องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO: Food and Agriculture Organization) ให้ข้อมูลว่า แนวโน้มจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าแหล่งอาหารของโลก เช่น พื้นที่เกษตรกรรมและน้ำ จะสามารถตอบสนองความต้องการอาหารของคนจำนวนมากได้หรือไม่ ความกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food security) ทำให้เกิดการแสวงหาแหล่งอาหารทางเลือกสำหรับมนุษย์ โดยแมลงนับเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีบทความสำคัญ และการผลิตแบบจำนวนมาก (mass production) กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก
จากผลการวิจัยของ Research and Marketsคาดการณ์ว่า ในระดับโลก มูลค่าของตลาดแมลงรับประทานได้ (Edible insects) จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.18 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดยจะมีอัตราเติบโตรายปีอยู่ที่23.8% ในช่วงปี 2018-2023
การผลิตแมลงเป็นอาหารมนุษย์ ได้รับความนิยมด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม
ในประเด็นเรื่องสุขภาพ แมลงคืออาหารที่มีประโยชน์และมีโภชนาการ แมลงหลายชนิดอุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดี มีแคลเซียม ธาตุเหล็กและซิงค์ (Zinc) ในระดับสูง นับเป็นตัวเลือกจากแหล่งอาหารหลัก ไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู หรือเนื้อวัว
สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม แมลงปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าปศุสัตว์อื่นๆ การเลี้ยงแมลงใช้พื้นที่น้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องทำบนพื้นดิน และไม่ต้องถางที่ดินเพื่อการขยายการผลิต ตรงข้ามกับการเลี้ยงปศุสัตว์ที่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมากทั้งอาหารสัตว์ น้ำพื้นที่เลี้ยงสัตว์โคเนื้อก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาจำนวนมาก
ในแง่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม การเลี้ยงแมลงทำได้โดยใช้เทคโนโลยีในระดับไม่มาก (low-tech) และใช้เงินลงทุนในระดับที่ไม่สูง ซึ่ง SME ก็สามารถเข้าสู่ธุรกิจนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงแมลงสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ซับซ้อน ขึ้นอยู่กับระดับของการลงทุน
นวัตกรรมโปรตีนจากแมลงยังมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นแมลงแช่เยือกแข็ง, แมลงทอดกรอบ, ผงโปรตีนจากแมลง, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโปรตีนจากแมลง, คุ้กกี้แมลง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสทางธุรกิจสูง แต่ธุรกิจโปรตีนจากแมลงก็มีความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องดูแลให้ดี โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร (Food safety) ซึ่งก็เหมือนกับอาหารชนิดอื่น โปรตีนจากแมลงอาจถูกปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี หรือสารชีวภาพ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือเขื้อรา การผลิตแมลงที่ปลอดภัยจึงต้องป้องกัน ตรวจจับ และลดข้อกังวลเรื่องอาหารปลอดภัยต่างๆเหล่านี้ให้ได้
ในฟาร์มเลี้ยงแมลง ต้องมีมาตรการควบคุมสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ เช่น การปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น
ส่งออกจิ้งหรีด
ในประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีนโยบายสนับสนุนการส่งออกจิ้งหรีด ซึ่งทางกรมมองว่าเป็นตัวเลือกแมลงที่เหมาะสมที่สุด โดยจิ้งหรีดจัดเป็นแมลงเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะสร้างรายได้แก่ประเทศและเกษตรกรของไทย แต่ต้องมีการยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงที่ฟาร์ม การแปรรูปที่โรงงาน จนถึงการส่งออก เพื่อการตรวจสอบและรับรอง กำกับควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้มีความปลอดภัยอาหารและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและประเทศคู่ค้า
ขั้นตอนในการส่งออกจิ้งหรีด ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน หนึ่งฟาร์มได้รับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) จากกรมปศุสัตว์ โดยการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด มีขอบข่ายในจิ้งหรีดทองดำ จิ้งหรีดทองแดง และจิ้งหรีดทองแดงลายหรือสะดิ้ง ซึ่งต้องผ่านข้อกำหนด 5 ข้อ ประกอบด้วย องค์ประกอบฟาร์ม, การจัดการฟาร์ม ได้แก่ การจัดการจิ้งหรีด การจัดการน้ำและอาหาร บุคลากร การทำความสะอาดและการบำรุงรักษา,สุขภาพสัตว์ ได้แก่ การป้องกันและควบคุมโรค การบำบัดโรคมีการควบคุมการใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสม, สิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ สิ่งปฏิกูลและน้ำ และการบันทึกข้อมูล มีการเก็บข้อมูลอย่างน้อย 3 ปี
ขั้นตอนที่ 2 การขึ้นทะเบียนโรงงานเพื่อการส่งออกกับกรมปศุสัตว์ในขอบข่ายแมลงและผลิตภัณฑ์จากแมลง ได้การรับรองการปฏิบัติทางการผลิตที่ดี และมีระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) มีการแยกกระบวนการผลิตระหว่างส่วนดิบและส่วนสุกที่ชัดเจน และสอดคล้องตามข้อกำหนดและระเบียบของประเทศคู่ค้า
ขั้นตอนที่ 3 การขอใบรับรองสุขอนามัย (Health certificate) จากกรมปศุสัตว์ มีเอกสารครบถ้วนและผ่านการตรวจสอบจากสัตวแพทย์ประจำโรงงาน เพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร
ปัจจุบันประเทศไทยสามารถส่งออกจิ้งหรีดไปประเทศแม็กซิโก ในรูปแบบจิ้งหรีดผง จิ้งหรีดแปรรูป และจิ้งหรีดแช่แข็ง โดยกรมปศุสัตว์ อธิบายว่า การเปิดตลาดขยายการส่งออกไปกลุ่มสหภาพยุโรป สาธารณรัฐประชาชนจีน และญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดตลาด คาดการณ์ว่าจะสามารถส่งออกได้ภายในปลายปี 2564
การทำธุรกิจจิ้งหรีดจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับ SMEs ที่สอดรับเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารใหม่โดย SMEs ต้องพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการผลิตและแปรรูปจิ้งหรีดให้มีคุณภาพมาตรฐาน โดยตลาดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศ แต่มีโอกาสส่งออกในต่างประเทศอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.fao.org/3/cb4094en/cb4094en.pdf
UBU Spark หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ – เพิ่มศักยภาพธุรกิจหน้าใหม่ด้วยนวัตกรรม
Start-up หน้าใหม่ไฟแรง มักมาพร้อมกับไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่แหวกแนวตลาด จนกลายเป็นความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ Start-up หน้าใหม่ส่วนมาก ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ฝัน เพราะลืมทักษะในด้านการมองตลาด หรืออาจยังมีทักษะในการมองตลาดที่ยังไม่แข็งแรง และมักทุ่มเทแรงกายแรงใจ ลงไปให้ตัวผลิตภัณฑ์เสียมากกว่า โดยไม่ได้คิดถึงในมุมของกลุ่มลูกค้าที่จะใช้งาน
.
Start-up หน้าใหม่ หัวใจ Innovation
สิ่งเหล่านี้จึงหน้าที่หลักของ หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ที่จะสนับสนุน เสริมสร้าง และเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการหน้าใหม่ ให้มีความรู้ความเข้าใจถึงการทำธุรกิจโดยรอบด้าน และสร้างธุรกิจใหม่ทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้เกิดขึ้น
ซึ่งทางหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจแห่งนี้ เปิดกว้างให้กับบุคคลทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ นักศึกษาจบใหม่ คนวัยทำงานที่มีใจอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือใครก็ตามที่อยากเริ่มสร้างกิจการที่มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต ต่างสามารถเข้ามาใช้บริการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจแห่งนี้ได้ทั้งหมด
ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องผลิตสินค้าต้นแบบขึ้นมาก่อน เพียงแค่มีไอเดีย ก็สามารถเข้ามาที่หน่วย ได้ทันที เพราะทางหน่วย มีทีมที่พร้อมจะร่วมมือกันช่วยพัฒนาธุรกิจใหม่เหล่านี้ ให้เติบโตขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นบ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ คือการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในการตั้งต้นจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าก่อนเป็นสำคัญ
.
เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการ
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มีทีมงานและเครื่องมือ เครื่องใช้ ไปจนถึงห้องปฏิบัติการ ที่พร้อมรองรับไอเดียธุรกิจทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น โดยมีบริการในด้านต่าง ๆ ที่จะช่วยสร้างเส้นทางให้กับบุคคลทั่วไป ที่มีความต้องการที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว ซึ่งต้องมีการพัฒนาไปด้วยกันในหลายมิติ ได้แก่
เมื่อพัฒนาผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้มีพร้อมทั้ง 3 มิติแล้ว จึงจะเรียกได้ว่าเป็นบริษัท Start-up ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเพียงพอที่จะลงสู่สนามธุรกิจได้อย่างมีอนาคต
.
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
UBU Spark หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ
อาคารศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
85 ถนนสถลมาร์ค ต.เมืองศรีไค อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190
โทร. 097-335-3185, 045-433-456
E-mail: spark@ubu.ac.th
website : www.ubuspark.org
Facebook: UBUSPARK
Youtube: UBU Spark
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
UBU Spark - Pilot Plant – แปรรูปให้เป็นโอกาส
การจะเป็นผู้ประกอบการ SME ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของเหล่าผู้ประกอบการ ก็คือความพร้อมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความพร้อมในเรื่องของแหล่งผลิต โดยส่วนใหญ่นั้น ผู้ประกอบการที่ยังไม่สามารถพัฒนาสินค้าให้เติบโตไปได้ไกล มักมีปัญหาใหญ่อยู่ 2 เรื่องหลักคือ 1.โรงงานผลิตที่ยังไม่ได้มาตรฐานทำให้ผลิตภัณฑ์ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะเติบโตได้ และ 2. ผู้ประกอบการหลายราย มีไอเดีย มีสินค้าต้นแบบ แต่ไม่มีกำลังที่จะทำการผลิตสินค้าได้
.
ผลิตความฝันให้เกิดขึ้นได้จริง
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต้องการที่จะช่วยสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ ให้สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง ให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า จึงเปิด Pilot Plant หรือ หน่วยโรงงานต้นแบบด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขึ้นให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ สามารถเข้ามาใช้บริการได้
โรงงาน Pilot Plant นั้นถูกออกแบบให้มีความเอนกประสงค์มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถเข้ามาใช้งานได้โดยสะดวก โดยมีจุดเด่นคือ การวางเครื่องจักรในรูปแบบจิ๊กซอว์ ซึ่งสามารถใช้เครื่องหนึ่งทำกระบวนการหนึ่ง แล้วสลับไปใช้อีกเครื่องหนึ่งเพื่อผลิตในกระบวนการถัด ๆไปได้ทันที โดยไม่ต้องมีลำดับ ซึ่งการผสมผสานรูปแบบการผลิตได้อย่างนี้ เอื้อให้ผู้ประกอบการ สามารถทดลองสร้างผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างอิสระ
โรงงาน Pilot Plant แบ่งการใช้งานออกเป็น 2 โรง ได้แก่
นอกจากการให้บริการด้านโรงงานผลิตต้นแบบแล้ว ยังมีการให้บริการในส่วน งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ให้ผู้ประกอบการมาเปิดห้องแล็บเล็ก ๆ เพื่อทำการวิจัย และพัฒนาสูตรอาหารประจำแบรนด์ของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่จะลงไปทำการผลิตจริงในขั้นตอนต่อไป
.
Pilot Plant มีทีมพี่เลี้ยง และทีมที่ปรึกษาที่พร้อมให้คำแนะนำในด้านการพัฒนาสินค้า กระบวนการผลิตสินค้า ทั้งในมิติของมาตรฐาน และ ในมิติของต้นทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ที่ต้องการจะพัฒนาสินค้า ให้ประสบความสำเร็จไปถึงฝัน และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้จริง โดยมีมาตรฐานสูง และมีคุณภาพที่สูงขึ้น เพื่อให้ทุก ๆ คน มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์กับตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
UBU Spark - Pilot Plant
อาคารศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
85 ถนนสถลมาร์ค ต.เมืองศรีไค อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190
โทร. 097-335-3185, 045-433-456
E-mail: spark@ubu.ac.th
website : www.ubuspark.org
Facebook: UBUSPARK
Youtube: UBU Spark
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
GS1 สถาบันรหัสสากล – ยกระดับมาตรฐานสินค้าด้วยบาร์โค้ด
ในอดีตสินค้าต่าง ๆ นั้น ยังไม่มีเลขหมายกำกับ ทำให้เกิดความสับสนยุ่งยากในการสื่อสารและจัดการระบบคลังสินค้า ลองนึกดูว่าถ้ามีผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน จะสามารถบันทึกจำแนกอย่างไรให้ชัดเจน ได้อย่างง่ายที่สุด การระบุเลขหมายสินค้าในรูปแบบบาร์โค้ดจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ให้กับการเก็บข้อมูลสินค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วเพียงแค่สแกนแถบ ไม่ต้องคอยบันทึกเลขหลายทีละหลัก ที่อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
.
เลขหมายมาตรฐานเดียวกันทั้งโลก
เมื่อมีระบบเลขหมายเกิดขึ้น ก็ต้องมีหน่วยงานกลางที่เป็นนายทะเบียนในการออกเลขหมายประจำสินค้าให้กับผู้ประกอบการ จึงได้มีการตั้งสถาบันรหัสสากล หรือ GS1 Thailand ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานมาตรฐานที่จะดูแลเรื่องการออกรหัสบาร์โค้ดให้กับสินค้า ซึ่งมีรูปแบบดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกันใน 120 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้สินค้าที่ผลิตในแต่ละประเทศมีเลขหมายกำกับสินค้าเฉพาะอย่างชัดเจน ให้สามารถส่งออกสินค้าระหว่างประเทศได้อย่างเข้าใจตรงกัน
ถ้าหากผู้ประกอบการแต่ละคน ต่างคนต่างใช้เลขหมายที่ตัวเองตั้งขึ้น จะก่อให้เกิดความสับสนขึ้นได้ ยิ่งเมื่อนำสินค้าเข้าสู่คลังสินค้าส่วนกลาง อย่างเช่นห้างสรรพสินค้า ก็อาจเกิดกรณ๊ที่เลขหมายซ้ำกันกับผู้ประกอบการเจ้าอื่น ทำให้เกิดความผิดพลาดในการตรวจบันทึกสต็อก รวมถึงจัดจำหน้ายสินค้าผิดชิ้นก็เป็นได้ จึงต้องมีการใช้เลขหมายมาตรฐานสากล ที่ประกอบด้วยตัวเลข 13 หลักนั้น ซึ่งเป็นรหัสที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ประเทศที่ผลิต สถานที่ผลิต ไปจนถึงล็อตที่ผลิต สะดวกในการจัดเก็บบันทึกข้อมูลสินค้าได้อย่างแม่นยำ และ ในกรณีที่สินค้ามีความผิดพลาดก็ยังสามารถตรวจสอบกลับมาได้โดยง่าย
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสินค้าถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ ถ้าสินค้านั้นได้มีการขึ้นทะเบียนเลขหมายมาตรฐานสากลไว้อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เลขหมายนี้ได้ทันที เพราะข้อมูลสินค้าทั้งหมดได้ถูกเก็บบันทึกไว้ในฐานข้อมูลสากลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขหมายบาร์โค้ดนี้ยังเป็นสิ่งที่ช่วยรับรองมาตรฐานของสินค้าในระดับหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้บริโภคในต่างประเทศสามารถให้ความเชื่อถือ ไว้วางใจในสินค้าได้อีกด้วย
.
บาร์โค้ดนี้มีคุณภาพ
บริการที่ทางสถาบันรหัสสากลพร้อมรองรับให้กับผู้ประกอบการ มีตั้งแต่
.
การขอรับเลขหมายบาร์โค้ดมาตรฐานสากล เรียกได้ว่าเป็นการติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง เปิดประตูสู่โอกาสในการพัฒนาสินค้าให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
สถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
เลขที่ 2 อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ ชั้น 11
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ถนนนางลิ้นจี่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทร. 0-2345-1000
E-mail: info@gs1th.org
Website : www.gs1th.org
Facebook: gs1thailand
Line Official: GS1 Thailand
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone
อัยย์ไทย สืบสานองค์ความรู้แผนไทยให้ร่วมสมัย
ผลิตภัณฑ์สปาดูแลผิวของไทย จาก 2 เภสัชกรที่มองเห็นแนวโน้มของการกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ จึงนำองค์ความรู้ทางด้านภูมิปัญญาไทยตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยผนวกกับองค์ความรู้เภสัชกรรมแผนปัจจุบันมาพัฒนา จนได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์สปาไทยที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล
.
ใส่ใจทุกกระบวนการ จนกว่าจะมั่นใจ
จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการการตลาด ทำให้มองเห็นแนวโน้มเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาตินำเมื่อนำมารวมกับความรู้ด้านเภสัชกร ทำให้แบรนด์อัยย์ไทย คิดค้นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่แตกต่างจากแบรนด์ทั่วไป ทั้งกระบวนการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน และผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นสูตรจากการศึกษาจริงจังในเรื่องของเภสัชกรรมแผนไทย ทั้งการประคบและอบสมุนไพรของศาสตร์การนวดแผนไทย ที่นำมาประยุกต์กับความรู้แผนปัจจุบัน
ด้วยความเป็นเภสัชกรทำให้ผลิตภัณฑ์ของอัยย์ไทย ผลิตภายใต้ความใส่ใจในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐาน โดยใช้แนวคิดของการพัฒนาเวชภัณฑ์หรือยาในการผลิต เริ่มตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบเชื้อ การตั้งสูตรตำรับที่ต้องมีเทคนิคในการผสมว่าวัตถุดิบตัวไหนเหมาะกับเนื้อผลิตภัณฑ์แบบใด และเมื่อได้สูตรหรือตำรับที่พอใจแล้ว จะต้องมีการทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ในสภาวะที่วัตถุดิบแต่ละตัวจะสามารถทำหน้าที่ได้ดี นอกจากนี้ยังมีการทดสอบผลิตภัณฑ์เมื่ออยู่ในหลายสภาวะ คือทั้งในอุณหภูมิห้อง อุณหภูมิเย็น และอุณหภูมิร้อน ซึ่งการทดสอบนี้ทำให้เห็นคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และทำให้ได้ข้อมูลในเรื่องการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ในหลากหลายสภาพอากาศด้วย ซึ่งในทุกๆการผลิตจะมีการทดสอบการคงตัวและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทุกครั้งเพื่อเปรียบเทียบหาสาเหตุที่แท้จริงหากพบสินค้าที่มีปัญหาหรือว่าเนื้อผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงจากต้นแบบ
นอกจากนี้ อัยย์ไทยยังใส่ใจในเรื่องบรรจุภัณฑ์ โดยมีแนวคิดเรื่องความยั่งยืน เน้นในเรื่องของการลดใช้พลาสติก จะใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ ลดการใช้แผ่นพับ มาทดแทนด้วย QR CODE บนบรรจุภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถสแกนเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และหลักการดูแลผิวพรรณและสุขภาพได้ ตอบโจทย์สำหรับผู้บริโภคปัจจุบันที่มองหาแบรนด์ที่สนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย
ด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวของ อัยย์ไทย ต้องใช้เวลาร่วมปีก่อนจะปล่อยออกมาสู่ตลาด ตั้งแต่การค้นคว้าวิจัยวัตถุดิบที่ใช้ทำสูตรและกระบวนการทดลองต่าง ๆ ไปจนถึงภาพรวมเรื่องภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
.
ปรับรูปแบบของสินค้าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
แบรนด์อัยย์ไทย เปิดตัวและทำการตลาดโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จากการศึกษาทดสอบตลาดในต่างประเทศ ทำให้เรียนรู้การสื่อสารผ่านทางด้านบรรจุภัณฑ์และขนาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
สำหรับกลุ่มชาวต่างชาติ แบรนด์มีการจัดทำบรรจุภัณฑ์เป็นชุด Gift set สำหรับเป็นของขวัญหรือของฝาก และขนาดเล็กที่เหมาะกับการพกพา เน้นกลิ่นที่สื่อถึงความเป็นไทย เมื่อนำผลิตภัณฑ์กลับไปใช้จะทำให้ระลึกถึงความเป็นไทยหรือความประทับใจที่ได้มาเมืองไทย วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าในโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยว
สำหรับกลุ่มคนไทย เลือกเจาะไปในกลุ่มคนทำงาน เน้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของการผ่อนคลาย เป็นผลิตภัณฑ์สปาเพื่อการบำบัดความเครียด เช่น สครับขัดตัว น้ำมันนวด หรือ Oriental aroma body gel ที่มีกลิ่นสมุนไพรธรรมชาติ หอมแต่ไม่ฉุน
นอกจากนี้อัยย์ไทยยังมีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ เช่นโปรตุเกส และฮ่องกง และร่วมมือกับภาครัฐในการเปิดรับลูกค้าที่ต้องการจ้างผลิต หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่ต้องการทำในรูปแบบส่งออกก็ตาม เพราะอัยย์ไทยนั้นมีความพร้อมทั้งคุณภาพมาตรฐานและเอกสารที่สามารถผลิตเพื่อทำการส่งออกได้
.
ต่อยอดรักษาภูมิปัญญาไทยต่อไปในอนาคต
ด้วยแนวโน้มที่ทุกคนสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น อัยย์ไทยจึงมีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่นอกเหนือจากเรื่องสกินแคร์ต่อไป โดยมีความตั้งใจที่จะทำผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ยึดถือการ Empowering the power of science เป็นหลักในการทำงาน คือนำเอาความเป็นธรรมชาติที่เป็นแก่นแท้ภูมิปัญญาไทยที่สืบต่อกันมานาน มาผ่านกระบวนการเพื่อทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในรูปแบบที่ดูทันสมัยขึ้น เหมาะกับชีวิตหรือพฤติกรรมของผู้บริโภคปัจจุบัน โดยมองว่าสิ่งนี้สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนเปลี่ยนมุมมองต่อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และทำให้มีความมั่นใจในการบริโภคหรือการใช้สินค้ามากขึ้น ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าหรือเพิ่มตลาดของผลิตภัณฑ์ที่มาจากสมุนไพรไทยอีกด้วย
อัยย์ไทยยังได้มองถึงการพัฒนาช่องทางสื่อสารกับผู้คนทั่วไป ให้เข้าใจถึงการเลือกใช้สมุนไพรที่ถูกต้องและมีคุณภาพ จึงมองแพลตฟอร์มที่เป็นเว็บไซต์ โดยต้องการให้ผู้ที่สนใจเข้ามาหาความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการดูแลสุขภาพได้ โดยจะให้ความรู้ทางด้านเภสัชกรรมแผนไทยและเภสัชกรรมแผนปัจจุบันประกอบ เพื่อจะทำให้เกิดการยอมรับในตัวสมุนไพรไทยและทำให้องค์ความรู้เหล่านี้ร่วมสมัยขึ้นได้ เป็นการต่อยอดรักษาภูมิปัญญาของไทยต่อไปในอนาคต
.
ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ อัยย์ไทย สามารถติดต่อได้ที่
iThai Natural (Head Office)
บริษัท อัยย์ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Aithai Corporation Limited)
41/10 ตรอกเวท(สีลม19) ถ.สีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
Tel: +66 97 235 5588
Fax. +66 2 238 5339
Email: ithaiskincare@yahoo.com
Website : www.ithaiskincare.com
IG: iThai_skincare
Line: @ithaiskincare
สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone