สกู๊ตตาร์ (Skootar) เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพไทย รุ่นแรกๆที่ให้เข้ามาลงสนามโลจิสติกส์และดิลิเวอรี่ ชนิดที่ว่าหลายคนยังไม่รู้จักคำว่าแพลตฟอร์ม โดยเลือกลงแข่งในสนามที่มีการแข่งขันสูงอย่าง “โลจิสติกส์” ซึ่งผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นยักษ์ข้ามชาติ อาทิ ไลน์แมน แกร็ป และโกเจ็ท ซึ่งปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดยแอร์เอเชีย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ถึงขนาดที่ว่ามีผู้เล่นรายใหญ่ข้ามชาติบางรายต้องถอนตัวออกไป แต่สกู๊ตตาร์ที่เป็นสตาร์ทอัพสายเลือดไทยก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
การเข้ามาสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ของสกู๊ตาร์ นับว่ามีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากสกู๊ตตาร์ จะต้องหาจุดเด่นของตนเอง หรือมีความยูนิคในการให้บริการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจเป็นหลัก
ม.ล. กมลพฤทธิ์ ชุมพล CEO บริษัท สกู๊ตตาร์ บียอนด์ จำกัด กล่าวว่าบริษัทเริ่มให้บริการรับ-ส่งเอกสาร (Messenger) ออนไลน์สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและลูกค้าทั่วไป สามารถเรียกใช้บริการได้ผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือ ภายใต้ชื่อ สกู๊ตตาร์ (Skootar) เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมาจากการเข้าเรียนหลักสูตรสตาร์ทอัพ
“สกู๊ตตาร์ เริ่มมา 6 ปี ตอนนั้น ผมกับผู้ร่วมก่อตั้ง ได้เจอกันในคอร์สที่เรียนเกี่ยวกับการทำสตาร์ทอัพของพี่กระทิง (เรืองโรจน์ พูนผล ประธาน บริษัท KBTG) เรามีการคุยไอเดียต่างๆ สุดท้ายมาลงตัวที่ไอเดียนี้เพราะว่า ณ เวลานั้นตอนนั้นก็ยังไม่มีสตาร์ทอัพ เจ้าไหนมาทำในเรื่องส่งของ ส่งเอกสาร ตอนนั้นก็จะมีเฉพาะ Grab taxi เราก็คิดประยุกต์มาเป็นส่งอาหาร ส่งเอกสาร เราก็รู้อยู่แล้วว่าใน กรุงเทพคน ใช้แมสเซ็นเจอร์ (Messenger) กันเยอะโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็เลยเริ่มทำตั้งแต่ตรงนั้น มาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 5 ปีครึ่ง ตอนนั้นผมคิดว่าเป็น Pain point ของธุรกิจ เอสเอ็มอีในบ้านเรา ทางเลือกของเค้าจะใช้ Messenger อิสระ อาจจะราคาสูงด้วยและมีปัญหาเรื่องที่ว่าไม่ได้มีเครือข่าย ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล” ซีอีโอ กล่าว
สกู๊ตตาร์ ในช่วงแรกมี แมสเซ็นเจอร์ให้บริการรับ-ส่งเอกสาร 40 คนโดยมีราคาในการใช้บริการเริ่มต้น ที่ 55 บาทจากนั้นจะราคาเพิ่มขึ้นคิดตามระยะทาง กิโลเมตรละ 9.50 บาท ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ทั้งในรูปแบบเงินสด บัตรเครดิต หรือเป็นรายเดือน
“ตอนแรกรับสมัครคนขับและเทรนนิ่งเอง ในล็อตแรกมีคนขับ 40 คน มันก็เพียงพอ เพราะว่าลูกค้าก็ยังแทบไม่มี ปัจจุบันมีคนขับมากกว่า 15,000 คน คนขับทุกคนมีคะแนนการให้บริการจากลูกค้า และคนขับของสกู๊ตตาร์มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.8 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน แมสเซ็นเจอร์ที่ได้คะแนนสูงจะสามารถเห็นงานมากกว่าแมสเซ็นเจอร์ที่ได้คะแนนน้อย สำหรับแมสเซ็นเจอร์ที่ได้คะแนน 4.2 -4.3 คะแนนจะเห็นออร์เดอร์งานน้อยมาก และในที่สุดก็จะออกจากระบบเอง” ม.ล. กมลพฤทธิ์กล่าว
ม.ล. กมลพฤทธิ์กล่าวต่อว่า สกู๊ตตาร์ ไม่เพียงมีจุดเด่นในเรื่องของการรับ-ส่งเอกสารทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล และคิดค่าใช้จ่ายตามระยะทางจากต้นทางถึงปลายทางเท่านั้น ยังมีการันตรีของเสียหาย มีใบเสร็จรับเงิน หากมีการรับ-ส่งเอกสารและพัสดุของลูกค้าเสียหาย ลูกค้าสามารถเคลมค่าเสียหายได้ไม่เกิน 2,000 บาท ในส่วนของแมสเซ็นเจอร์ ยังมีการอบรมก่อนให้บริการ มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของแมสเซ็นเจอร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและความสบายใจในการใช้บริการแมสเซ็นเจอร์ รวมถึงมีระบบการให้คะแนนกับแมสเซ็นเจอร์ (Rating score) และเปิดโอกาสให้แมสเซ็นเจอร์ที่ได้คะแนนมาก สามารถที่จะเห็นการส่งงานมากกว่าแมสเซ็นเจอรที่ได้คะแนนจากลูกค้าน้อย อีกทั้งลูกค้าสามารถที่จะเลือกใช้แมสเซ็นเจอร์ที่ลูกค้าคุ้นเคยได้
นอกจากนี้สกู๊ตตาร์ ยังมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาระบบการขนส่งด้วย โดยมีการนำเทคโนโลยี ระบบจีพีเอส สำหรับติดตามงาน และโมบายน์แอพพลิเคชั่น มาช่วยในการวิเคราะห์เส้นทางมีการเขียนออการิทึมสำหรับระบบให้คะแนน (Rating score) ด้วย เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“สกู๊ตตาร์ เป็นตัวกลาง เรามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เรามีข้อมูลของพี่คนขับทั้งหมด มีระบบจีพีเอสในตัวแอพพลิเคชันมันจะโชว์ให้ลูกค้าเห็นเลยว่าพี่คนขับอยู่ตรงไหน ทำงานอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว เสร็จหรือยัง เอาของไปถึงหรือยัง ถ่ายรูปได้มีการเซ็นลายเซ็นของผู้รับ ผู้ส่งมาได้และก็มีหลักฐานที่เก็บเอาไว้ได้ชัดเจน มันก็เกิดความสบายใจ ว่าของเรามันไปถึงจริง หรือว่ามันอยู่ตรงไหนแล้วมันตกหล่นหรือป่าว ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆเกิดอุบัติเหตุ คนขับติดต่อไม่ได้ หายตัวไปเราก็มี call center support ว่ามีจริง ทำให้ลูกค้าสบายใจขึ้นในแง่ของความสบายใจในการใช้บริการ สกู๊ตตาร์ เป็นบริการเรียก Messenger online ณ ปัจจุบันเราเรียกตัวเองว่าเราเป็น บริการขนส่งออนไลน์สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี” ซีอีโอ กล่าว
ปัจจุบันสกู๊ตตาร์ ได้พัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมีคุณภาพให้กับลูกค้าโดยเน้นลูกค้ากลุ่มองค์กร และธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นหลัก ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่บริการรับ-ส่งเอกสาร โดยแมสเซ็นเจอร์ด้วยรถมอเตอร์ไซต์ บริษัทยังขยายบริการไปยังการส่งสินค้าที่มีขนาด 50x50x80 เซ็นติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม ส่งอาหาร บริการส่งพัสดุด้วยรถสี่ล้อ ซึ่งเริ่มให้บริการในปีที่ผ่านมา มีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 120 บาท
บวกระยะทางที่เพิ่มขึ้นกิโลเมตรละ 10 บาท และภายในปลายปีนี้จะมีการนำรถกะบะมาให้บริการ ส่งของส่งพัสดุด้วย
“ตอนนี้มีมอเตอร์ไซต์กับรถสี่ล้อ เป็นรถสี่ล้อ 4 ประตู 5 ประตู ที่ให้บริการอยู่ และภายในปลายปีนี้ไตรมาสสาม ไตรมาสสี่จะมีรถประภทอื่นด้วยพวกรถกะบะ ต่างๆเข้ามาโดยตัวระบบยังใกล้เคียงกันอยู่เพียงแต่ว่าจะมีตัวเลือกให้กับทางลูกค้ามากขึ้น และเราต้องปรับตัวออการิทึมบางส่วน เนื่องจากมอเตอร์ไซค์อาจจะมีการขนส่งเป็นแบบนึง ไม่ค่อยมีรถติดไม่ต้องสนใจเรื่องรถติด พอเป็นรถใหญ่ ก็ต้องสนใจเรื่องรถติดด้วย” ซีอีโอ อธิบาย
ม.ล. กมลพฤทธิ์กล่าวต่อว่า ทิศทางในการทำธุรกิจของสกู๊ตตาร์จะเน้นให้บริการที่ตอบโจทย์ธุรกิจเอสเอ็มอี ร้านอาหาร มุ่งเพิ่มความหลากหลายของบริการเพื่อรองรับธุรกิจเอสเอ็มอี และมีบริการรองรับลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายลูกค้าไปยัง ชลบรี พัทยา ศรีราชา รวมถึงจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ นครราชสีมา และ เชียงใหม่ ซึ่งคาดว่าจะขยายบริการไปเชียงใหม่ในกลางปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการและตอบโจทย์ลูกค้า เนื่องจากตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“อุตสาหกรรมดิลิเวอรี่ ยังโตได้อย่างต่อเนื่อง จริงๆจะต้องมองแยกเป็น เซ็กเม้นท์ (Segment)ด้วย ของอาหารชัดเจนอย่างไงก็โต ทุกคนเห็นพร้อมต้องกันแล้วว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนมา สั่งอาหารกินที่บ้านเยอะขึ้น ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็โตต่อ เพราะว่าที่เมืองนอก เมืองจีนก็ยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะกว่านี้เทียบกับตลาดอาหารทั้งหมด ของเราก็โตต่อ ลักษณะธุรกิจคล้ายๆกัน อันที่สอง เป็นพวกส่งสินค้าอันนี้ก็เป็นเทรนด์ของอีคอมเมิร์ซที่เราก็พอเห็นจากอเมริกาเหมือนกันว่า มัน ด่วนขึ้นเรื่อยๆ คือแต่เดิมส่งกันถ้าเราจำได้สมัย 5ปีที่แล้ว เราซื้อของ Lazada ส่งของ2 วันเราก็ว่าเร็วแล้ว เดี๋ยวนี้เริ่มมาวันเดียว หรือว่าภายในวันก็จะเริ่มมี ซึ่งตรงนี้มันเป็นบริการขนส่งด่วนของ สกู๊ตตาร์ก็เริ่มเข้ามามีส่วนในสินค้าบางประเภท ยกตัวอย่างเช่น สินค้าไอที”
ปัจจุบันสกู๊ตตาร์ ให้บริการหลัก ประกอบด้วย บริการรับ-ส่งจดหมาย ขนส่งของด้วยรถยนต์ ส่งอาหาร รวมถึงช่วยพันธมิตร บริษัทเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นส่งอาหาร (Food delivery) ภายใต้ชื่อ โรบินฮู้ด (Robinhood) ในการส่งอาหารให้กับลูกค้าและ ขนส่งออนดีมานท์ (On demand) ซึ่งเป็นบริการส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมง เช่นบริการส่งสินค้าไอที โดยบริษัทจะร่วมกับพันธมิตร เมื่อพันธมิตรมีการเปิดตัวสินค้าใหม่และต้องการส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมงหลังเปิดตัวสินค้าใหม่ ส่งสินค้าสำหรับลูกค้าที่ซื้อผ่านอีคอมเมิร์ซ ไปยังลูกค้าทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นต้น
นอกจากนี้ในปีผ่านมาบริษัทยังขยายธุรกิจในรูปแบบการขายไลเซ่นส์ซอฟต์แวร์ให้กับบริษัทที่ต้องการระบบรับส่งสินค้าของสกู๊ตตาร์ โดยบริษัทจะมีการปรับซอฟต์แวร์ (Customized software) ให้ตรงความต้องการของธุรกิจเพื่อลูกค้าธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งสินค้าภายในบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับสัดส่วนลูกค้าของบริษัท กลุ่มลูกค้าบีทูบีและเอสเอ็มอียังเป็นลูกค้าหลักมีสัดส่วนอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์และอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกค้าทั่วไป
“ลูกค้าหลักของเรา เป็นองค์กร บีทูบีและเอสเอ็มอี เราก็อยู่ในจุดที่ว่าเราดูแลลูกค้าที่เราทาร์เก็ต (Target) หรือว่าที่เราเกิดมาเพื่อเขาซึ่งมันก็คือกลุ่มเอสเอ็มอีก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเขาให้เยอะขึ้น และสร้างประสบการณ์หรือว่าบริการที่มันตอบโจทย์เขาให้ต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ ม.ล. กมลพฤทธิ์ยังกล่าวถึงธุรกิจในช่วงโควิด-19 ว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากโควิด-19 พอสมควร ทำให้มีการให้บริการลดลงในช่วงแรกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากได้รับผลกระทบในการรับ-ส่งเอกสารของลูกค้าบริษัททัวร์ที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันมีลูกค้ามาใช้บริการในการส่งอาหารมากยิ่งขึ้น ทำให้ยังมีฐานลูกค้าองค์กรที่ยังมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่องประมาณ 20,000 ราย
ม.ล. กมลพฤทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงโควิดนี้ สกู๊ตตาร์ นอกจากให้บริการส่งเอกสาร ส่งอาหารและส่งพัสดุแล้ว ยังร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี สำนักอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ส่งอาหารให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ที่บ้าน (Home isolation) ทั่วกรุงเทพมหานครด้วย
อย่างไรก็ตามในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 บริษัทมีความพร้อมในการดูแลธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น และมีความรวดเร็วพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีการบริหารกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงรักษาฐานลูกค้า ให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า และดูแลทีมให้ดีที่สุดมีระบบที่ยืดหยุ่นสามารถรองรับการทำงานที่บ้านให้กับพนักงาน (Work form home)
นอกจากนี้บริษัทยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพยากรณ์ (Predictive Analytics) มีการทำ Data mining ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลจำนวนมาก (Big data) เพื่อให้บริษัทสามารถวางแผนและกำหนดการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการปรับออการิทึมต่างๆ เพื่อในการปรับเส้นทางทำให้การบริการขนส่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับบริการขนส่งออนไลน์เคียงคู่ธุรกิจไทย ที่มีบริการที่หลากหลาย มีการพัฒนาเทคโนโลยีมาช่วยประสิทธิภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง
และบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายบริการทั่วประเทศในอีก 3 ปีข้างหน้า
“สกู๊ตต้าเราเน้นพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจตรงนี้ทุกคนพยายามแข่งกันอยู่ว่าใครสามารถให้บริการได้ในราคาที่เหมาะสมจุดเด่นของเราเน้นในเรื่องคุณภาพการบริการดูแลคนขับที่มีคุณภาพ” ม.ล. กมลพฤทธิ์ กล่าว
การเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัวที่ทำธุรกิจผลิตกะปิขายในแบรนด์ “กะปิแม่ยินดี” กะปิขึ้นชื่อในจังหวัดพัทลุง ทำให้คุณสุขศิริ ฤทธิเดช มีความตั้งใจที่จะสานต่อกิจการจากรุ่นแม่อยู่แล้ว แต่ประสบการณ์การทำงานในประเทศอังกฤษนาน 7 ปี ได้เปลี่ยนความคิดและทำให้เธอตัดสินใจที่จะต่อยอดธุรกิจให้ไปไกลกว่าเดิม
หลังกลับมาจากอังกฤษสิ่งแรกที่เธอทำคือ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยการเข้าสู่โมเดิร์นเทรด แต่ก็ต้องพบว่าเจอโจทย์หิน เพราะการเอากะปิเข้าห้างสรรพสินค้านั้นเต็มไปด้วยเงื่อนไข และข้อจำกัดมากมายที่กะปิแบบเดิมๆ ไม่สามารถเข้าไปทำตลาดได้ ไหนจะมีคู่แข่งที่อยู่ในชั้นวางของอยู่แล้ว ซ้ำยังมีราคาถูกกว่ากะปิแม่ยินดี นั่นหมายความว่า หากลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักรสชาติกะปิแม่ยินดีมาก่อน ย่อมไม่เลือกซื้อกะปิที่ราคาแพงกว่า
การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายที่เคยวางไว้เป็นตัวตั้งในการทำงานจึงถูกตีตกไป ในเมื่อการเปลี่ยนใจลูกค้าที่เคยใช้กะปิในกระปุกแบบเดิมเป็นเรื่องยาก เลยหันมาสร้างฐานลูกค้าใหม่ด้วยวิธีการใช้กะปิแบบใหม่ซะเลย
สุขศิริ ฤทธิเดช ผู้จัดการฝ่ายขาย ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยนิคะ กล่าวว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นเป้าหมายที่ใหม่ที่เธอตั้งใจที่จะสร้างฐานขึ้นมา ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมในกลุ่มนี้พบว่ามีทัศนคติว่าอาหารเมนูกะปิทำยาก หากอยากกินต้องไปที่ร้านอาหารเท่านั้น ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ไม่ชอบกะปิเพราะกลิ่นเหม็น เลยนำโจทย์นี้มาคิดเป็นของที่มีนวัตกรรมให้ง่ายต่อการใช้งานรองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่
“เราวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่นทั่วประเทศอายุ 22 ปีขึ้นไป โดยไม่เน้นภาคใดภาคหนึ่ง หลังทำการวิจัยแล้วพบว่า แม้คนใต้จะเป็นกลุ่มกินกะปิที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นซึ่งยังนิยมใช้กะปิแบบเดิมอยู่ดี ดังนั้นจึงตั้งใจเจาะคนรุ่นใหม่ที่ชอบลองของใหม่ และอยากทำกับข้าวด้วยวิธีไม่ยุ่งยาก”
แน่นอนว่าการทำกับข้างด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยากจำเป็นต้องเอากะปิออกจากประปุก มาเป็นผลิตภัณฑ์กะปิแบบใหม่
เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน ทีมงานจึงทดลองเปลี่ยนรูปแบบเป็นก้อนกะปิคล้ายซุปก้อน และกะปิแบบผงปรุงรส แต่ก็พบว่าทั้ง 2 อย่างนี้ยังได้ผลไม่เป็นที่พอใจ เพราะรสชาติไม่อร่อยเท่าเดิม จนสุดท้ายเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบซอสกะปิปรุงรส ซึ่งนอกจากจะสามารถรักษาต้นตำรับความอร่อยไว้ได้แล้ว ยังตอบโจทย์ด้านความสะดวกต่อการใช้งาน เหมาะกับการใช้ชีวิตในเมืองที่ทำกับข้าวไม่เป็นก็สามารถเทซอสปรุงอาหารในเมนูกะปิได้ง่ายๆ
“ซอสกะปิ “เคยนิคะ” ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมครั้งแรกในตลาดซอสปรุงรสที่ทำมาจากกะปิ โดยนำกะปิซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของคนใต้มาผ่านกระบวนการการย่อยสลายโดยเอนไซม์ ย่อยโปรตีนและไขมันจากกุ้งเคย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และจุลินทรีย์ในกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ ช่วยทำให้เกิดกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมคงเอกลักษณ์การเป็นกะปิไว้ สามารถใช้งานในรูปแบบซอสเหมือนกับซอสมะเขือเทศ และซอสพริก แก้ปัญหาการใช้งานกะปิในรูปแบบเก่าที่ใช้งานยุ่งยากและต้องมีขั้นตอนการเตรียมและการชั่งตวงที่ยุ่งยาก ไม่เหมาะกับในยุคสมัยปัจจุบัน และยังลดปัญหาการปนเปื้อนจากการผลิตกะปิในปัจจุบัน เหมาะกับการนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้กะปิเป็นตัวชูรสอาหารให้กลมกล่อม และทำให้ทานอาหารได้อร่อยขึ้น ซึ่งสามารถใช้เป็น Base Sauce หรือเครื่องปรุงรสพื้นฐานแทนการใช้หรือร่วมใช้กับซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม น้ำปลาร้า และน้ำปลา จึงเป็นซอสที่ทำอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งผัด ยำ และน้ำพริก”
สุขศิริ เน้นย้ำว่า เนื่องจากซอสกะปิแบบนี้ไม่เคยมีในไทยมาก่อน เคยนิคะจึงวางตำแหน่งซอสกะปิเป็นเครื่องปรุงรสพื้นฐานที่สามารถไปใช้กับซอสอื่นได้ แม้จะตีตลาดในซอสผัด แต่ไม่ขอไม่แข่งกับใคร เพราะอยากให้ซอสกะปิเคยนิคะไปช่วยให้อาหารอร่อยขึ้น
สุดท้ายนี้สุขศิริ มีแนวคิดการต่อยอดกิจการครอบครัวมาฝากว่า การต่อยอดด้วยวิธีคิดนอกกรอบเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในอีกทางหนึ่งทายาทต้องกลับไปหา Core Value ของธุรกิจรุ่นพ่อรุ่นแม่ให้เจอ เพื่อนำมรดกเหล่านั้นมาพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าให้ดียิ่งขึ้น
“ทายาทผู้รับไม้ต่อต้องคุยกับรุ่นพ่อแม่ และเข้าใจเขาเยอะๆ อาจจะเหนื่อยในการอธิบายในสิ่งใหม่ที่เรากำลังจะทำ ก็ต้องมาทำความเข้าใจร่วมกันโดยใช้เหตุผล หรือผลการสำรวจต่างๆ มาอธิบาย ซึ่งการทำธุรกิจครอบครัว ข้อดีคือทายาทไม่ต้องมานับศูนย์ใหม่ แต่ต้องหาแวลูเพื่อต่อยอด สำหรับซอสกะปิเคยนิคะ เรามีคอนเซ็ปต์การพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลังจากที่เรามั่นใจว่ารสชาติกะปิของครอบครัวอร่อยไม่แพ้ใคร เราจึงขยายฐานหาคนกลุ่มลูกค้าใหม่ และใช้ความได้เปรียบที่เราเข้าใจลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่ารุ่นพ่อแม่ แล้วหาทางพัฒนาสินค้าแบบใหม่ที่มีรสชาติความอร่อยแบบกะปิแม่ยินดีเหมือนเดิม และช่องทางจัดจำหน่ายให้โดนใจกลุ่มนี้”
คอนเซ็ปต์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังยังถูกนำมาใช้กับการตั้งชื่อแบรนด์ “เคยนิคะ” ด้วย
“ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้ชื่อที่ทำให้คนจำง่าย จึงเลือกที่จะใช้ชื่ออื่นแทน “กะปิแม่ยินดี” ซึ่งเป็นแบรนด์เดิม แต่ในเวลาเดียวกันแบรนด์นั้นก็ต้องแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของภาคใต้ด้วย จึงนำคำว่า “เคย” ซึ่งแปลว่ากะปิในภาษาใต้ แล้วกะปิก็ทำมาจากกุ้งเคยมาเป็นตัวตั้ง แล้วหาคำที่เรียกแล้วเข้าปาก เลยเป็นที่มาของเคยนิคะ สร้างการจดจำได้ทันที เพราะคนใต้ที่รู้จักคำว่า “เคย” อยู่แล้วก็เข้าใจว่ามันคือกะปิ ส่วนใครที่ไม่รู้จักคำนี้อาจจะคิดว่าเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นหรือเปล่า ซึ่งการตั้งข้อสังเกตในลักษณะนี้ก็ช่วยให้คนจดจำแบรนด์ได้เร็วขึ้นในอีกทางหนึ่ง”
สำหรับช่องทางการจำหน่ายนั้น ปัจจุบันซอสกะปิเคยนิยะขนาด 290 กรัม ราคาขวดละ 79 บาท มีจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างโฮมเฟรชมาร์ท ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และวิลล่า มาร์เก็ต ส่วนแผนต่อไปจะเป็นการส่งออกไปต่างประเทศ ทั้งในยุโรป และ CLMV ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนาซอสกะปิสูตรใหม่ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือการนำอาหารใต้สู่อาหารโลก โดยใช้นวัตกรรมผสมผสานกับรากเหง้าของอาหารท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย คาดว่าภายในปีหน้าจะสร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการซอสได้อีกครั้ง
หากมองเข้ามาที่ตัวเลขร้านค้าปลีกขนาดเล็กในรูปแบบดั้งเดิมที่เรียกว่าโชวห่วยแล้ว จะพบว่า ปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ราว กว่า 4 แสนร้าน ตัวเลขนี้ เป็นตัวเลขที่ไม่ขึ้นลงมานานหลายปี เพราะขณะที่มีร้านโชวห่วยหลายรายต้องปิดกิจการไป แต่ก็มี SMEs ที่สนใจเปิดร้านโชวห่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเลขรวมอยู่ในระดับนี้มาหลายปี
ร้านโชวห่วย ถือเป็นช่องทางขายสำคัญของสินค้าอุปโภคและบริโภค เพราะนอกจากจะเข้าถึงกลุ่มคนได้อย่างลงลึกในระดับหมู่บ้านแล้ว ยังถือเป็นช่องทางขายของสินค้าโดยเฉพาะกับแบรนด์เล็กๆ ที่มีอำนาจต่อรองกับเชนค้าปลีกโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ไม่มากนัก ได้ใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับรากหญ้า
ด้วยการที่ เป็นช่องทางขายที่เข้าถึงคนทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี ทำให้มีการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หากสามารถร้อยเรียงร้านค้าพวกนี้เข้ามาอยู่ในซัพพลายเชนที่สร้างขึ้น โอกาสที่จะมีเครือข่ายการขายที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าก็มีมากตามไปด้วย ทำให้หากสามารถรวบรวมตัวเลขร้านโชวห่วยเข้ามาอยู่ในเชนที่สร้างขึ้น โอกาสที่จะพัฒนาหรือต่อยอดให้เป็นมากกว่าร้านขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมของการให้บริการรูปแบบต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปนัก
การสร้างโมเดลร้านโชวห่วยในรูปของ “คอนวีเนียนสโตร์ ท้องถิ่น” ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ถูกดี มีมาตรฐาน” ของเจ้าพ่อคาราบาวแดง เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ที่ทำในนามบริษัท บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะเป้าหมายสำคัญของการขยับตัวทางธุรกิจครั้งนี้ ไม่ได้มองแค่การมีร้านค้าปลีก แต่มองถึงการเป็น Point of Everything ที่สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้มากมาย
ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ถูกส่งเข้ามาในตลาดครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยมองถึงการเข้ามาจับมือกับผู้ประกอบการร้านโชวห่วยที่มีประมาณกว่า 400,000 ร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนเป็นร้านถูกดี มีมาตรฐาน โดยทีดี ตะวันแดง จะเป็นคนเข้าไปช่วยวางระบบบริหารจัดการค้าปลีกรูปแบบใหม่ รวมถึงการบริหารจัดการ และการทำรายการส่งเสริมการขายเพื่อให้สามารถยกระดับการทำธุรกิจให้มีมาตรฐานเหมือนกันทั่วประเทศได้ ซึ่งถือเป็นโมเดลการทำร้านโชวห่วยที่ค่อนข้างน่าสนใจ
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทีดี ตะวันแดง ตั้งใจจะให้ SMEs ที่เป็นผู้ประกอบการร้านโชวห่วยเข้ามาร่วมอยู่ในเชนด้วยการไม่คิดค่าแฟรนไชส์ แต่เป็นการแชร์กำไรร่วมกัน โดยร้านโชวห่วยที่สนใจต้องเสียเงินค่ามัดจำสินค้าจำนวน 2 แสนบาท และเงินจำนวนนี้จะได้คืนเมื่อเลิกทำ
ขณะที่ ทีดี ตะวันแดง จะจัดหาสินค้าหมุนเวียนเข้ามาขายในร้านให้ และจะใช้วิธีแบ่งผลกำไรกันโดยเจ้าของร้านโชวห่วยจะได้ 85% ส่วนทีดี ตะวันแดง จะได้ 15% ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างดี เพราะเงินลงทุนที่ต้องควัก หากไม่มีเงินก้อน ก็สามารถขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินอย่างธนาคารกสิกรไทยในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำได้
หลังจากตกลงร่วมเป็นพาร์ทเนอร์แล้ว จะต้องมีการตกแต่งร้านให้ออกมาในมาตรฐานเดียวกัน โดยทีดี ตะวันแดงจะเป็นคนวางระบบบริหารจัดการให้ โดยจะมีการลงเครื่อง P.O.S หรือ Point of Sales ให้ ซึ่งเจ้าเครื่องดังกล่าวนี้ จะเป็นตัวเชื่อมโยงระบบการขายมาที่บริษัทแม่ ทำให้สามารถรู้ข้อมูลว่าสินค้าตัวไหนขายดี ไม่ดีอย่างไร
ทีดี ตะวันแดง เริ่มทดลองทำร้านถูกดี มีมาตรฐาน ด้วยการลงทุนเองเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยทดลองเปิดร้านในจังหวัดนครปฐม อุดรธานี ขอนแก่น และพิษณุโลก พบว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงเดินหน้าหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาร่วมอยู่ในเชน โดยเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ย้ำว่า ไม่ได้ต้องการแข่งกับร้านโชวห่วยที่มีอยู่ แต่ต้องการเข้าไปช่วยยกระดับให้โชวห่วยมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะปัญหาที่ผ่านมาของการทำร้านโชวห่วยก็คือ การขาดการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงขาดเทคโนโลยีที่เป็นเรื่องสำคัญของการบริหารจัดการร้านค้าปลีกในปัจจุบัน
ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะมีการเปิดร้านถูกดี มีมาตรฐานให้ครบ 6,000 ร้านภายในปีนี้ ส่วนในปีนี้ จะขยับขึ้นไปเป็น 30,000 ร้าน และจะเพิ่มเป็น 50,000 ร้านค้าภายในปี 2566 ซึ่งการมีจำนวนสาขาที่มากขนาดนั้น จะทำให้ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ก้าวขึ้นมาเป็นเชนค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าระดับรากหญ้าได้แบบลงลึกทั่วประเทศ ซึ่งนั่นจะทำให้สามารถต่อยอดไปสู่การเป็น Point of Every Thing หรือเป็นเครือข่ายที่ทำได้ทุกสิ่งอย่าง ทั้งในเรื่องของการให้บริการจ่ายบิล ลงทะเบียน หรือแม้แต่การสร้างรายได้จากค่าโฆษณา ณ จุดขาย
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เสถียรเลือกโมเดลการทำธุรกิจแบบ Sharing โดยยืนยันว่า นอกจากการดึงร้านโชวห่วยเข้ามาร่วมกันพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังจะเป็นช่องทางในการช่วยเหลือเจ้าของสินค้าโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กๆ ในพื้นที่ที่สามารถใช้เป็นช่องทางขายได้ โดยเริ่มทำบ้างแล้วกับสินค้าในกลุ่มน้ำปลาร้าที่มีผู้ผลิตในพื้นที่ภาคอีสานเข้ามาเป็นพันธมิตร นำสินค้ามาวางขายในสาขาต่างๆ
ปัญหาใหญ่ของเจ้าของสินค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ในการนำสินค้าเข้าไปวางขายในเชนร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ก็คือ การมีต้นทุนในการขายค่อนข้างมาก จากค่าเรียกเก็บต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs บางรายต้องเลือกที่จะธุรกิจในรูปแบบของผู้รับจ้างผลิตสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ให้กับเชนค้าปลีกแทน ขณะที่มีไม่น้อย ต้องยอมที่จะแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ เพื่อให้มีที่ยืนในร้านค้าปลีกที่เป็นเชนขนาดใหญ่
ขณะที่ การมียอดสั่งซื้อจำนวนมากจากการทำร้านซี เจ เอ็กซ์เพรส ที่เป็นซูเปอร์ คอนวีเนียนสโตร์ในเครือของทีดี ตะวันแดงที่มีอยู่มากกว่า 600 สาขาในปัจจุบัน ทำให้มีวอลุ่มการสั่งซื้ออยู่แล้ว ส่งผลให้ได้ต้นทุนสินค้าที่ค่อนข้างต่ำ จึงสามารถขายสินค้าในราคาถูกได้ ซึ่งเสถียรบอกว่า จากการทดลองทำร้านของตัวเอง สามารถมียอดขายออกมาเฉลี่ย 10,000 บาทต่อวัน ซึ่งมากกว่าที่โชวห่วยทั่วไปที่ทำได้เฉลี่ยวันละ 2,000 – 3,000 บาท ทำให้แต่ละร้านที่ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ สามารถมีรายได้เฉลี่ย 2 – 3 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นรายได้ที่สามารถอยู่ได้อย่างสบายในต่างจังหวัด
เสถียร ย้ำให้เห็นภาพว่า ธุรกิจค้าปลีกมีมาร์จิ้นค่อนข้างต่ำ หักค่าบริหารจัดการแล้วเหลือแค่ 2% การวางเป้าหมายให้ร้านถูกดี มีมาตรฐานเป็น Point of Everything จึงถือเป็นตัวช่วยที่จะทำให้สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ตามมาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของการทำค้าปลีกในลักษณะของการเป็นเชนที่มีจำนวนสาขามากๆ นั้น ระบบหลังบ้านต้องดี ซึ่งการทำร้านซีเจ เอ็กซ์เพรสมาก่อน ทำให้มีการลงทุนเรื่องของระบบและได้คนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเป็นพลังขับเคลื่อน ส่วนเรื่องของคลังสินค้าที่จะเข้ามาดูแลการกระจายสินค้าเข้าร้านนั้น ปัจจุบันมีอยู่ 8 แห่งทั่วประเทศ เป็นคลังสินค้าในรูปแบบเช่าซึ่งเป็นการทดสอบตลาดก่อนที่จะมีแผนการลงทุนทำคลังสินค้าของตัวเอง 15 แห่งในปีหน้านี้ ใช้เงินลงทุนเฉลี่ยต่อแห่ง 3,000 ล้านบาท
ถูกดี มีมาตรฐาน ถือเป็นอีกการขยับตัวเพื่อปูทางไปสู่การเป็นร้านโชวห่วยโมเดลใหม่ที่มีเครือข่ายที่เข้มแข็งทั่วประเทศ ซึ่งทำให้คนที่อยากจะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการ SMEs ร้านโชวห่วย แม้จะไม่มีประสบการณ์ก็สามารถทำได้ทันที
ถูกดี มีมาตรฐานจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ประกอบ SMEs ที่วันนี้สามารถสร้างธุรกิจร้านค้าปลีกขนาดเล็กของตัวเองโดยมีระบบการบริหารจัดการค้าปลีกสมัยใหม่เข้ามาช่วยสนับสนุนในวงเงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอข้อมูลหรือขอร่วมเป็นพันธมิตรได้หลากหลายช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ที่หมายเลข 02 023 8888 เว็บไซต์ www.ร้านถูกดีมีมาตรฐาน.com เฟสบุ๊กร้านถูกดีมีมาตรฐานพาร์ทเนอร์ และ Line official @tdofficial หรือสมัครโดยตรงที่สำนักงานใหญ่ อาคาร 393 สีลม ชั้นที่ 3 เลขที่ 393 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
ภาพที่คุ้นเคยที่เราเห็นนักลงทุน นั่งจ้องกระดานหุ้นเพื่อดูตัวเลขการลงทุนของหุ้นที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่ตลาดหุ้นเปิด จนกระทั่งตลาดหุ้นปิดในแต่ละวัน ภาพที่เคยชินจะค่อยๆลดจำนวนลง เมื่อบริษัทสตาร์อัพทางด้านการเงิน (FinTech)ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือ Deep technology เช่นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หรือ เอไอ เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์การลงทุนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีมาช่วยในการวิเคราะห์การลงทุนให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ จิตตะ เวลธ์ หนึ่งในสตาร์ทอัพทางด้านการเงิน หรือ FinTech ที่เล็งเห็นประสิทธิภาพของการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มโฮกาสในการลงทุนและทำให้กาลงทุนในยุคดิจิทัลมีความเสี่ยงลดน้อยลง มีประสิทธิภาพในการลงทุนมากยิ่งขึ้นกว่า
จิตตะ เวลธ์ เป็นหนึ่งอีกแฟลตฟอร์มทางการเงินที่เกิดจากสตาร์ทอัพฝีมือคนไทย ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google ในประเทศไทย
จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มจิตตะ เวลธ์ มาจากความต้องการที่จะคนทั่วไปได้เข้าถึงการวางแผนทางการเงิน การลงทุนได้มากที่สุด เนื่องจากคนไทยมีอัตราของคนที่มีพอร์ตลงทุนหรือพอร์ตกองทุนเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ อาทิ การวางแผนเพื่อที่จะเกษียณอายุน้อยมาก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11% ของประชากรทั้งหมด จึงเห็นโอกาสที่คนไทยยังมีเงินจำนวนมากกว่า 6 ล้านล้านบาทที่ยังไม่มีการลงทุน
“จิตตะ เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน หรือ FinTech ที่ช่วยให้นักลงทุนได้กำไรที่ดีกว่าด้วยวิธีการที่ง่ายกว่า จิตตะใช้เอไอในการคัดเลือกวิเคราะห์คัดเลือกหุ้นที่มีระสิทธิภาพการลงทุนมาให้อัตโนมัติ ที่เรียกว่า automated system ก็คือทำงานอัตโนมัติจะเน้นเรื่องของการใช้เทคโนโลยีมาทำงานแทนคน โดยมีเทคโนโลยีเอไอ เป็นอันดับแรกอันดับที่สองเทคโนโลยีที่เรียกว่า automated investing technology การจัดการการลงทุนโดยอัตโนมัติ ระบบจะปรับพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ ทำให้เพิ่มโอกาสในการลงทุนในยุค New Normal” นางสาวพรทิพย์ กองชุน Co-founder บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด กล่าวและว่า
ความตั้งใจตในการทำแพลตฟอร์มนี้คืออยากนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หรือ AI มาช่วยในการบริหารจัดการกองทุนหุ้นแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว สามารถปรับพอร์ตการลงทุนเป็นระบบด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังช่วยบริหารจัดการให้นักลงทุนรายย่อยด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automated investing) จัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกให้เหมาะสมกับผู้ลงทุน เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้อย่างถูกต้อง สร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน Jitta Wealth ให้บริการ 3 รูปแบบได้แก่ Jitta Ranking, Global ETF และ Thematic
โดยในส่วนของ Jitta Ranking คือ อัลกอริทึมวิเคราะห์หุ้นด้วยเทคโนโลยี AIเป็นการจัดอันดับหุ้นน่าลงทุน ในราคาที่เหมาะสม น่าลงทุนที่สุดในระยะยาว ตามหลักกการลงทุนเน้นคุณค่าของวอร์เรน บัฟเฟตต์
สำหรับ Global ETF (Exchange Trade Fund) เป็นกองทุนส่วนบุคคล เพื่อรองรับการลงทุนต่างประเทศด้วยการนำเทคโนโลยีจัดพอร์ตลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) ในรูปแบบของการกระจายลงทุนจัดพอร์ตให้เหมาะสมด้วยหุ้น หุ้นกู้ และพันธบัตร กระจายความเสี่ยง ครอบคลุมสินทรัพย์รอบโลก ส่วนของ Thematic เป็นนโยบายจัดพอร์ตการลงทุนตามกลุ่มธุรกิจอนาคตที่มีโอกาสเติบโตสูงในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน เวียดนาม สหรัฐ หรือลงทุนในอุตสาหกรรมที่มาแรง เช่น อีคอมเมิร์ซ เทคโนโลยี สุขภาพ เกม หรือ E-sport โดยปัจจุบันให้บริการรองรับ 16 รูปแบบ (Themes)
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนกับ จิตตะ สามารถที่จะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 100,000 บาท และยังสามารถเพิ่มทุนได้ตลอดเวลา มีการถือครองหุ้นอย่างน้อย 1 ปี ปัจจุบัน จิตตะ มีลูกค้านักลงทุนประมาณ 20,000 ราย แบ่งเป็นลูกค้าคนไทย 90 % และลูกค้าต่างชาติที่อยู่ในไทย 10 %โดยนักลงทุนมีการลงทุนในหุ้น 80 %และอีก 20 % เป็นการลงทุนในรูปแบบของกองทุน Global ETF ตามหลักการของ วอร์เรน บัฟเฟตต์
จิตตะ ก่อตั้งมา 9 ปีแล้วและมุ่งเน้นในการทำธุรกิจที่ตลาดไทยก่อนเนื่องจากตลาดไทยถือว่าเป็นตลาดที่มี่ขนาดใหญ่มาก คนที่มีเงินแล้วยังไม่ได้ลงทุนในประเทศไทย มีเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 6 ล้านล้านบาท จิตตะตั้งเป้าที่จะช่วยนักลงทุนมีการลงทุนผ่านจิตตะ ที่ 1 % หรือมีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาทในอีก 2-3 ปีข้างหน้านอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ การวางแผนการเงินที่เป็นสินทรัพย์อื่นๆที่ไม่ใช่หุ้นเพียงอย่างเดียว เช่น มีเรื่องของพันธบัตรประกันสุขภาพประกันชีวิต เป็นต้น
“เรามองว่าประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่ยังมี Opportunity เรียกว่าจะโตได้อีก โปรดักส์ของประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เราได้กำไรอยู่ประมาณ 40% ถ้าเป็นของ Global ETF ก็ประมาณ 20%ตลาดสหรัฐก็ประมาณ 20% ขณะที่ตลาดเวียดนามมีกำไรจากการลงทุนมากกว่า 100 % ถ้าลงทุนกับจิตตะก็ถือว่าชนะ Index ของตลาดการลงทุน” พรทิพย์ กล่าว
นอกจากนี้ในส่วนของจุดเด่นของจิตตะ เมื่อเทียบกับ บลจ.อีก ประมาณ 30 รายในตลาดแล้ว จิตตะ เป็น บลจ. ที่มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการ พอร์ตให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด มีการใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดการทุกกระบวนการ ใช้คนและสามารถขยายการทำงาน (Scale) ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
พรทิพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีทีมงานประมาณ 50 คน และอยู่ระหว่างเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการเติบโตประมาณ 4 เท่า หรือ 400 %ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทได้เปิดบริการใหม่ ในช่วง COVID-19 เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
“ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 เราได้เปิดบริการ Thematic รองรับการลงทุนที่หลากหลาย อาทิ การลงทุนในหุ้นของกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สุขภาพ เกม รวมถึงไปเปิดตลาดการลงทุนในประเทศจีน เวียดนาม ทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้านักลงทุนรายใหม่จำนวนมาก แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 ยังมีนักลงทุน ลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจิตตะ พัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้งการ เราออกโปรดักส์ใหม่ที่เร็ว เราเห็นโอกาสเปิดโลกแห่งการลงทุนให้นักลงทุนมากขึ้น
ถ้าเราจะมุ่งลงทุนในประเทศไทยอย่างเดียว ลูกค้าหายหมดเราจะเป็น Startup ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 คือไม่มีคนซื้อขายกับเรา คือไม่มีใครใช้บริการดังนั้นทุกอย่างก็ต้องรีบพัฒนาเพื่อให้ การรับลูกค้ามีความรวดเร็ว มีการให้บริการเปิดบัญชีผ่านออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ระบบยืนยันตัวตนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ e-KYC (Know Your Customer)ระบบลายเซ็นต์อิเล็กทรอนิกส์ e-Signature ก็จะทำให้มันง่าย ลูกค้าเยอะขึ้น มีผลตอบแทนที่สูง คนก็บอกต่อ เราเปลี่ยนวิกฤต เป็นโอกาสโควิดเป็นโอกาสที่ทำให้มีลูกค้าเยอะมากขึ้น เป็นโอกาสที่ออกสินค้าใหม่และมีลูกค้าใหม่มากขึ้น บริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีได้อานิสงส์จากช่วงโควิดเยอะมาก พวกคลาวน์ พวกอีคอมเมิร์ซ ยอดขายกระฉูดมาก ทุกคนย้ายมาใช้คลาวน์กันหมด” พรทิพย์ กล่าว
สำหรับเคล็ดลลับในการทำธุรกิจนั้น พรทิพย์ กล่าวว่า สิ่งแรกมองวิกฤตให้เป็นโอกาสให้มากที่สุด
สองคือยืดหยุ่นให้ได้มาก ไม่ยึดติด ไม่ต้องคิดว่าทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์ ทุกอย่างจะต้องดี เพราะมีปรากฏการณ์ว่าลูกค้าจะชอบหรือไม่ชอบสินค้าขนาดไหน ช่วงโควิด คุณตอบไม่ได้ และสามคุณช้าไม่ได้ ต้องออกสินค้าใหม่ให้เร็ว เนื่องจากในยุคโควิดคนชอบลงทุนคุณไม่ต้องพิสูจน์อะไรมาก
เนื่องจากพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ และเมื่ออยู่ในภาวะ New normal แล้วการให้บริการในรูปแบบเดิมอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนก่อนเช่นลูกค้าเดิมที่อาจจะต้องการเดินไปธนาคารไปคุยกับผู้แนะนำการลงทุนเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ เป็นต้น
สำหรับเทรนด์ของอุตสาหกรรมทางด้านการเงินของประเทศไทยนั้น พรทิพย์ กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมฟินเทคจะมุ่งเน้นในเครื่องสังคมไร้เงินสด (Cashless society) การทำธุรกรรมผ่านออนไลน์มากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีและระบบมาช่วยในการจัดการเพื่ออำนวยความสะดวกและความโปร่งใสมากขึ้น
พรทิพย์ กล่าวว่า ในอนาคตอีก 2-3 ปี จิตตะ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ ตลาดประเทศอินเดีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และยุโรป โดยร่วมกับพันธมิตรในการขยายตลาดเพื่อให้บริการในต่างประเทศ เนื่องจากมีข้อกำหนดในเรื่องของหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator)ในการขออนุญาตในการให้บริการ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำคัญอย่างไรก็ตามที่ผ่านมาจิตตะได้รับการลงทุนจาก Angle Investor รวมถึงได้รับการลงทุนจาก Beacon VC ซึ่งเป็นธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) หรือ VC ในเครือของธนาคารกสิกรไทยด้วยเงินลงทุน 100 ล้านบาท และล่าสุดได้รับการลงทุนจากนักลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท และมีแผนที่จะรับการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อรองรับการขยายตลาดไปยังต่างประเทศในอนาคตด้วย
การเข้ามาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินในปัจจุบันนอกจากจะมุ่งสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless society) เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นโยบายการช่วยเหลือทางด้านการเงินของรัฐบาลผ่านการชำระเงินด้วยระบบ QR Code และการระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยที่เร่งและกระตุ้นให้การใช้เงินสดลดลงอย่างมาก ขณะที่การชำระเงินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และมือถือที่มีความสะดวก รวดเร็ว เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Digio Thailandผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือ ภายใต้ชื่อ ดิจิโอ (Digio) เป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้านการเงินหรือฟินเทค (FinTech) สัญชาติไทยเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการรับชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ออนไลน์ของธนาคารต่างๆ มีการทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงินของดิจิโอมากกว่า 60,000 ล้านบาท ต่อปีมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน
นพพร ด่านชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาระบบการชำระเงินผ่านมือถือ เมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา เกิดจากแรงบันดาลใจในการอ่านข่าวเจอ Jack Dorsey ซีอีโอ Twitter และบริษัท Square ผู้ให้บริการระบบการชำระเงินผ่านมือถือ เปิดตัวการรับชำระเงินด้วยมือถือ ผ่านระบบการชำระเงินของ Square จึงได้ลาออกจาก บริษัท Freewill FX ผู้พัฒนาระบบไดร์ฟเทสวัดคุณภาพสัญญาณมือถือ ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมตั้งกับเพื่อน และก่อนหน้านั้นตนเองก็เป็นผู้พัฒนาภาษาไทยสำหรับระบบปฎิบัตรการซิมเบียน ของมือถือโนเกียด้วย
“โดยส่วนตัวเคยเจอปัญหาเรื่องระบบธนาคารทำไมเป็นอะไรที่ยากมากหากต้องการจะไปคุยกับธนาคาร ใครจะเชื่อมระบบธนาคาร ใครจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเงินเป็นเรื่องที่เข้าถึงไม่ได้ในสมัยนั้น เพราะติดระบบ เราถูกธนาคารผลักใสมาตลอด ถูกบอกว่าทำไม่ได้ ทำยากเพราะมีระบบรักษาความปลอดภัย มีปัญหาเยอะก็เลยติดอยู่ในใจมานาน จนถึงประมาณปี 2012 เป็นปีที่ได้อ่านข่าว เห็นอเมริกา มีบริษัทชื่อ Square เปิดบริกาให้สมาร์ทโฟนสารถรับชำระเงินรับชำระบัตรเครดิตได้ แล้วทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ ตรงนั้นเป็นจุดประกายเลยลาออกจากที่เดิมเลยมาทำบริษัทดิจิโอ” นพพร กล่าวและว่า
ดิจิโอใช้เวลา ในการพัฒนาต้นแบบระบบการชำระเงินผ่านมือถือ (Prototype) ประมาณ 1-2 ปี และธนาคาร กสิกรไทย เป็นลูกค้าที่ใช้งานระบบการชำระเงินของ ดิจิโอ ซึ่งมีชื่อมาจากคำว่า Digital และ เลขดิจิทัล01 เป็นรายแรก
“ตอนนั้นใช้เวลาอีกปีนึงปีกว่าเกือบสองปีจนกว่าจะได้ทำจริงๆจะมีลูกค้าก็เกือบสองปี จากวันแรกที่เดินเข้าไปคุยกับแบงค์ตอนนั้นที่ไปก็มีเคแบงค์กับกรุงศรีฯเคแบงค์เป็นลูกค้ารายแรกของดิจิโอ” นพพร กล่าวและว่าจากระบบการชำระเงินโดยใช้มือถือในการรับชำระเงิน หรือ mPos (Mobile Point of Sale) บริษัทได้มีการพัฒนาระบบการรับชำระเงินอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ดิจิโอ ได้ให้บริการระบบรับชำระเงินและบริการที่เกี่ยวข้อง 8 บริการหลักอาทิการรับชำระเงินผ่านมือถือ (mPos) การรับชำระเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด (QR Code payment) ระบบแลกแต้ม (Redeem) ระบบยืนยันตัวตน (Personal Identification) ระบบชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ระบบผ่อนชำระ และระบบขำระเงินออนไลน์ (Online payment gateway) เป็นต้น
“mPOS เป็นโปรดักส์tแรกที่บริษัททำแต่ถ้าถามว่า ณ วันนั้นจนถึงวันนี้มันก็มา9ปีวันนี้โปรดักส์ mPos ทำรายได้10เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจของบริษัทที่ทำอยู่ที่เรายังมีอีก 70- 80เปอร์เซ็นต์ ที่เราทำที่แตกต่างจากเดิม แต่ว่ามันก็ยังอยู่ในเรื่องของธนาคารระบบชำระเงินระบบธนาคารระบบเปเม้นท์มันอาจจะเปลี่ยนกับการเป็นการรับบัตรโดยใช้มือถือมาเป็นคิวอาร์เพลย์เม้นทุกวันนี้ สิ่งที่ดิจีโอทำคือเราเป็นคนสร้างถนนแต่เป็นเกี่ยวกับเรื่องเงินสร้างถนนสร้างอินฟราสตรักเจอร์ให้คนสามารถพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น (Efficiency) มีความโปร่งใส (Transparency)ขึ้นมีความปลอดภัย (Safety) มีระบบรักษาความปลอดภัย (Security) ทำให้การทำธุรกิจมันง่ายขึ้นคือสิ่งหนึ่งที่เราเป็นความภูมิใจเล็กๆว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอินฟราสตรักเจอร์ของประเทศให้มันดีขึ้น” นพพร กล่าว
สำหรับรายได้จากการให้บริการนับตั้งแต่บริการรับชำระเงินผ่านมือถือจนถึงการรับชำระเงินที่หลากหลายนั้น นพพร กล่าวว่า บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ mPos ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมของบริษัท ที่เหลทอ เป็นบริการใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการรับชำระเงินที่แตกต่างจากเดิมเพื่อรองรับระบบสังคมไร้เงินสด (Cashless society)
นพพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าทุกธนาคารในประเทศไทย แต่ละธนาคารมีการใช้บริการที่แตกต่างกัน มีการทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงินของดิจิโออยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาทต่อปีและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้ามีการลดการใช้เงินสดและเปลี่ยนมาเป็นการชำระเงินผ่านออนไลน์มากขึ้น โดยมีสัดส่วนการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 10-20 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน
“ตัวเลขการเติบโตของการใช้ Cashless มันสูงขึ้นมากในปีสองปีที่ผ่านมาไปดูตัวเลขของแบงค์ชาติพอจะเห็นภาพว่ามันโต10 –20เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน ของเราก็คล้ายๆกันมันก็แล้วแต่เซอร์วิสด้วย เช่นเซอร์วิสการเอาบัตรไปรูดที่ร้านค้ามันลดลงจาก 100 เหลือ 10 เหลือ 20 แต่มันก็ไปโตที่เป็นออนไลน์เปเม้นมากขึ้นมันก็กลับกัน” นพพร กล่าวและว่า
สำหรับการขยายบริการใหม่ บริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่รองรับระบบต้นน้ำที่เกี่ยวเนื่องกับบริการ การรับชำระเงินมากขึ้น เช่น ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ระบบสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Contract) ระบบออกไปกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) และระบบการภาษีหัก ณ ที่จ่าย (e-Withholding Tax) เป็นต้น
ทางด้านผลกระทบในช่วงโควิด-19 นพพร ยอมรับว่า ดิจิโอ ได้รับผลกระทบจากภาวะโควิด-19 บ้างแต่ยังโชคดีที่ได้รับการลงทุน 4 ล้านเหรียญสหรัฐในรอบการลงทุนซีรี่ส์บี เพื่อนำเงินไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการโดยนักลงทุน ประกอบด้วย บริษัท PCC ผู้ให้บริการเครือข่ายธุรกรรมระหว่างธนาคาร และ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด
“จริงๆต้องบอกว่าผมโชคดีด้วยโชคดีที่ปีที่แล้วผมได้นักลงทุนมาลงทุนเพิ่มนึกถึงว่าถ้าผมไม่มีเหตุการณ์นั้นเมื่อปีที่แล้วผมก็ถือได้ว่าโชคดีในจังหวะเวลาที่มันพอดีมากๆจริงๆถ้ามองตออนนี้ก็เปลี่ยนแปลงจากวันแรกอยู่แล้วจากเดิมที่เป็นบริษัทเล็กๆมีคนไม่ถึง 10 คนผ่านมาเก้าปีเราก็มีคน 100 กว่าคนแล้วคนเราเยอะขึ้นการเปลี่ยนแปลงถามว่าเทคโนโลยีเราก็ Move ตามไปหมายถึงว่าวันนี้เราทำเท่านี้ปีหน้ามันก็ต้องทำมากขึ้นจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆหรือมีอินโนเวชั่นใหม่ๆ เราเป็นคนอยู่ข้างหน้าของอุตสาหกรรม เราก็ต้องค่อยๆ เตรียมตัวเตรียมโครงสร้างเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เตรียมระบบต่างๆเตรียมคอนเน็คทิวิตี้ต่างๆเพื่อให้คนมาใช้ ส่วนในมิติของธุรกิจของบริษัทมันก็เราก็เปลี่ยนจากบริษัทเล็กๆเป็นบริษัทที่ใหญ่ขึ้นมันก็จากวันแรกจนถึงปัจจุบันเรียกว่าเราค่อยๆ โตแบบ 30 – 40%” นพพร กล่าวและว่า สถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจมีความจำเป็นอย่างมากในการดูแลกระแสเงินสด (Cash flow) และบริษัทจะขยายบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตที่ยังยืน (Sustainability growth) ด้วย
“เราทำอะไรที่มีประโยชน์ทำแล้วลูกค้ารักเรา รักในสิ่งที่เราทำ และมันทำเป็นธุรกิจได้ มันช่วยให้ทุกคนเติบโตในธุรกิจได้ ผมว่านี่มัน Success แล้ว ผมไม่ได้มองว่า อีก 3 ปี 5 ปี เราต้องเข้าตลาดให้ได้ไม่เคยมี targetนั้น แต่ก็อาจจะตั้งเป้าไว้ก็ไม่แน่ พอมีนักลงทุนมาลงทุนปีที่แล้ว เป็นธนาคาร เริ่มมีว่า แล้วอยากให้ ดิจิโอ เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาด นี่จะเป็นอีกหนึ่งเป้าของผม ผมไม่รู้นะ มันอาจจะเรียกว่า Success” นพพร กล่าว
สำหรับแผนการขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น ปัจจุบันมีการทดลองให้บริการการรับชำระเงินบนรถไฟฟ้าและใช้บัตรเครดิตบนรถประจำทางที่ประเทศญี่ปุ่น (Transit payment) หลังจากโควิด-19 บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรในการขยายธุรกิจไปยังประเทศภูฐาน กัมพูชา เวียตนาม และมาเลเซีย ในอนาคต
“ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่คนเข้าหาดิจิทัลสูงมากๆ ทั้งความรู้ในการเข้าถึงดิจิทัล (Digital literacy)ทั้งเรื่องของ Adopt ใช้ไอทีเป็นประเทศที่ ใช้เฟสบุคเป็นอันดับ 1 ของโลก เราเป็นประเทศที่มีการใช้ ระบบพร้อมเพย์เป็นประเทศแรกในเอเชีย มี Infrastructure ในการทำPayment คนก็ใช้เยอะ มีตัวเลขเติบโตก็ดีมากๆ เราจะเป็นตัวอย่ างถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้เราก็เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประเทศเราแหล่ะ และเราพยายามสร้าง โปรดักส์ สร้างServices เพื่อเอาไปขยายต่อในประเทศอื่นวันนี้ตั้งแต่เกิดโควิดจากที่พ่อกับแม่ไม่เคยจ่ายตังค์ด้วยการโอนเงิน เดี๋ยวนี้ทุกคนมีโมบายแบงค์กิ้ง มีการโอนเงินแล้วการมีโควิดทำให้คนเข้าหา e-Payment เยอะขึ้นรวมถึงร้านค้าเมื่อก่อนอาจจะรับแต่เงินสดวันนี้ก็มีการติดตั้งป้ายคิวอาร์มีแสตนดี้และรับ e-payment เยอะขึ้นผมว่า เป็นเรื่องที่ดีมาก” นพพร กล่าว