก็จะมีพนักงานประจำอยู่ที่ร้าน ซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ที่หน้าร้านอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางทีลูกค้ามีข้อสงสัย แต่พนักงานก็อาจจะตอบได้ไม่ลึกซึ้งมากพอ ดังนั้นก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเขียนป้ายบอกไว้ อีกจุดนึงที่เป็นความแตกต่างของลูกค้าเรากับที่อื่น คือว่าลูกค้าเราส่วนใหญ่ที่เป็นนักศึกษาที่ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งถ้าเขาอยู่บ้าน เขาก็จะถามแม่ แต่พอมาอยู่หอไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ เขาก็จะถามคนที่พอจะถามได้ ซึ่งก็คือเรา
เราเริ่มต้นจากการตอบคำถามที่เรียกว่า FAQ (คำถามที่พบบ่อย) เขียนป้ายแบบ FAQ ป้ายแรกที่เขียนคือ ป้ายวิธีใช้ผงสลายท่อตัน อันนี้เป็นป้ายแรกที่เกิดขึ้นในร้านซึ่งเป็นแบบวิธีใช้ธรรมดา เราบอกแค่ว่าเทลงไปแล้วก็เอาน้ำราด แต่พอเวลาผ่านไป เราก็มีพยายามแทรกมุขตลกอะไรไปเรื่อย จุดประสงค์ไม่มีอะไร ก็เพื่อให้ของมันดูน่าสนใจและขายได้
ตรงนี้ช่วยแก้ปัญหาการระบายสินค้าที่ซื้อมาแล้วขายช้าได้ด้วย เพราะสินค้าบางอย่างมันไม่ได้ขายได้ด้วยตัวมันเอง เราก็เลยจำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่างให้ของมันอยู่ในสายตาของลูกค้า สิ่งที่ตอบโจทย์ตรงนี้ก็คือป้าย ซึ่งมันเหมือนกับมีพนักงานคอยมาเชียร์สินค้าตามห้าง ที่มาคอยเชียร์ว่าสินค้าตัวนี้มันดี มันจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าน่าลอง ลองสักหน่อยก็ดี นี่คือฟังก์ชั่นของป้ายที่สื่อสารในลำดับถัดมา
SME One : มีวิธีรักษาระดับการสื่อสารไว้ในระดับไหนถึงจะพอดี ไม่ดูแรงเกินไป
ศตวัสส์ : เรามี Concept มีแนวของเราอยู่ คือในอินเทอร์เน็ตมันจะมีเรื่องดราม่ามาเรื่อย ๆ จากประสบการณ์เราเคยเขียนแซวที่เกี่ยวกับบุคคล เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทีนี้คือพอเราเขียนแซวไป ตอนแซว Feedback ก็ไม่เลว แต่สิ่งที่ทำให้เราเสียใจก็คือ เวลาต่อมา 2 คนนี้เลิกกัน อันนี้ก็เป็นบทเรียนให้รู้ว่าเราจะไม่เขียนแซวเกี่ยวกับลักษณะความสัมพันธ์ของคน 2 คน เพราะว่าเขียนไปแล้ว ป้ายหรือว่าโพสต์มันจะอยู่ในอินเทอร์เน็ต แล้วถ้าวันหนึ่งคู่นี้เขากลับมาเห็นข้อความมันอาจจะทำให้เขาสะเทือนใจ อันนี้เรียกว่าเรามีบทเรียน แล้วเราก็ตั้งเกณฑ์ไว้ว่าเราจะไม่ทำแบบนี้ จะไม่เขียนป้ายในลักษณะนี้อีก
เราจะมีเป้าหมายของการเขียน Content คือต้องยอมรับว่าการที่เขียน Content ที่อิงกับกระแสมันได้ Engagement ที่ดี คนสนใจ แต่ว่าสิ่งที่เราพยายามจะทำให้มันเหนือไปกว่านั้น ก็คือพยายามที่จะให้ Content นั้น มีคนมาอ่านในเวลาต่อมาแล้วคนก็ยังรู้สึกว่ายังเข้าใจ หรืออินอยู่ อันนี้ก็เป็น Guideline ที่วางไว้ให้ตัวเอง เช่น เราเคยเขียนโพสต์ขายยางลบว่า “เขียนด้วยมือ อย่าลบด้วยเท้า พี่เต้มียางลบจำหน่าย” ซึ่ง Content นี้ ณ วันนั้นก็เขียนเพื่อจะแซวคน คนหนึ่ง แต่ว่าถ้ามาอ่านในปัจจุบันคนที่เห็นก็เชื่อว่าก็ยังจะเก็ทมุขนี้ แต่อาจจะไม่ได้เก็ทในบริบท ณ วันนั้นที่เป็น Viral หรือเป็นกระแสอยู่
เราอยากให้ Content มันแบบขำไม่ใช่เฉพาะเวลานั้น แต่ว่าจะต้องอยู่ได้ยาว อยากจะให้มีชีวิตที่ยาวกว่าเป็นไวรัลสั้น ๆ นี่คือแนวทางในการคิด Content
SME One : ช่วง COVID-19 นักศึกษาก็เรียนออนไลน์ บางคนก็กลับไปอยู่บ้าน ร้านกระทบกระเทือนแค่ไหน
ศตวัสส์ : กระทบมากเลย COVID-19 เฟสแรกเรากระทบทันทีที่มหาวิทยาลัยประกาศให้เรียนออนไลน์ ยอดขายเราลดลงเหลือประมาณ 25% ประกอบกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสิ่งที่เราไม่รู้จักมาก่อน ชีวิตนี้เราไม่เคยเจอโรคระบาด ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตสภาพมันจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราก็มานั่งวางแผนว่าจะทำอย่างไรดี เรามองไปถึง Worst Case คือ กรณี Failed State กรณีที่รัฐล้มเหลว เราจะทำอย่างไร ซึ่งมันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ทีนี้เราก็จะแบ่งการแก้ปัญหาออกเป็นขั้นๆ ไป ว่าถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วเราต้องทำแบบนี้ ในช่วงแรกสิ่งที่เราทำทันที คือลดค่าใช้จ่าย ตอนแรกเรามองว่าอาจจะต้องไปนั่งเฝ้าร้านเองแทนพนักงาน แต่ก็มีเหตุที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนใจ เพราะว่าทันทีที่มีการล็อกดาวน์ ปรากฏว่ามีน้อง ๆ จำนวนมากเลยที่ติดต่อเข้ามาถามว่ามีงานให้ทำหรือไม่ คือหลายคนน่าเห็นใจมาก มีคนหนึ่งที่เราจำได้ดีเลย คือเขาเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อเขาเป็นไกด์ แล้วก็คุณพ่อก็เป็นคนที่ทำงานหาเงินคนเดียวในบ้าน คุณพ่อตอนนั้นไม่มีงานทำแล้ว เขาก็เลยอยากจะทำงานเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้าน อันนี้เป็นตัวอย่างแค่คนเดียว ยังมีเคสอื่น ๆ มากมายที่ทำให้เราคิดว่าการลดค่าใช้จ่ายในการจ้างคน เราคงทำไม่ได้ เพราะว่าน้อง ๆ พนักงานก็ต้องการเงินเหมือนกัน เราก็เลยไปลดค่าใช้จ่ายทางอื่น ก็คือปิดแอร์ในร้าน ซึ่งตรงนี้เราก็เขียนคำอธิบาย เขียนป้ายเอาไว้เพื่อบอกลูกค้าตรง ๆ ว่า ช่วงนี้ยอดขายตกจำเป็นที่จะต้องขอปิดแอร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย เราก็ดีใจที่มีลูกค้าเข้าใจ พนักงานหน้าร้านเล่าให้ฟังว่า ลูกค้าบางคนมาอ่านป้ายแล้วก็หันมาบอกให้กำลังใจพนักงานว่า “สู้ ๆ นะครับ”
จากเดิมที่เคยคิดว่าจะลดค่าใช้จ่ายในส่วนพนักงานก็เปลี่ยนมาเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ อย่างเช่นหลัก ๆ เลยเนี่ย คือค่าไฟที่ร้าน เนื่องจากว่าเราเปิดแอร์ตลอดเวลาที่เปิดร้าน พอปิดแอร์ค่าใช้จ่ายส่วนก็เลยลดไปได้เยอะอยู่เหมือนกัน อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งเรียกว่าเราโชคดีแล้วกัน เราโชคดีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือ ปีที่แล้วมีแคมเปญชิม ช้อป ใช้ ซึ่งโครงการนี้ ทำให้เราพอจะมีเงินสดในมืออยู่จำนวนหนึ่ง โชคดีเรื่องที่ 2 ก็คือนอกจากเราประหยัดค่าไฟแล้ว เจ้าของหอที่เราเช่าก็ช่วยเรื่องลดค่าเช่าก็ช่วงพยุงเราไปได้หลายเดือนอยู่เหมือนกัน พอมาถึงเดือนสิงหาคมปี 2563 มหาวิทยาลัยเปิดเทอมก็เริ่มมีคนกลับมา ซึ่งเงินสดในมือของเราตอนนั้นเหลือใช้ถึงแค่เดือนกรกฎาคม ก็ถือว่าเฉียดฉิวมาก
พอเราโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของหอ ตอนนั้นก็เลยคิดว่าเราก็อยากจะส่งความโชคดีนี้ไปให้คนอื่นที่เขาตัวเล็กกว่าเรา ช่วงนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าคนได้รับผลกระทบเรื่องงานจำนวนมาก เราก็เลยพยายามที่จะเปิดรับสินค้าฝากขายที่เป็นสินค้าโฮมเมด เล่าให้ฟังก่อนว่าปกติเรามีรับเฉพาะสินค้าโฮมเมดของนักศึกษาธรรมศาสตร์มาวางขายเท่านั้น
เราตัดสินใจว่าเราคงจะช่วยได้ในมุมนี้ ก็เลยเปิดรับสินค้าที่เอามาฝากขายแบบที่เราพอจะเป็นหน้าร้านให้ได้ ซึ่งในช่วงนั้นก็มีคนติดต่อเข้ามาเพื่อขอฝากขายที่ร้านวันหนึ่งประมาณ 5 เจ้า ทุกวัน มีคนโทรเข้ามาทุกวัน คนที่โทรเข้ามาเขาก็เดือดร้อนและพยายามช่วยเหลือตัวเอง พยายามดิ้นรนหารายได้ ซึ่งหลาย ๆ เจ้าเราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เช่นเป็นสินค้าขนมโฮมเมดทองม้วนพื้นบ้านที่ติดต่อมาจากภูเก็ตเพื่อขอมาฝากวางขายที่ร้าน ดีลนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะพอคุยลงไปในรายละเอียดแล้วเขาไม่สามารถส่งของจากภูเก็ตมาโดยที่ไม่แตกหักได้ หรือเป็นเคสเครื่องดื่มขวดแก้วที่ติดต่อมาจากจากเชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งในทางปฏิบัติน่าจะมีปัญหาในการขนส่งก็เลยดีลกันไม่ได้
ส่วนเคสที่ประสบความสำเร็จก็มี เช่นมีขนมเบเกอรี บราวนี่ของเจ้าหนึ่งที่คนทำเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ที่สามีโดน Layoff จากบริษัท แล้วก็สามีก็เป็นเสาหลักของบ้าน เพราะฉะนั้นภรรยาก็เลยต้องหารายได้ เพราะมีลูกเล็กด้วย ก็ติดต่อมาขอฝากขาย ทำบราวนี่มาขายที่ร้าน ครั้งแรกจำได้ว่าเอามาลง 10 กล่อง แล้วยอดขายก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้เนี่ยบราวนี่เจ้านี้มาลงทีครั้งละประมาณ 40 กล่องแล้ว ยังไม่รวมกับขนมอย่างอื่น มีเอแคลร์ มีทอฟฟี่เค้ก ซึ่งตรงนี้เราถือว่า Success Case ที่เราเห็นแล้วเราก็ดีใจที่มีส่วนช่วยในการเป็นหน้าร้านให้กับเจ้าเล็ก ๆ ที่เจอปัญหา
SME One : ที่ผ่านมาเคยเข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานของภาครัฐบ้างหรือไม่
ศตวัสส์ : เราเคยเข้าไปขอคำปรึกษาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เราเข้าไปอบรมสัมมนา และสมัครเข้าโครงการพัฒนาร้านค้าปลีก เราสมัครเข้าไปแล้วผ่านการคัดเลือก การที่เราทำร้านโดยที่ไม่มีความรู้เลย ตรงนี้ช่วยได้เยอะมาก ทางโครงการเขาจะมีทีมที่ปรึกษา ส่งทีมงานมาดูที่ร้านแล้วก็ให้คำแนะนำว่า ร้านของเราควรจะปรับปรุงตรงไหนอย่างเช่น เมื่อปีที่แล้วก็มีที่ปรึกษาเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในโครงการของกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาให้คำปรึกษาที่ร้าน ซึ่งตรงนี้ช่วยได้เยอะมากสำหรับคนที่ทำธุรกิจแบบลูกทุ่งอย่างเรา
SME One : ถ้าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติจะขยายธุรกิจอย่างไร
ศตวัสส์ : มี 2 แนวคิด หนึ่งคืออยากจะขยายสาขา ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นกับเงินทุน การขยายสาขามันใช้เงินทุนค่อนข้างเยอะ กับอีกทางหนึ่ง คือเรามองไปถึงการต่อยอดธุรกิจไปทำในลักษณะอื่น ซึ่งจริง ๆ เราก็เริ่มทำมาสักพักแล้ว คือการ Tie-in สินค้าในโซเชียลมีเดียของเรา เหมือนเวลาที่ลูกค้าเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต เดิน ๆ อยู่ก็จะได้ยินเสียงตามสาย เสียงโฆษณาสินค้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเจ้าของสินค้าที่โฆษณาต้องจ่ายเงินให้กับร้านเพื่อโฆษณาสินค้า หรือว่าตามร้านใหญ่ ๆ เขาจะมีการคิดค่าหัวชั้น ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้มันจะต้องเป็นร้านที่ใหญ่ ๆ และมี Traffic มีจำนวนคนเดิน ถ้าเป็นร้านเล็ก ๆ อย่างร้านเราก็คงไม่มีใครมาสนใจจ้างแบบ หรือเราจะไปคิดค่าหัวชั้นเขาก็คงไม่เอา
แต่ว่าในปัจจุบันเราสามารถสร้าง Traffic แบบออนไลน์ได้ หมายถึงว่าถ้าเรามีร้าน เหมือนเป็นหน้าร้านที่เป็นออนไลน์ เราสามารถที่จะดึงดูดคนให้มาเห็นตัวสินค้า มาเห็นในร้านออนไลน์ที่ไม่ใช่มาจากทั่วประเทศ แต่มาจากทั่วโลกด้วยซ้ำ แล้วมันไม่มีข้อจำกัดในแง่ของหน้าร้านอีกต่อไป เรามองตรงจุดนี้ มองว่าถ้าเกิดว่าร้านใหญ่ ๆ เขาคิดค่าหัวชั้นเพื่อโฆษณาสินค้า ร้านเราก็สร้างเป็น Virtual Traffic ขึ้นมาบนร้านออนไลน์ของเรา เราก็น่าจะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้เราก็จะมีรับ Tie-in สินค้าซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ก็เป็นวิธีนึงที่เราพยายามหารายได้เพิ่มซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ก็คิดว่าอันนี้ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่พอจะขยับขยายไปได้ โดยรายได้ส่วนนี้จะมาจากค่ามีเดียไม่ได้มาจากยอดขาย
SME One : จากนี้ไปอะไรคือความท้าทายของร้านบิ๊กเต้
ศตวัสส์ : ความตั้งใจของเรา คือเราตั้งใจว่าเราอยากจะเป็นร้านค้าชุมชน อยากได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ต้องบอกแบบนี้ว่าผมกับภรรยายังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องสร้างธุรกิจไว้เป็นมรดก คือเรื่องเงินอาจจะไม่ใช่เรื่องหลัก แต่ว่าสิ่งที่คิดว่าอยากจะให้มันเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเรา ตอนที่เรายังทำงานได้ก็คืออยากจะได้รับการยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนแถวนี้ อย่างเช่น นักศึกษาธรรมศาสตร์ถ้านึกถึงโชห่วย ต้องนึกถึงร้านบิ๊กเต้ คือมีอะไรก็ขอให้นึกถึงเรา อันนี้ถ้าเกิดทำได้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว
SME One : ถ้าอยากให้คุณเต้ช่วยให้คำแนะนำกับคนที่อยากจะเปิดร้านโชห่วยจะให้คำแนะนำอะไรดี
ศตวัสส์ : อยากให้เรียนรู้จากสิ่งที่เราเคยพลาดมา เพราะว่าเรายังรู้จักลูกค้าไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นอันดับแรกอยากจะแนะนำว่าต้องทำความรู้จักลูกค้าซึ่งมันมีรายละเอียดเยอะขึ้นไปอีก ลูกค้าที่เรารู้จักในวันนี้อนาคตเขาก็อาจจะเปลี่ยนไป อธิบายให้เห็นภาพ ก็คือ เด็ก 10 ขวบถ้าได้เงินมา 100 บาท เวลาเดินเข้าร้านโชห่วยก็อาจจะซื้อขนม พออายุ 20 ปีมีเงิน 100 บาทเดินเข้าร้านโชห่วยก็อาจจะไม่ได้ซื้อของแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อไปถ้าอายุ 30 ปีก็จะไม่ได้ซื้อของแบบเดิมอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเราทำความรู้จักกับลูกค้าแล้วเราต้องหมั่นอัพเดตด้วย ไม่ใช่ว่าพอได้ข้อมูลมาแล้วจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดกาล ยิ่งสมัยนี้ กระแสอะไรต่าง ๆ มันมาเร็ว เรียกว่าต้องอัพเดตกันแบบวันต่อวัน
เรื่องที่ 2 ก็คือต้องทำใจยอมรับข้อวิจารณ์ ข้อเสียของตัวเรา ของธุรกิจเราให้ได้ แล้วเอามาปรับปรุง อย่าลืมว่าความเห็นหรือข้อตำหนิของลูกค้า คือข้อมูลที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เรารู้ว่าจะต้องปรับปรุงตรงไหน อย่างไร
บทสรุป
ความสำเร็จของร้านบิ๊กเต้อยู่ที่การรับฟังความต้องการของลูกค้าแล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับปรุงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการมาขาย หรือเพิ่มการให้บริการใหม่ๆ ที่สร้างความสะดวกสบายกับลูกค้า เช่นการเขียนป้ายอธิบายสรรพคุณ หรือวิธีการใช้งาน ซึ่งในเวลาต่อมาป้ายโฆษณาดังกล่าวได้พัฒนาจนกลายมาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถกระจายไปสู่คนทั่วประเทศได้
จากร้านโชห่วยเล็กๆ ใต้หอพัก ร้านบิ๊กเต้จึงกลายเป็นออนไลน์ มีเดียที่หลายแบรนด์เลือกใช้เป็นช่องทางในการโปรโมทสินค้า
ตลาดค้าปลีกในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 3.6 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้จะมีผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ เช่นกลุ่มเซ็นทรัล, เดอะมอลล์, ซีพี, BJC ที่มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณ 32% อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือ
กลุ่มผู้ประกอบการที่เรียกว่า Local Modern Trade หรือผู้ประกอบการค้าปลีกท้องถิ่นที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้มีตั้งแต่ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ มีรายได้ตั้งแต่หลักร้อยล้านไปจนถึงหลายพันล้านบาทต่อปี นอกจากเรื่องยอดขายแล้วอีกหนึ่งหน้าที่ของ Local Modern Trade ก็คือการรักษาสมดุลย์ให้ตลาดค้าปลีกไทยไม่ผูกขาดโดยใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่ง “บิ๊กซ้ง ซุปเปอร์สโตร์” ร้านค้าปลีกเก่าแก่ในจังหวัดสมุครสาครก็เป็นหนึ่งในนั้น
วันนี้ คุณฉัตรชัย ทิพยทยารัตน์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของ บิ๊กซ้ง ซุปเปอร์สโตร์ จะให้สัมภาษณ์แนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่มีตั้งแต่รุ่นอากงจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 50 ปี
SME One : ร้านบิ๊กซ้งเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ฉัตรชัย : บิ๊กซ้ง เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 เป็นธุรกิจครอบครัวหรือกงสี มาตั้งแต่รุ่นอากง “บิ๊กซ้ง” บุกเบิกจากตึกแถวในตลาดเปิดเป็นร้านขายส่งเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่ายี่ปั๊ว ดำเนินกิจการเรื่อยมาเป็น 10 ปีจนกระทั่งกิจการไปในทิศทางที่ดีขึ้น
จึงซื้อที่ดินเพิ่มทำเป็นโกดังเก็บสินค้า ต่อมารุ่นที่ 2 คือ อาแปะ อาป๊า หม่าม้าและอาโกวที่คอยสนับสนุน “อาแปะ” จะเรียกว่าเป็นหัวเรือหลักในการทำธุรกิจต่อจากรุ่นแรก พอมารับช่วงต่อก็เริ่มมีการเพิ่มพื้นที่การขาย คือแต่เดิมเราทำขายส่ง จะมีกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาแล้วอยากได้สินค้าแพ็คเล็กมากขึ้น เราก็ตอบสนองตรงนี้ จึงเริ่มจากมีการวางขายสินค้าชนิดปลีกให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
และนำเอาเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาใช้ เช่น ระบบ POS เป็นระบบจัดการหลังร้าน ในรุ่นที่สองจะเริ่มทำทั้งค้าปลีกแบบซูเปอร์มาร์เก็ต และค้าส่งแบบยี่ปั๊วไปพร้อมกันอีกด้วย
พอมาถึงรุ่นผมที่เป็นรุ่นที่ 3 ได้เข้ามามีส่วนช่วยกิจการครอบครัวในช่วงปี พ.ศ.2561 - ปัจจุบัน บิ๊กซ้งได้เปลี่ยนจากยี่ปั๊วที่ขายปลีกด้วยมาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งตอนที่รุ่นที่ 2 ทำก็เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ผมเข้ามาปรับปรุงในส่วนการจัดร้านให้เป็นระบบและเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากขึ้น และจัดเก็บฐานข้อมูลที่จำเป็นจากหลังร้านเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
SME One : สัดส่วนการขายค้าปลีกกับค้าส่งเป็นอย่างไร
ฉัตรชัย : รุ่นอากง สัดส่วนระหว่างค้าปลีกกับค้าส่ง แทบจะเรียกว่าเป็นค้าส่ง 100% โดยในช่วงต้นของการทำธุรกิจ
จะเน้นค้าส่ง จนมาถึงในช่วงท้ายของรุ่นอากงก็คิดว่าน่าจะเป็นสัดส่วนค้าส่งประมาณ 80% และค้าปลีก 20% แต่พอถึงรุ่นที่ 2 ได้เปิดหน้าร้านเพื่อทำค้าปลีกเพิ่มขึ้น และในถึงปัจจุบันสัดส่วนค้าปลีกก็น่าจะมากกว่า 90% แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นการวัดสัดส่วนค้าปลีกและค้าส่งจะเป็นไปได้ยาก เพราะถึงแม้ว่าบิ๊กซ้งจะจัดร้านแบบค้าปลีก แต่ด้วยความที่เราขายราคาส่ง เพราะฉะนั้นก็จะมีคนเข้ามาหยิบน้ำมันพืชครั้งละ 3 ลัง 5 ลังก็ยังมีไม่น้อย เพียงแต่เราเปลี่ยนรูปแบบและให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอยู่กับที่เพื่อเอื้อให้ลูกค้ามาเดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านด้วยตนเอง จริงๆเรียกบิ๊กซ้งว่าเป็นร้านค้าปลีก ก็ไม่ถูกทีเดียวนะ ต้องเรียกว่าเป็นซูเปอร์มาเก็ตค้าส่งน่าจะเหมาะสม
SME One : การเข้ามารับช่วงเป็นรุ่นที่ 3 อะไรต้องสร้างเพิ่ม
ฉัตรชัย : สร้างความเชื่อครับ ตรงนี้คือสิ่งที่คนรุ่นผมมองว่าเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเราต้องพิสูจน์ผลงานจริงๆ ถามว่ายากหรือเปล่า ผมเชื่อว่ายากหมด เพราะมันต้องอาศัยความเข้าใจ อาศัยช่วงจังหวะชีวิตที่มันดีด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องให้ความสำคัญให้ถูกทาง ถามว่าการเข้ามารับช่วงต่อต้องพัฒนาส่วนไหน ส่วนตัวมองว่า เดิมทีเคยคิดว่าธุรกิจที่บ้านเป็นอะไรที่ทำยากแล้วก็ไม่น่าทำ ขายของได้กำไรนิดเดียว แล้วต้องยกของ ต้องส่งของ ต้องรับสาย มันเป็นอะไรที่เด็กรุ่นใหม่ดูแล้วมันก็ยาก จุดที่เราต้องเปลี่ยนจุดหนึ่งคือเราต้องคิดว่าเราชอบอะไร แล้วธุรกิจเราจะดำเนินไปได้ตามที่เราคิดชอบแบบนั้นได้รึเปล่า เอาความฝันของเรามารวมและจินตนาจาร แต่ว่ามันต้องอยู่ในพื้นฐานของความเป็นไปได้ด้วยนะครับ และก็พื้นฐานของระยะเวลาที่เราสามารถที่จะทำได้ด้วย
สิ่งที่เราฝันไว้มีมากกว่านี้ และเราก็ได้ขยับเข้าใกล้สิ่งที่เราฝันขึ้นเรื่อยๆ คือมองว่าในยุคของเรา เราอยากจะทำให้ร้านของครอบครัวให้น่าเข้าหา เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตค้าปลีกค้าส่งที่มีคนเข้ามาแล้วก็สามารถที่จะเดินไปหยิบสินค้าได้อย่างสะดวกสบาย ตอนเด็กๆเวลามีลูกค้าเดินเข้าร้านมา จะจำได้ว่าต้องเดินมาหาเราก่อน ต้องสั่งของกับเรา และเราก็จะเป็นคนหยิบหรือบอกให้พนักงานไปหยิบอีกทีหนึ่ง เพราะว่าเราวางของไม่ได้เป็นระบบระเบียบมาก ต่อมาร้านก็เริ่มได้รับการพัฒนาจากรุ่นสอง และส่งต่อมาที่รุ่นเราพัฒนาต่อ หน้าที่หลักของเราก็คือพัฒนาต่อแหละครับ จนสามารถพัฒนาจนลูกค้าที่เดินไม่ต้องมาหาเราเหมือนก่อนๆ เข้ามาในร้านสามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ต้องเดินไปตรงไหนเพื่อหยิบสินค้าอะไร รู้สึกไม่กดดันจากการที่เดิมเจ้าของร้านหยิบสินค้าให้ สามารถเลือกยี่ห้อ เลือกราคาได้ตามสะดวก นี่คือหนึ่งในหลายๆจุดที่ บิ๊กซ้ง ได้พัฒนามานะครับ และก็จะพัฒนาต่อไปครับ
ข้อได้เปรียบของร้านเรา ก็คือจากเดิมที่เป็นร้านค้าส่ง ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดหาสินค้า เราใช้พื้นฐานที่มีอยู่แล้วพัฒนาและเพิ่มจำนวนสินค้า (Stock Keeping Unit : SKU) เพิ่มความหลากหลายให้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีสินค้าจำหน่ายอยู่ประมาณหลักร้อย ปัจจุบันทางร้านได้คัดสรรสินค้าคุณภาพมากว่า 20,000 SKU มาจำหน่ายแล้ว
ทุกวันนี้ บิ๊กซ้ง ซุปเปอร์สโตร์ มีทั้งหมด 4 สาขา คือ มหาชัย บ้านแพ้ว เอกชัย และพระราม 2 โดยมีสาขาใหญ่ 2 สาขา พื้นที่ขายรวมกันประมาณ 5,000 ตารางเมตร แล้วก็บวกอีก 2 สาขาย่อย สาขาละประมาณ 1,000 ตารางเมตร ก็รวมเป็น 7,000 ตารางเมตร
SME One : ปัจจุบันมีร้านเก่าแก่หลายร้านที่ทำธุรกิจต่อไปไม่ไหว คิดว่าจุดอ่อนของร้านโชห่วยหรือร้านยี่ปั๊วของไทยคืออะไร
ฉัตรชัย : พูดในมุมมองส่วนตัว จุดที่จะทำให้ไปต่อได้หรือไม่ อาจจะเป็นเรื่องรอยต่อในการดำเนินธุรกิจระหว่างรุ่น ยกตัวอย่างเช่น รุ่นก่อนเราเตรียมพร้อมและยอมรับในการที่จะให้เข้ามาปรับเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็จะส่งผลถึงรุ่นเรา ผมโชคดีที่รุ่นก่อนผมยอมรับ รับฟัง และพร้อมส่งเสริมเสมอ สิ่งเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนพลัง แรงผลักดันที่จะต่อยอดเนื้องานได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว แต่อย่างไรก็แล้วแต่เราก็ต้องมีหลักเหตุผลที่เพียงพอที่จะให้เขาเชื่อสิ่งที่เราทำเหมือนกัน และที่สำคัญมากสำหรับเรา คือการที่ได้รับโอกาส ใช้โอกาสนั้นสร้างความเชื่อมั่น ความเชื่อใจให้ได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองเข้ามาในธุรกิจของตัวเอง เราก็จะเห็นจุดบกพร่องของธุรกิจ ในจุดดีอยู่แล้ว เราก็ต้องพัฒนาต่อไปให้ได้ เพราะฉะนั้นคนที่จะรับช่วงต่อจะต้องมองธุรกิจของตัวเองให้ออกก่อนว่าข้อดีข้อด้อยอยู่ตรงไหน ให้ความสำคัญให้ถูกจุดและถูกเวลาครับ
SME One : ทุกวันนี้บิ๊กซ้งรายล้อมไปด้วยค้าปลีกจากส่วนกลาง อะไรที่ทำให้เราแข่งขันได้
ฉัตรชัย : คิดว่าเป็นความเข้าใจในลูกค้าและการสร้างฐานลูกค้าให้มั่นคง เราได้รับความร่วมมือจากบริษัทคู่ค้า (Supplier) ซึ่งมีความผูกพันกันอยู่ตั้งแต่รุ่นอากงก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราแข่งขันได้ บางบริษัทกับเราก็รู้จักกันมาอย่างยาวนาน เรามองว่า Supplier ทุกรายที่เข้ามาคือพันธมิตร คือทีมเดียวกัน ที่ต้องช่วยกันทำให้สินค้าออกไปสู่ตลาดให้ได้ เรามีพื้นที่ให้เขาจำหน่ายสินค้า เขาก็ต้องช่วยดูแลคุณภาพและราคาที่เหมาะสมให้เรา เราทำงานแบบพันธมิตร จากรุ่นสู่รุ่น บริษัทคู่ค้าถือว่าเป็นซัพพอร์ตส่วนตัวเราเอง เราก็ต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเอง ซึ่งในเรื่องของการทำความเข้าใจในความต้องการลูกค้า เราจะทำการบ้านโดยการสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย การหาข้อมูลภายใน รวมทั้งการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกมากครับ
SME One : ทุกวันนี้ยังคงเสียเปรียบเรื่องอำนาจการต่อรองกับ Supplier เมื่อเทียบกับค้าปลีกรายใหญ่
ฉัตรชัย : แน่นอนอยู่แล้ว เราต้องเข้าใจตรงนี้ มันเป็นธรรมชาติ ใครที่ซื้อสินค้าจำนวนมากกว่าราคาที่ได้ต่อก็จะต่ำกว่าคนที่ซื้อในจำนวนน้อย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่เราต้องเข้าใจตัวเองว่าเราสามารถทำอะไรได้ ต้องดูว่าเราอยู่ตรงจุดไหน เรื่องของราคาถามว่าค้าปลีกรายใหญ่มีอำนาจต่อรองที่ดีกว่าเราใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ แต่ถามว่าเขามีปัจจัยในด้านการบริหารหรือค่าใช้จ่ายมากกว่าเราหรือเปล่า ก็ใช่อีก เพราะฉนั้นทุกอย่างมันมีช่องว่างของมันอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะไปมองจากมุมไหน เพราะฉะนั้นเราก็สามารถเอาค่าบริหารซึ่งเรามีต้นทุนน้อยกว่าเอามาเป็นเติมเต็มในส่วนรายได้ก็ได้เหมือนกัน ผมถึงบอกว่ามันไม่ตายตัวว่าใครที่ได้สินค้าในราคาที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าแล้วจะสามารถอยู่ในตลาดได้
ส่วนทางบริษัทคู่ค้าของเองก็เชื่อว่าเขาก็ต้องหาช่องทางในการจำหน่ายมากที่สุดที่เขาจะทำได้อยู่แล้ว ซึ่งร้านค้าท้องถิ่นก็เป็นทางเลือกที่ดีที่จะเลือกเป็นในช่องทางจำหน่ายสินค้าช่องทางหนึ่งเช่นเดียวกัน
ผมมองว่าร้านค้าท้องถิ่นสมัยใหม่จะต้องใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ ไม่ได้ใช้ความรู้สึก ยุคนี้ข้อมูลสำคัญมาก ต้องขยันดู ขยันเก็บ อย่างเช่นว่าการที่เราขายอะไรได้ ขายอะไรไม่ได้ สินค้าตัวนี้ที่สั่งมาประมาณการเท่านี้ ขายออกได้ในระยะเวลาเท่าไหร่ เรื่องพวกนี้อันนี้สำคัญมาก ๆ เพราะมันจะไปเกี่ยวพัน และมีผลโดยตรงกับผลประกอบการด้วย
SME One : ทุกวันนี้ร้านค้าท้องถิ่นก็ยังสู้แบบมวยวัดใช้หรือไม่
ฉัตรชัย : ความเห็นส่วนตัวนะครับ จริงๆร้านค้าท้องถิ่นก็ไม่ใช่ขึ้นชกแบบไม่มีเชิงนะครับ ผมเชื่อว่าร้านท้องถิ่นก็มีเชิงครับ จริงๆแล้วต้องบอกว่า อย่าเอาร้านค้าท้องถิ่นไปขึ้นเวทีเลยจะดีกว่า ร้านค้าท้องถิ่นมีวิธีการของตัวเอง ไม่ได้หนี หรือจะต้องต่อสู้กับใคร แล้วก็ไม่คิดว่ามีใครตั้งใจมาสู้กับร้านค้าท้องถิ่น ต่างคนต่างมีช่องทางของตัวเองครับ ดังนั้นจะบอกว่าร้านค้าท้องถิ่นสู้แบบมวยวัดก็คงจะไม่ถูกต้องทีเดียว
อย่างทุกวันนี้เราก็ไม่ได้ไปมองปัจจัยภายนอกในทางนั้น ใครจะมาเปิดกิจการคล้ายเรา ถามว่ารู้หรือไม่ ก็ตอบว่ารู้ แต่ว่าความหมายคือเราก็ไม่ได้ไปให้ความสำคัญขนาดนั้น เพราะแค่เราจะให้ความสำคัญในส่วนการพัฒนาต่อยอดของธุรกิจเราเอง ผมคิดว่ามันก็เพียงพอแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องทำ ต้องพัฒนาอยู่อีกเยอะมากอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือเราแข่งกับตัวเองดีกว่า เราเน้นที่จะ ”บรรลุเป้าหมายของตัวเอง” มากกว่าที่จะต้องไปชนะใครดีกว่า
SME One : COVID-19 ที่ผ่านมา บิ๊กซ้งเจอผลกระทบบ้างหรือไม่ แล้วแก้ปัญหาอย่างไร
ฉัตรชัย : โดยรวมจะกระทบทุกธุรกิจค่อนข้างแน่นอน จะมียกเว้นบ้าง แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตถือว่าเป็นธุรกิจที่โชคดี เพราะว่าก็ไม่ได้ถูกปิดอะไร แต่ถามว่าการบริโภคของคนเปลี่ยนไปหรือเปล่า ก็ค่อนข้างที่จะเปลี่ยน ถามว่าซื้อของเยอะขึ้นรึเปล่า บริโภคเยอะขึ้นหรือไม่ ก็มีแบบซื้อเก็บ ซื้อตุน แต่ว่ายอดขายมันจะวิเคราะห์ได้ยากมาก เพราะมาๆ หายๆ แล้วกลุ่มสินค้าก็จะขายได้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม ตรงนี้แหละที่เราต้องปรับตัว
เพราะฉะนั้นถามว่ากระทบไหม กระทบแน่นอน แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้ว่ากระทบอะไรอะ เราก็พยายามที่จะปิดตรงนั้นให้เยอะที่สุด เพื่อให้กระทบเราน้อยที่สุด
SME One : ที่ร้านมีการเอาระบบ Data ระบบ IT มาใช้ในการเก็บข้อมูลลูกค้าหรือสมาชิกหรือไม่
ฉัตรชัย : มีครับ เราได้นำเอาความเป็นเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานบ้าง เรานำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ได้ เราเลือกใช้เฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เข้ามาใช้งาน ต้องใช้ทรัพยากรเทคโนโลยีอย่างมีคุณค่าที่สุดครับ
SME One : อยากให้ช่วยวิเคราะห์เหตุผลว่าทำไมลูกหลานที่เป็นคนรุ่นใหม่หลายคนปฎิเสธที่จะทำธุรกิจต่อจากรุ่นพ่อแม่
ฉัตรชัย : ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ มันอยู่ที่ตัวบุคคลด้วย อย่างธุรกิจของที่บ้าน ชอบไม่ชอบในตัวธุรกิจที่จะได้สืบสานหรือไม่ ผมโชคดีที่ที่บ้านจะบอกข้อมูลของธุรกิจมาโดยตลอด มีการคุยกัน สอบถามกันว่าอยากจะทำไหม แล้วรุ่นก่อนพยายามบอกปัจจัยว่ามันลำบากยากง่ายอย่างไร เรารับได้หรือไม่อย่างไร และวิธีการดำเนินต่อในมุมมองของรุ่นก่อนคืออะไร ถามว่าทำไมมีคนไม่อยากสืบทอดกิจการ คนที่เขามีความคิดแบบนี้ผมมองเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมมองว่าส่วนใหญ่การที่จะทำธุรกิจใดๆก็ตามให้ดำเนินไปได้ด้วยดีนั้นเริ่มต้นมาจากความชอบและจะก่อให้เกิดความมุ่งมั่นและตั้งใจตามมาครับ
SME One : บิ๊กซ้งเริ่มจากระบบกงสี เอาญาติพี่น้องมาช่วยทำ มาถึงปัจจุบันยังคงบริหารงานแบบระบบกงสีหรือเป็นระบบองค์กรแล้ว
ฉัตรชัย : เราก็พยายามที่จะเปลี่ยนนะครับ แต่เรื่องพวกนี้มันใช้เวลา ก็อยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน เรื่องนี้มันซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับเรื่องของความรู้สึกในครอบครัว ตอนนี้เราใช้ระบบสิทธิ์ในหุ้นส่วน เรียกว่าเป็นรูปแบบบริษัท 100% แล้ว แต่ว่ายังมีความรู้สึกของกงสีปนอยู่ข้างในบ้าง
SME One : อยากให้ช่วยแนะนำหลักการบริหาร วิธีการทำธุรกิจให้กับคนที่อยากเปิดร้านโชห่วย
ฉัตรชัย : ขอเรียกว่าเป็นการบอกกล่าวในสิ่งที่เราทำดีกว่านะครับ เริ่มจากการที่ต้องมีจุดมุ่งหมาย แล้วก็มีหลักการเหตุผล ต้องมองให้ออกว่ากลุ่มลูกค้าแล้วก็ธุรกิจของเรา มีตรงไหนที่สามารถที่จะพัฒนาได้อีก ใส่ใจในการทำสิ่งนั้น ๆ และต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังทำ และสม่ำเสมอครับ ผมมองว่าไม่ได้เป็นหลักการเฉพาะผู้ที่อยากเปิดซูเปอร์มาเก็ตอย่างเดียวนะครับ แต่เป็นพื้นฐานสำหรับผู้ที่อยากจะทำธุรกิจทุกธุรกิจครับ
บทสรุป
บิ๊กซ้ง ซุปเปอร์สโตร์ บริหารธุรกิจโดยใช้จุดแข็งผ่านงานบริการ ความหลากหลายของสินค้าในร้าน ให้ความสำคัญของการบริหารข้อมูล เพื่อนำมาพัฒนาให้ร้านแข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงใช้วิธีการผูกเป็นพันธมิตรบริษัทคู่ค้าเพื่อหาทางเพิ่มยอดขายและเติบโตไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ในส่วนของงานบริหาร บิ๊กซ้ง ซุปเปอร์สโตร์ ใช้การบริหารงานด้วยรูปแบบของธุรกิจครอบครัวสมัยใหม่ที่แบ่งงานกันรับผิดชอบแบบชัดเจนที่เน้นความคล่องตัว แต่ยังมีการตัดสินใจในลักษณะของกงสี
หรือธุรกิจครอบครัว ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการและเหตุผลเสมอ
Kokoonic โปรตีนแมลงแห่งอนาคต
“แมลง” คำที่หลายๆ คนฟังแล้วอาจจะรู้สึกกลัว แต่รู้หรือไม่ว่า แมลงมีคุณค่าโภชนาการสูงมาก และมีส่วนสำคัญเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของโลก คุณประโยชน์จากแมลงเหล่านี้ ทำให้ Kokoonic เกิดความสนใจและเริ่มศึกษา จนสามารถต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนจาก “ดักแด้ไหมอีรี่” ได้สำเร็จ
.
ดักแด้ไหมอีรี่ที่ถูกเลือก
เดิมทีทางแบรนด์ต้องการสรรหาวัตถุดิบจากธรรมชาติ เพื่อนำมาผลิตเส้นใยในวงการอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับดักแด้ไหมอีรี่ ที่มีความน่าสนใจ นั่นก็คือ ดักแด้ไหมอีรี่มีอาหารหลักเป็นใบมันสำปะหลัง ประกอบกับประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีเพียงแค่หัวมันสำปะหลังที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ ส่วนของใบมันสำปะหลังจะถูกนำไปทิ้ง ทางแบรนด์จึงเห็นว่านี่คือหนทางในการช่วยเหลือเกษตรกรให้เกิดรายได้ และยังเป็นการช่วยลดขยะด้วยเช่นกัน จึงคิดที่จะลองเลี้ยงดักแด้ไหมอีรี่เพื่อให้ผลิตเส้นไหมสด แต่กลับพบว่าดักแด้ไหมอีรี่นั้นผลิตเส้นไหมได้เพียงอัตราส่วน 1 ต่อ 10 ซึ่งก็คือรังไหม 1 รัง จะมี เส้นไหมสด เพียง 1 ส่วน และเป็นไฟเบอร์อีก 9 ส่วนที่ไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ดังนั้นทางแบรนด์จึงเริ่มทำการศึกษาวิจัยหาวิธีการนำไฟเบอร์เหล่านี้มาใช้ จุดประกายความคิดใหม่ขึ้นว่ามา หากนำดักแด้ไหมอีรี่มาทำเป็นอาหารจะเป็นอย่างไร
.
โปรตีนสะอาด คือคำตอบแห่งอนาคต
หลังจากค้นคว้าข้อมูลก็พบว่า ดักแด้ไหมอีรี่ คือสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ เพราะเป็นแหล่งโปรตีนสูง ที่สะอาด และกำลังอยู่ในความสนใจของกระแสโลก ที่จะทำฟาร์มแมลง เพื่อใช้เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับโลกอนาคต จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการลุกขึ้นมาทำเรื่องอาหารอย่างจริงจัง
สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับการทำผลิตภัณฑ์อาหาร คือเรื่องรสชาติ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะดีแค่ไหน แต่ถ้ารสชาติไม่ดี ไม่อร่อย ก็ยากที่จะขายได้ ส่วนที่สำคัญต่อมาคือเรื่องการตลาด จะทำอย่างไรเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นไปต่อได้ ซึ่งสำหรับทาง Kokoonic เริ่มต้นจากการทำธุรกิจแบบ Business to Business (B2B) ก่อน เพราะยังเป็นเรื่องใหม่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ โดยเริ่มเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเอเชีย ด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโปรตีนและพลังงานทดแทน ที่จะเปลี่ยนความคิดเรื่องการกินแมลง โดยใช้เรื่องความอร่อยเป็นจุดแข็งหลัก เพื่อเปิดใจผู้บริโภคให้มีความรู้ ความเข้าใจว่า ถึงผลิตภัณฑ์ของ Kokoonic จะเป็นโปรตีนที่ทำมาจากแมลงก็จริง แต่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก สะอาด และรสชาติอร่อย จนเริ่มมีกลุ่มผู้ประกอบการให้ความสนใจ เกิดเป็นการทำงานพัฒนาสินค้าใหม่ๆ จากโปรตีนแมลงร่วมกัน แล้วจึงวางแผนต่อไปสู่กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทั่วไปแบบ Business to Customer (B2C) สร้างฐานลูกค้าขึ้นเพื่อรองรับสินค้าโปรตีนจากแมลงเหล่านี้ เป็นวงจรที่ขับเคลื่อนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
.
ส่งเสริมทีมงาน ให้เข้มแข็ง
นอกจากการสร้างวงจรทางธุรกิจให้เกิดขึ้นแล้ว ในฝั่งของทีมงานเอง ทาง Kokoonic ก็มีความตั้งใจมาตั้งแต่เริ่มแรก ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น โดยมีการส่งเสริมเกษตรกรที่เลี้ยงไหมให้โตไปพร้อมกัน ด้วยการสร้างคุณค่าในอาชีพให้พวกเขามีรายได้ เมื่อพวกเขาอยู่ได้เติบโตได้ แบรนด์ก็จะเติบโตไปพร้อมกันกับเขา ผลปรากฎว่าเมื่อเกษตรกรเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนี้ได้ พวกเขาก็ยังเป็นแรงสำคัญในการกระจายความรู้ที่ได้จากชุมชนหนึ่งไปสู่ไปอีกชุมชนหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากตำบลนี้ทำได้ ขยายไปเป็นอำเภอนี้ทำได้ด้วย ทำให้ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนในมุมของเกษตรกรอีกด้วย และเป็นแรงขับเคลื่อนให้แบรนด์มุ่งหน้าทำต่อไป
.
ความตั้งใจเพื่อทุกคนบนโลก
สิ่งที่แบรนด์มุ่งมั่นจะทำให้ถึงที่สุด คือ การทำโปรตีนสะอาดจากดักแด้ไหมอีรี่ให้เกิดขึ้น และทำให้ทุกคนบนโลกสามารถยอมรับได้ โดยมีคำที่ Kokoonic ใช้เตือนตัวเองเสมอว่า Remember why you start it จดจำไว้อยู่เสมอว่า ได้เริ่มทำสิ่งนี้เพราะอะไร ไม่ว่าจะสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ก็ต้องยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป ความอดทนไม่ย่อท้อต่อความลำบากหรือความพ่ายแพ้ในจิตใจ คือสิ่งที่ทำให้เห็นหนทางเดินไปต่อได้
.
สามารถติดตาม Kokoonic ได้ที่
Kokoonic Company Limited
เลขที่ 21 ชั้นที่ 5 ซอยราษฎร์บูรณะ 44 แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 10140
Tel: 096-924-1545
Email: admin@kokoonic.com
Website : kokoonic.com
Facebook: kokoonicofficial
Instagram: Kokoonic_official
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone