สมัยก่อนเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) SMEs ส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นเรื่องของธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรและเงินทุนเต็มไม้เต็มมือเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของได้ แต่วันนี้หลายอย่างกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI เป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมแถมราคายังถูกลงด้วย ที่สำคัญ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัวแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ SMEs จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด
ปีที่แล้วการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ หันมองไปในวงการไหนก็จะเห็นว่าการนำ AI มาใช้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสุขภาพ การศึกษา อุตสาหกรรมยานยนต์ที่หลายค่ายกำลังพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งภาคเกษตรกรรมที่เลือกใช้โดรนอัจฉริยะในการหว่านเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงการใส่ปุ๋ยและพ่นยาฆ่าแมลง
Global Forecast to 2022 ของเว็บไซต์ marketsandmarkets.com เผยว่า ภายในปี 2022 มูลค่าการตลาดธุรกิจ AI จะมากถึง 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่หัวเว่ยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 จะมีอุปกรณ์สมาร์ทส่วนตัวสูงถึง 4 หมื่นล้านชิ้น และ 90% ของผู้ใช้อุปกรณ์จะมีผู้ช่วยดิจิทัลที่ฉลาด การใช้ข้อมูลจะสูงขึ้น 86% และจะมีบริการ AI ให้ใช้งานทั่วไปแพร่หลายเหมือนอากาศที่เราหายใจเลยทีเดียว นั่นเท่ากับว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำหรับการใช้งานของทุกคน
เห็นไหมว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจเล็กๆ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ชอบใช้เครื่องบริการตนเองอัตโนมัติ (Self Service) ผ่านหน้าจอหรือหุ่นยนต์ และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หรือแม้แต่ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ถึงเวลาแล้วที่ SMEs ต้องเรียนรู้เทรนด์นี้เพื่อนำมาปรับใช้บริหารจัดการกระบวนการผลิตไปจนถึงด้านการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ ลดขั้นตอนการทำงานบางส่วน และลดช่วยต้นทุน พร้อมสร้างแต้มต่อในการแข่งขันยุคดิจิตัล
เพราะหลักการการทำงานของ AI มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ เก็บข้อมูล สรุปผลตรงตามเป้าหมายและสามารถสั่งการ หรือการพยากรณ์ที่แม่นยำได้ดีกว่ามนุษย์ ตอบสนองได้ตรงจุด ตรงตามวัตถุประสงค์ ไม่มีความรู้สึก สภาพอารมณ์ และความเหนื่อยล้าที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด ทั้งนี้ AI มีหลายรูปแบบ เช่น
Internet of Things (IoT) เป็นเทคโนโลยีการเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เริ่มสื่อสารกันเอง เมื่อถูกผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ก็ยิ่งเพิ่มความสามารถยิ่งขึ้นไปอีก เพราะสามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
ระบบการเรียนรู้อัตโนมัติ (Automated Machine Learning) คือสมองของ AI ที่สามารถเรียนรู้ได้เองจากข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมเป็น Big Data ยกตัวอย่างการทำงานของ Siri ใน iOS หรือ Google Assistant ที่เรียนรู้ภาษาและการโต้ตอบกับมนุษย์ได้ และยิ่งหากใช้บ่อยๆ ที่สามารถรับคำสั่งด้วยเสียงที่แม่นยำมากขึ้น หรือแม้กระทั่งNetflix ที่ใช้ Machine Learning ในการประมวลผลข้อมูลเพื่อแนะนำวีดีโอที่ผู้ใช้งานอาจชอบ เกิดจากการเรียนรู้จากพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้งานทั้งสิ้น
ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งอยู่ในรูปของเครื่องมือ หรือหุ่นยนต์ สามารถลดแรงงานมนุษย์ แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือการทำงานได้เร็วและมีความแม่นยำ ช่วยลด Human Error ได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ระบุตัวตนของลูกค้าและให้บริการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจับอารมณ์และความพึงพอใจของลูกค้า นำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาบริการต่อไปได้
ปัจจุบันเราเริ่มเห็น SMEs นำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ดำเนินธุรกิจกันบ้างแล้ว
อย่างในกรณีของ Class Café แม้จะเป็นร้านกาแฟแต่เบื้องหลังการทำงานนั้นเต็มไปด้วย AI และ Machine Learning ที่นำมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจาก Big Data ที่ได้มาจากช่องทางโซเชียลมีเดียของลูกค้า เพื่อคาดเดาพฤติกรรมว่าวันนี้จะสั่งเครื่องดื่มอะไร โดยหาแนวโน้มจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งมีผลต่อการสั่งซื้อเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ที่เหมาะกับอากาศ การนำข้อมูลจากอดีตยังสามารถทำนายดีมานด์ในอนาคตได้อีกด้วยว่า 7 วันข้างหน้าจะมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านกี่คน ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการสต๊อกวัตถุดิบ
นอกจากนี้ Data Analytics ยังทำให้ Class Cafe บริการลูกค้าได้ลึกขึ้น ตรงจุดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้ทางร้านออกโปรโมชันได้อย่างโดนใจลูกค้า
ล่าสุดเมื่อ Class Cafe แก้ปัญหาจากมาตรการล็อคดาวน์ด้วยการออกตู้ AI CLASS GO มาให้บริการตามย่านธุรกิจในเมือง เพียงแค่สแกน เปิดตู้ จากนั้นก็หยิบสินค้าได้เลย (Scan – Take – Go) แต่ตู้นี้มีความพิเศษตรงนี้มีการติดตั้งกล้อง AI และเซนเซอร์ต่างๆ ภายในตู้ เพื่อใช้ส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ จากนั้นก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าคนนั้นๆ เพื่อทำแผนการตลาดต่อไป
เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้แล้ว ผู้ประกอบการ SMEs ต้องมีแผนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม สำหรับบางรายที่มีงบประมาณการลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่มากนัก สามารถเข้าถึงบริการจากแอปพลิเคชั่น AI เจ้าต่างๆ ได้ฟรีในฟีเจอร์เบื้องต้น หรืออาจต้องแลกด้วยค่าบริการบ้าง แต่เครื่องมือเหล่านี้จะลดขั้นตอนการทำงาน และลดแรงงานได้มากทีเดียว เช่น
ARIS เป็น AI Chatbot ผู้ช่วยขายอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การเลือกสินค้าไปจนถึงรายละเอียดการจัดส่ง เหมาะกับ SMEs ที่ทำค้าปลีกออนไลน์
Backyard รวบรวมและวิเคราะห์ Big Data ผ่านการเรียนรู้ของเครื่องจักรและการประผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing : NLP) ให้ข้อมูลการวิเคราะห์ในแดชบอร์ดบนเว็บที่ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของฟังก์ชั่นการขายและการตลาดของลูกค้า
Primo แพลตฟอร์มการโปรโมทข้ามออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ปลีกสามารถหาลูกค้าใหม่และเพิ่มความภักดีในกลุ่มลูกค้าเดิมด้วยการโปรโมทข้ามกัน
Ricult โซลูชั่นดิจิตัลทางการเกษตร เก็บวิเคราะห์ข้อมูลคาดการณ์สภาพภูมิอากาศ ตัวช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรแบบแม่นยำ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
Alto Energy Edge ช่วยเจ้าของโรงแรมจัดการทรัพยากรภายในโรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า 30% โดยระบบ AI จะทำการเปิด-ปิด หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเช็กสถานะและควบคุมอุปกรณ์ด้วย IoT
AIYA เป็นแพลตฟอร์มแชตบอต (Chatbot) สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีฐานลูกค้าในเฟซบุ๊ก และไลน์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าองค์กร ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ บริหารลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับ SMEs ที่ยังไม่ยังคิดว่าเรื่องของ AI เป็นสิ่งไกลตัว อยากให้รีบเปลี่ยนความคิดและลองมองหาตัวช่วยด้วยเทคโนโลยี AI แล้วจะพบว่าสามารถเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนได้จริงๆ แถมยังลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลามากขึ้นเพื่อพัฒนา หรือขยายธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
Knight Black Horse Winery ไวน์ผลไม้จากเพื่อนบ้าน สู่ไวน์ระดับสากล
เพราะต้องการแก้ปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำจากสภาวะผลไม้ล้นตลาด จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่กลุ่มแม่บ้านสหกรณ์คลองสอง คิดที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตผลทางการเกษตร สู่การมุ่งมั่นพัฒนาจนมาเป็น Knight Black Horse Winery ไวน์คุณภาพมาตรฐานสากล จนสามารถเพิ่มยอดขาย สร้างอาชีพให้กับคนพื้นที่ มีร้านค้าจำหน่ายสินค้าของตนเองกระจายไปทั่วประเทศจนสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้
.
สุ่มหากลุ่มเป้าหมาย
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นการชักชวนเพื่อนบ้านมาเป็นหุ้นส่วนกัน จนสามารถรวมเป็นกลุ่มแม่บ้านโดยมีสมาชิกเป็นจำนวน 25 คน ได้นำผลไม้มาลองหมักเป็นสาโทตามแบบวิถีชาวบ้าน และทำการทดลองขายในชุมชน ปรากฏว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี และได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงรวมกลุ่มกันขึ้นเป็นสหกรณ์คลองสอง เริ่มพัฒนาสินค้าเป็นไวน์จำหน่าย
ด้วยปัจจัยด้านเงินทุนที่ต้องหมุนเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบ การตลาดช่วงแรกเริ่มจึงเป็นการตระเวนออกร้านทุกประเภทเพื่อกระจายสินค้า จนได้มีโอกาสไปออกร้านที่งานหนึ่งในพัทยาและพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชอบในตัวสินค้าไวน์ผลไม้มาก จึงหันมาจับกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างจริงจัง พร้อมเปลี่ยนไปเน้นการตลาดตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้ได้เงินสดมาใช้จ่ายให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
.
ขยายกิจการด้วยคนในพื้นที่
หลังจากสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตและทำการจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้น ทั้งนี้ได้มีการกระจายสินค้าโดยการไปเช่าร้านตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และจ้างคนในพื้นที่มาเป็นพนักงานขายประจำร้าน เมื่อยอดขายเติบโตและเห็นผลกำไรคุ้มค่า จึงส่งต่อร้านให้ผู้ที่สนใจลงทุนรับไปบริหารต่อ โดยทางกลุ่ม Knight Black Horse Winery เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้เท่านั้น ซึ่งข้อดีคือเมื่อได้คนที่สนใจมาเป็นเจ้าของร้านเองก็พบว่ายอดขายโตมากขึ้น จนปัจจุบันสามารถขยายไป 57 สาขาทั่วประเทศ โดยมีเพียง 14 สาขาเท่านั้นที่ทางบริษัทบริหารเอง
.
สร้างโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับสินค้าของตน
การตลาดของ Knight Black Horse Winery ถือว่ามีแนวคิดที่แตกต่าง เพราะไม่ฝากวางตามร้านอื่น ๆ หรือวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าใด ๆ แต่ลงทุนเปิดร้านด้วยตัวเอง เพราะมองว่าระบบการวางของในห้างสรรพสินค้าไม่ตอบโจทย์ต่อธุรกิจของตน เช่น การจ่ายเงินแบบเครดิต ซึ่งเป็นปัญหากับธุรกิจที่ต้องใช้เงินหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ อีกทั้งสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ในห้างสรรพสินค้ามีระยะเวลาการขายจึงมองว่าการขายเองข้างนอกได้เปรียบมากกว่า และที่สำคัญที่สุดคือความตั้งใจที่อยากทำสินค้าที่มีคุณภาพให้ผู้บริโภคได้รับประทานในราคาถูก เพราะการไปวางสินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีการคิดกำไรเพิ่มเข้าไป ทำให้การนำมาขายเองนั้นสามารถลดต้นทุนแฝงในสินค้าลงได้
นอกจากจะไม่มีการฝากวางขายแล้ว Knight Black Horse Winery ทำการตลาดแบบไม่มีฝ่ายขาย ใช้วิธีบอกกันปากต่อปากจึงมองว่าที่กิจการเดินหน้ามาได้ทุกวันนี้มาจากคุณภาพของสินค้าที่แท้จริง
.
เพิ่มความรู้สู่มาตรฐานสากล
จากจุดเริ่มต้นจนมาเป็นแบรนด์ Knight Black Horse Winery ในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการหมั่นเสาะแสวงหาความรู้เพื่อที่จะพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์เทียบเท่าสากล นอกจากการศึกษาในประเทศแล้ว ยังมีการไปศึกษาหาข้อมูลในต่างประเทศ โดยไปเรียนรู้จากไร่หรือเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการทำไวน์โดยตรง เช่น นาปาวัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำไวน์ หรือความรู้ด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐาน มีการติดต่อสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพราะสายพันธุ์เหมาะกับการทำไวน์มากกว่า และสั่งซื้ออุปกรณ์ เช่น ถังไม้โอ๊กจากฝรั่งเศสเข้ามาเพื่อใช้เก็บไวน์ โดยทางบริษัทใช้วิธีค่อย ๆ ปันผลกำไรเพื่อมาพัฒนาสินค้าและอุปกรณ์ จนสามารถขยายขึ้นเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐาน HACCP ที่ทำการส่งออกได้ นอกจากสินค้าส่งออกแล้ว ด้วยความมีคุณภาพและมาตรฐาน จึงได้รับการติดต่อการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) อย่างสม่ำเสมอ
.
ผลิตภัณฑ์ของ Knight Black Horse Winery ปัจจุบันมี 28 ชนิด ซึ่งผลไม้ที่ทำไวน์จะเน้นเป็นผลไม้ไทย ส่วนไวน์องุ่นจะใช้องุ่นที่นำเข้า โดยมีสินค้าที่เป็นที่นิยมดังนี้
.
เพราะปรับตัวและเรียนรู้อยู่เสมอ ทาง Knight Black Horse Winery ได้เล็งเห็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่ม เป็นกลุ่มคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และกลุ่มรักสุขภาพ เกิดการคิดค้นและผลักดันเครื่องดื่ม Sparkling ที่เป็นน้ำผลไม้ 100% โดยมีการนำเทคโนโลยีมาจากอิตาลี มาทำให้รสชาติเหมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ และทำการตลาดวางขายในราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังมีการปรับตัวเข้ามาสู่โลกออนไลน์มากขึ้นโดยนำสินค้ามาขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ อีกช่องทางหนึ่ง
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำไวน์ให้มีคุณภาพดี และราคาที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถจับต้องได้ ทำให้ปัจจุบัน Knight Black Horse Winery ประสบความสำเร็จในวงการไวน์ผลไม้ไทย ผลิตสินค้าออกได้ 10 ล้านขวดต่อปี มีร้านจำหน่ายไวน์ตามสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายสาขา
.
ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ Knight Black Horse Winery และสนใจการเยี่ยมชมโรงบ่มไวน์สามารถติดต่อได้ที่
Knight Black Horse Winery
21/9 หมู่5 ซ.บงกช45 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
Tel: 089 501 9124, 083-544-7179
Email: kbhwinery@live.com
Facebook: Knight Black Horse Winery
Website : www.winemakerpop.com
Line: @KBH789
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
อาณาจักรวังรี เปลี่ยนเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์
คลินิกเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอาชีพวังรี มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกจากเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยให้สนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการถ่ายทอดความรู้ในการเพาะปลูก วางแผนและพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมกับพืชผักผลไม้ รวมถึงช่วยหาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตผลการเกษตรที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีกินมีใช้
.
ตั้งยุทธศาสตร์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเกษตร
หน้าที่หลักของสถาบันพัฒนาอาชีพวังรี คือ การเข้าไปช่วยเหลือเหล่าเกษตรกร ให้สามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้น ทางสถาบันจึงได้เข้าไปช่วยวางยุทธศาสตร์ในการปลูกผักผลไม้ การทำสวนต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ให้เห็นว่านอกจากการขายผลผลิตแบบสดแล้ว ต้องมีการแบ่งผลผลิตออกไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นเอาไว้ด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า ตลอดจนกระบวนการหาช่องทางการขาย โดยมีแนวคิดว่า ผลผลิตที่เป็นผักผลไม้สดนั้นควรปลูกตรงไหน ขายตรงนั้น ไม่ต้องมีการขนส่ง เพื่อคงความสดใหม่ และช่วยลดปัญหาเรื่องของคนกลางลงได้
.
วังรี คลีน ผักอินทรีย์สดจากสวนถึงมือคุณ
เมื่อมีผลผลิต ก็จำเป็นต้องมีช่องทางการกระจายสินค้า จึงได้มีการทำเป็น วังรี คลีน ขึ้นเป็นแพล็ตฟอร์มการขายสินค้าพืชผลการเกษตรออนไลน์ ผ่านช่องทาง Facebook: Wangree Clean และเว็บไซต์ www.wangreefresh.com รวมถึงเปิดให้มีช่องทางให้สามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความผ่านทาง Line Official Account ไปสั่งจองผักผลไม้สดได้ จากนั้นทางร้านจะจัดส่งผักผลไม้สดจากสวนไปถึงมือลูกค้า อีกช่องทางหนึ่งคือ การกระจายสินค้าไปตามร้านค้าใหญ่ ๆ โดยมีรูปแบบการขายเป็นระบบสมาชิก
ซึ่งผักที่ทางวังรี คลีน จำหน่ายนั้นไม่เพียงแต่สด ใหม่ รสชาติอร่อย แต่ยังมีแนวคิดในการปลูกให้เป็น Functional Food ด้วยการปรับวิธีการปลูกให้เข้ากับคนบางกลุ่มที่มีความต้องการทางโภชนาการแบบพิเศษ เช่น ไม่สามารถรับสารอาหารบางชนิดโดยตรงได้ ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่สั่งสินค้ารูปแบบนี้เป็นประจำ คือ กลุ่มโรงพยาบาล องค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการผักปลอดสารพิษ ไปจนถึงกลุ่มลูกค้าที่ซื้อไปขายต่อ และลูกค้าทั่วไป
.
Plant Factory ปลูกผักอัจฉริยะ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ทางสถาบันเองยังได้มีการนำเทคโนโลยี เพื่อช่วยควบคุมคุณภาพของผลผลิต และช่วยแก้ปัญหาสภาพอากาศให้กับเกษตรกร ด้วยการเปิด Plant Factory คือ โรงปลูกผักอัจฉริยะที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ด้วยระบบเทคโนโลยี เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ประหยัดพื้นที่เพราะใช้พื้นที่ปลูกเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ การทำ Plant Factory จะประกอบไปด้วย โรงเรือนระบบปิดสำหรับกักเก็บความเย็นและกันความร้อน สำหรับช่วยควบคุมแสงและอุณหภูมิการเพาะปลูก จึงทำให้ควบคุมแสงอาทิตย์ได้เหมือนปิดสวิตช์ดวงอาทิตย์ และมีการคิดสูตรคำนวณสัดส่วนการใช้น้ำและปุ๋ยที่เหมาะสมกับพันธุ์พืชแต่ละชนิด ทางสถาบันได้ทำการศึกษาจนได้ผลลัพธ์ที่ลงตัว Plant Factory สามารถช่วยลดระยะเวลาในการเพราะปลูกลงได้จากเดิมถึง 65-75% พืชผักปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ และผลผลิตที่ได้ออกมานั้นล้วนแล้วแต่ปลอดสารเคมี แต่เนื่องจากต้นทุนในการทำ Plant Factory มีมูลค่าหลักล้านบาทขึ้นไป ทางสถาบันจึงส่งเสริมให้เหล่าเกษตรกรรวมตัวกันเพื่อลดจำนวนเงินในการลงทุนและเป็นเจ้าของร่วมกัน
.
Bistro ปลอดสารพิษ
สถาบันวังรียังมองไปถึงอนาคตว่า เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจุดหมายแห่งการท่องเที่ยว จึงต้องการนำเสนอความใส่ใจในสุขภาพที่ถูกผสมผสานเข้ากับสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยแผนการเปิดร้าน Bistro ปลอดสารพิษ จากการนำผักผลไม้เกษตรอินทรีย์มาทำปรุงเป็นอาหาร ให้กับนักท่องเที่ยวที่ไปใช้เวลาพักผ่อน รวมถึงเปิดให้สามารถซื้อผักผลไม้สดกลับบ้านได้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นความตั้งใจของทางสถาบัน ที่ต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเสียก่อน จึงจะได้พบกับร้านอาหารที่เน้นเรื่องการใส่ใจสุขภาพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะแนวคิดของสถาบันวังรี คือ หาความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ (Innovation) แล้วทำการต่อยอด (implement) เพื่อให้วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานเสมอ
.
สามารถติดตาม คลินิกเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอาชีพวังรี ได้ที่
บริษัท วังรี คลีน จำกัด
183/1 ซอย 4 หมู่บ้านนวธานี ถ. เสรีไทย แขวง รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร 10230
โทร. 080 993 9492
อีเมล: supako_san@yahoo.co.th
Website : www.wangreeorganicfarm.com
Facebook: WangreeOrganic
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
หลายคนคงเคยคุ้นหูกับคำว่า ‘Data’ ที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ที่หลาย ๆ บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการนำ Data มาใช้เป็นอันดับต้น ๆ จนมีประโยคที่ออกมาว่า ‘Data is the New Oil’ แสดงให้เห็นว่าข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดสำหรับบริษัทนั่นเอง
แต่ถ้าหากพูดถึง Data หลาย ๆ คนก็อาจจะมองภาพไม่เห็นว่าจะนำมันมาใช้ได้อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร และอาจจะคิดว่าการใช้ Data นั้นก็คงสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว บริษัทขนาดเล็กอาจจะได้เปรียบในเชิงของการนำ Data มาปรับใช้และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่เสียอีก แต่ก็มีหลาย ๆ ธุรกิจที่ยังไม่กล้าและยังไม่เห็นความสำคัญของการใช้ Data ลองมาดูถึงเหตุผลกันว่าทำไมเราถึงต้องปรับตัว และเริ่มที่จะนำ Data เข้ามาใช้กับธุรกิจกัน โดยจะมีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
Data จะช่วยทำให้เราสามารถเห็นภาพรวมของลูกค้าได้มากขึ้น ว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาชอบ ทำไมถึงเลือกที่จะซื้อ มีรูปแบบการซื้ออย่างไร ทำไมเปลี่ยนไปซื้อกับเจ้าอื่น และปัจจัยใดที่ทำให้พวกเขาแนะนำเรากับคนอื่น
เจ้าของธุรกิจยังสามารถที่จะนำ Data มาวิเคราะห์ได้ว่าการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบใดที่จะสามารถทำเราปิดการขายได้ดีขึ้น หรือทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อกับธุรกิจของเราในครั้งต่อไป
Data ที่หาได้แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน มีฟังก์ชันให้เราสามารถดู Data ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นว่าการทำการตลาดหรือคอนเทนต์แบบไหนที่ดึงดูดลูกค้าได้มากกว่ากัน ทำให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเทรนด์ต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การที่เราสามารถรับรู้เทรนด์ได้ทันจะช่วยทำให้คาดการณ์ว่าทิศทางของธุรกิจจะเป็นไปในทางใด ความต้องการของลูกค้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร และอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น การใช้ Data ทำให้การคาดการณ์นั้นแม่นยำขึ้น พร้อมกับการช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับธุรกิจ
อย่างธุรกิจขายปลีก ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์ เราสามารถวัดผลไปถึงรายละเอียดได้ อย่างการนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลภายนอกว่า ช่วงเวลาไหนของปีที่ลูกค้ามักจะเข้ามาซื้อสินค้ามากที่สุด สภาพอากาศมีผลหรือไม่ที่ทำให้สินค้าขายดีขึ้น หรือมีปัจจัยอื่น ๆ อย่างเทรนด์ หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการมากขึ้นหรือลดลง ทำให้ธุรกิจสามารถดูเรื่องความต้องการทางการผลิตสินค้าได้อย่างทันท่วงที
ในอดีตการประเมินคู่แข่งค่อนข้างมีข้อจำกัดมาก แต่ปัจจุบัน เราสามารถหาข้อมูลคู่แข่งในหลาย ๆ ด้านได้จากบนเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ อย่างความนิยมของแบรนด์และสินค้า การมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดีย หรือจะเป็นการพูดถึงของลูกค้าต่อแบรนด์นั้น ๆ และมากไปกว่านั้น เรายังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับธุรกิจของเราได้อีกด้วย ทำให้เราสามารถประเมินได้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ธุรกิจของเรามีความนิยมมากหรือน้อยกว่าแบรนด์คู่แข่ง และเราสามารถปรับปรุงส่วนไหนให้ดีขึ้นได้บ้าง
Data นั้นยังถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงานทางธุรกิจอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบันเราสามารถที่จะเข้าไปดูข้อมูลการทำงานของระบบ เครื่องมือหรือเครื่องจักรได้ อย่างเช่น เครื่องผลิต ระบบการขนส่ง หรือระบบการสั่งสินค้าของลูกค้า ทำให้เราสามารถที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ แก้ไขและพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับธุรกิจออนไลน์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เราก็อาจจะดูได้ว่า Customer Journey ของลูกค้าเป็นอย่างไร มีอุปสรรคทางด้านระบบอะไรหรือไม่ที่ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะไม่ซื้อสินค้า ทำให้เราสามารถที่จะเข้ามาปรับเปลี่ยนระบบการสั่งสินค้า เพื่อที่จะสามารถปิดการขายได้มากขึ้น
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ก็สามารถที่จะนำข้อมูลมาใช้ในการปรับเส้นทางขนส่งให้มีความคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางด้านต่าง ๆ ของการขนส่งสินค้า และยังเสริมประสิทธิภาพการขนส่งให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันธุรกิจใหญ่ ๆ พยายามที่จะผสาน Data กับการทำงานมากขึ้นในทุก ๆ ด้าน อย่าง Google, Facebook, Apple และ Amazon ธุรกิจเหล่านี้ล้วนแต่ใช้ Data กันทั้งหมด หลากหลายธุรกิจไม่สามารถที่จะดำเนินและพัฒนารูปแบบการทำงานโดยปราศจากข้อมูลเหล่านี้ได้เลย เรียกได้ว่าข้อมูลทำให้ทุก ๆ การตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและแม่นยำมากยิ่งขึ้น สำหรับองค์กรเล็ก ๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน เพราะ Data มีบทบาทสำคัญมากที่จะทำให้เราก้าวได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น ภายใต้โลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Messenger รองเท้าสุขภาพกันลื่นจากความห่วงใย
จากความห่วงใยในความปลอดภัยคนในครอบครัว เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ Messenger รองเท้าสุขภาพกันลื่น (Anti-Slip Shoes) ที่มาช่วยแก้ปัญหารองเท้าลื่นเมื่อเจอพื้นที่เปียกน้ำ ด้วยแนวคิด “เปียกน้ำ แห้งไว กันลื่น ใส่สบาย ไม่อับเท้า”
.
รองเท้ากันลื่นช่วยลดอุบัติเหตุ
เพราะได้เห็นผู้สูงอายุที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ จึงเกิดความคิดที่อยากจะทำรองเท้าสำหรับใส่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นล้ม ประกอบกับเห็นว่าในท้องตลาดยังไม่มีรองเท้านี้วางขาย จึงได้เริ่มต้นประกอบทุกอย่างขึ้นด้วยมือของตนเองทุกขั้นตอน ทดลองแก้ไขกับเท้าของคุณแม่ จนสามารถใช้งานได้จริง และมีคนเริ่มเห็น เริ่มรู้จักมากขึ้น จึงคิดที่จะทำจริงจังให้เป็นอาชีพ
.
ก้าวสู่ความสำเร็จ อย่างมั่นคง
เมื่อมีความตั้งใจจริงเกิดขึ้นแล้ว จึงได้มีการเข้าอบรมความรู้เพิ่มเติมกับหน่วยงานต่าง ๆ และได้เริ่มทำการผลิตรองเท้าสุขภาพกันลื่น Messenger ให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อที่จะต่อยอดให้เป็นสินค้า OTOP ปรากฏว่าสามารถส่งประกวดได้เป็นสินค้าระดับ 4 ดาว จึงทำการแก้ไข พัฒนาสินค้าต่อเพิ่มเติมเพื่อก้าวต่อไป คือ มุ่งสู่การส่งออกระดับสากล
ในปัจจุบันทางแบรนด์มีสินค้าทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่นต้นตระกูล รุ่นพิกุล และรุ่นการะเกด ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีลักษณะแตกต่างกัน ในเรื่องของรัดส้นรองเท้าและความสูงของส้นของรองเท้า แม้ลักษณะจะแตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ทุกรุ่นมีจุดร่วมเดียวกัน คือ ต้องกันพื้นลื่นได้เหมือนกัน ในส่วนของผ้าที่นำมาใช้ก็โปร่งสบายไม่อับชื้น รวมถึงน้ำหนักรองเท้าที่เบา ไม่ถึง 300 กรัม ทำให้ใส่สบาย แต่คงทนเพราะใช้การเย็บทั้งหมด และเมื่อเปียกน้ำแล้ว เพียงผึ่งลมก็แห้งได้ภายใน 10 นาที
ถึงแม้ว่าความตั้งใจแรกจะมาจากความต้องการผลิตสินค้าให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ด้วยประโยชน์ของรองเท้าจากทางแบรนด์ จึงก่อให้เกิดกลุ่มคนผู้รักในแบรนด์ Messenger มากขึ้น เช่น กลุ่มคนวัยทำงาน ที่ซื้อสินค้าของทางแบรนด์ไปแล้ว เกิดความชอบ ความประทับใจ จนมักจะถูกซื้อไปฝากคนในครอบครัว อีกทั้งยังมีการบอกกันปากต่อปากถึงคุณภาพ ทำให้เกิดลูกค้ามากขึ้น จนกลายเป็นการกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง อีกกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มคนที่ต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ปฏิบัติศาสนกิจที่กรุงมักกะฮ์ เนื่องจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวของประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำให้รองเท้าของทางแบรนด์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
.
โควิด-19 ทำให้ท้อ แต่ไม่ทำให้ถอย
ปกติแล้วทางแบรนด์จะมีการออกบูธเพื่อจำหน่ายสินค้าเป็นประจำ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมได้อย่างเคย ลูกค้าหายไปมากเกินกว่าครึ่ง แม้ว่าจะท้อใจ แต่ไม่เคยถอดใจ ยังพยายามหาทางให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ด้วยการเพิ่มช่องทางการขายผ่านทางออนไลน์ขึ้น เพราะมั่นใจว่าสักวันหนึ่งโควิด-19 ต้องหมดไป แล้วกลับไปใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ ออกบูธพบเจอลูกค้าได้เหมือนแต่ก่อน
.
แม้ว่าจะมีประเทศจีนเป็นคู่แข่งในตลาด แต่ทางแบรนด์ยังคงยืนหยัดที่จะสู้ด้วยความใส่ใจในการมอบรองเท้ากันลื่นคุณภาพดีให้กับลูกค้า เน้นสินค้าดีมีคุณภาพจากฝีมือแรงงาน เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจและความกล้า ต้องกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ เพื่อวันหนึ่งจะได้กำไรจากสิ่งที่พยายาม
.
สามารถติดตาม Messenger รองเท้าสุขภาพกันลื่น ได้ที่
หจก. บุหรงตันหยงสิมิลัน
55/298 ซ.รามคำแหง154 ถ.รามคำแหง แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง จ.กรุงเทพฯ 10240
โทร. 02-728-2933, 083-857-3534
Email: jongsawat@gmail.com
Facebook: slipershoes
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone