Bluekoff ครบเครื่องเรื่องกาแฟ

เชื่อหรือไม่ว่าร้านกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมทั่วประเทศในตอนนี้ มีบริษัทที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ปิดทองหลังที่สำคัญรายหนึ่ง คือ Bluekoff จากการธุรกิจขายเมล็ดกาแฟเป็นอาชีพเสริมเมื่อ 21 ปีก่อน มาจนถึงวันนี้ Bluekoff ได้กลายเป็นโซลูชั่นสำหรับร้านกาแฟรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังความสําเร็จของร้านกาแฟมากกว่า 6,000 รายในประเทศ ความสำเร็จของ Bluekoff มาจากแรงบันดาลใจของศุภชัย ศรีวิตตาภรณ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ Bluekoff ที่หลงใหลกลิ่นหอมของกาแฟมาเป็นทุนเดิม



SME One : Bluekoff เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ศุภชัย : เริ่มจากช่วงปี 1999 กำลังจะเรียนจบแล้วได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่สอนดนตรีด้วยกัน ซึ่งที่บ้านเขาคุณอามีเครื่องคั่วกาแฟอยู่ที่เชียงใหม่ซึ่งได้มาจาก UN ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่าน่าจะเอามาลองหารายได้เสริม สมัยนั้นสอนดนตรีก็ไม่ได้มีรายได้มากมาย จึงหารายได้เสริมโดยการขายเมล็ดกาแฟ ธุรกิจจริง ๆ เริ่มประมาณช่วงปี 2000 เราเริ่มต้นทำกัน 2 คน ซึ่งต่อมาก็เหลือผมคนเดียว เพราะหุ้นส่วนไม่มีเวลาก็เลยแยกย้ายกันออกมาต่างคนต่างทำ 

 

SME One : ตอนเริ่มต้นทำไมถึงเลือกที่จะลงธุรกิจค้าส่ง แทนที่จะทำร้านเอง

ศุภชัย : ผมมองว่าหลายคนอยากเปิดร้าน มีคนก็เริ่มมาสนใจกาแฟมากขึ้น แต่ว่า ณ ตอนนั้นปี 2000 ยังเป็นสมัยที่เราเห็นกาแฟตามร้านข้างทางกันอยู่ เช่น เวลาเราขับรถผ่านไปตามริมถนนก็จะเจอร้านเขียนป้าย Blue Mountain อะไรประมาณนั้น แต่ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีแล้ว ตอนนั้นเรามองว่าเราไม่อยากอยู่กับที่ตลอดเวลา เราเลยเลือกธุรกิจที่เราสามารถไปไหนมาไหนก็ได้ เรียกว่าง่าย ๆ คือช่วงแรกเรามองแค่เป็นรายได้เสริมมากกว่า 

ผมทำมาจนเข้าปีที่ 3 จึงเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจหลัก ผมว่าผมโชคดีมากกว่าที่หลาย ๆ อย่างมันค่อนข้างลงตัวพอดี ก็เลยเกิดเป็นธุรกิจขึ้นมา รวมถึงช่วงปี 2000 จนถึง 2003 ช่วงนั้นเว็บไซต์ และเว็บบอร์ดมีผลเยอะมากกับธุรกิจ เราเองก็โชคดีที่เรากระโดดเข้าไปตั้งแต่แรกสุดเลย เรามีเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาแล้วก็เลยกลายเป็นว่าทุก ๆ คนต้องเข้ามาหาความรู้ในเว็บไซต์ของเรา

วันที่เราเริ่มธุรกิจ เรายังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะมาไกลขนาดนี้ เรียนตามตรงจริง ๆ ผมก็เป็นเด็กดื้อคนหนึ่งที่รักอิสระ ที่ไม่อยากกลับไปทำงานที่บ้านอะไรประมาณนั้น ก็เลยแบบว่าพยายามหาอะไรที่แบบว่าไปเรื่อยเปื่อยและพอที่จะเลี้ยงชีพได้ ซึ่งกาแฟก็คือหนึ่งในนั้น

SME One : เราหาเมล็ดกาแฟมาจากไหนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ

ศุภชัย : เริ่มต้นเลยเมล็ดกาแฟมาจากคุณอาของเพื่อน เราไม่ได้คัดเองเลย คุณอาเป็นคนจัดการให้เราทั้งหมด เรามีหน้าที่แค่ทำตลาดอย่างเดียว แต่ผ่านมาสักระยะมันเริ่มชัดเจนขึ้น หลังจากที่เพื่อนบอกว่าทำให้ต่อไปไม่ไหวก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องมาทำเองทั้งหมด ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าต้องมาคั่วเอง ต้องมาหาวัตถุดิบเองทั้งหมด เพราะเราลองเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นก็มีปัญหาเยอะ เรื่องของวัตถุดิบไม่ค่อยได้คุณภาพ สุดท้ายเราไปเจอเกษตรกรปลูกกาแฟจนเราได้กาแฟจากแหล่งปลูก คือดอยช้าง

ปัจจุบันกาแฟของ Bluekoff ถ้าเป็นกาแฟไทยจะมาจากดอยช้าง 100% เพราะว่ามีโรงงานแปรรูปอยู่ที่ดอยช้าง เราทำเองทุกขั้นตอนจากเกษตรกร มีการทำ Contract Farming เกษตรกรประมาณ 800 ครอบครัวเพื่อจะมาส่งกาแฟให้กับเราที่โรงงานเราเป็นประจำครับ แล้วเราก็แปรรูปเองทุกขั้นตอน

ดอยช้างมีผลผลิตกาแฟเยอะ เราผลิตได้ประมาณ 800 - 1,000 ตันต่อปี ผมมองดอยช้างมีศักยภาพการผลิตอาจจะทำได้ถึง 1,500 ตันต่อปี เฉพาะดอยช้างมีพื้นที่ใหญ่มาก ๆ ดอยช้างเรียกว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย แล้วอีกอย่างหนึ่งคือด้วยชื่อเสียงที่พี่วิชา พรหมยงค์ (เสียชีวิตไปแล้ว) ได้สร้างไว้ตั้งแต่ตอนแรก คือ กาแฟดอยช้าง ก็เลยกลายเป็นว่าทุก ๆ คนได้รับอานิสงส์นี้ 

 

SME One : ช่วยเล่าพัฒนาการของธุรกิจร้านกาแฟในไทยให้ฟัง

ศุภชัย : 20 ปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านกาแฟของไทยเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ช่วงปีแรก ๆ ปัญหาหลัก ๆ ของคนกินส่วนใหญ่ คือชอบเข้มมาก ๆ แล้วก็ต้องมีความหนัก แก้วเดียวต้องเอาอยู่ นมข้นต้องหนัก ๆ ทุกอย่างต้องเต็มที่ รสชาติต้องเข้มไว้ก่อน แล้วก็ธุรกิจร้านกาแฟสมัยแรก ๆ ร้านกาแฟจะเน้นลงทุนน้อย เราก็จะเจอซุ้มตามข้างทางเยอะ เจอร้านอีกแบบนึงซึ่งมันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างกาแฟโบราณกับกาแฟสดในช่วงแรก ๆ  

หลังจากนั้นร้านกาแฟก็ค่อย ๆ เปลี่ยน เริ่มชัดเจนขึ้นก็ตอนที่เริ่มมีการแข่งขัน ช่วงน่าจะเป็นปี 2005 - 2006 ที่เริ่มมีการแข่งขันชงกาแฟขึ้นมา ทำให้คนก็เริ่มมีความชัดเจนขึ้นในการชง เริ่มมีการ Present ที่ชัดขึ้น รวมทั้งคนเริ่มสนใจกาแฟมากขึ้น คนหลาย ๆ คนก็อ่านเว็บไซต์ อ่านบทความเมืองนอกซึ่งฝรั่งก็เขียนไว้เยอะ ในช่วงนั้นมันก็เลยมีอะไรที่ชัดเจนขึ้น กาแฟคั่วกลาง กาแฟคั่วอ่อนก็เลยเริ่มมามีบทบาทมากขึ้นช่วงหลังปี 2010 เป็นต้นมา พอมีกาแฟคั่วอ่อนเข้ามามากขึ้นเทรนด์ก็เริ่มเปลี่ยน ร้านกาแฟที่เป็นซุ้มก็เริ่มเปลี่ยนตัวเองให้มี Position ชัดเจนขึ้น เริ่มมีการลงทุนกับร้านมากขึ้น เริ่มมีการลงทุนกับอุปกรณ์มากขึ้น เริ่มมีการเล็งทำเลเยอะขึ้น ทุกอย่างเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยน คลื่นลูกเก่า ๆ ค่อย ๆ หายไป คลื่นลูกใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาแทน เทรนด์ก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยน จนถึงวันนี้ก็ยังเปลี่ยนไม่หมด ยังเปลี่ยนตลอดเวลา เพราะเทรนด์ร้านกาแฟมันเปลี่ยนเร็วมาก

ร้านกาแฟ ณ ปัจจุบันตอนนี้ทุกร้านเราสังเกตว่าลงทุนเยอะมาก หลาย ๆ ร้านที่ลงทุนหนักมาก ตั้งแต่เรื่องของทำเล เรื่องรูปแบบร้าน เรื่องของ Traffic ของคนที่จะเข้า แต่ว่าหลายร้านประสบความสำเร็จรวดเร็วมาก แบบว่าปีเดียวคืนทุนเยอะมาก เพราะฉะนั้นผมเลยมองว่าปัจจุบันมันมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างผสมผสาน ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติอย่างเดียว เรื่องของภาพลักษณ์ของร้าน เรื่องของความสะดวกสบายล้วนมีสำคัญ

 

SME One : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ Bluekoff เจอปัญหาอะไรบ้างหรือไม่ แล้วแก้ปัญหาอย่างไร

ศุภชัย : ช่วงแรก ๆ เราไปได้ช้าเพราะเราไม่มีทุน แต่ผมโชคดีตรงที่เริ่มเร็ว เริ่มตรงช่วงกราฟที่มันกำลังจะวิ่งขึ้นพอดี ทุก ๆ อย่างมันต้องรอหมดเลย เช่น เครื่องก็ต้องรอนาน สมัยก่อนมันไม่ได้แบบว่าอยู่ดี ๆ สั่งเครื่องแล้วมาเลย เช่น ลูกค้าสนใจเครื่องอยากได้เครื่อง 2 หัวตัวนี้มาก ปรากฏว่าต้องรอ เราก็ต้องสั่งจากเมืองนอกใช้เวลานานเป็นต้น แล้วสมัยเริ่มต้นช่วงแรก ๆ ปัญหาหลัก ๆ คือเรื่องของคุณภาพของเมล็ดกาแฟ เนื่องจากว่าเกษตรกรเขาไม่รู้ว่าจะแปรรูปอย่างไร เพราะว่าไม่มีใครขึ้นไปสอนเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ คือคุณภาพกาแฟมันก็แกว่งไปแกว่งมา รวมถึงคุณภาพของการคั่วด้วย 

แล้วช่วงแรก ๆ ที่เราเริ่มต้นก็มีเรื่องความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ อย่างช่วงที่เราไปขายช่วงแรกก็จะมีแบรนด์ Local ที่ทำมาก่อนเรา ก็เลยกลายเป็นว่าเราเป็นหน้าใหม่ ก็ต้องอาศัยการ Present ที่ต้องชัดเจนนิดนึง กว่าจะขายได้แต่ละเจ้าในช่วงแรก ๆ ก็เหนื่อยหน่อย ช่วง 3 ปีแรกจะยากนิดนึง

 

SME One : มาจนถึงปัจจุบัน Bluekoff มีฐานลูกค้าที่เป็นร้านกาแฟประมาณกี่ร้าน

ศุภชัย : ตอนนี้รวมทั้งหมดมีประมาณ 6,000 ร้าน เรามี Product Supply ทั้งหมด มีตั้งแต่กาแฟพื้นฐาน จริงๆ เราทำกาแฟเกรดดีทั้งหมด เพราะว่าทุก ๆ อันเป็นกาแฟจากดอยช้าง 100% ถ้าเป็นแบรนด์ Bluekoff ยกเว้นพวกประเภทที่จ้างผลิต OEM ทั้งหลายที่เอาไปชงเองต่อหรือเอาไปขายต่อที่อาจมีผสมตามความต้องการ กาแฟ Bluekoff เป็นกาแฟที่คุณภาพสูง แล้วเราไม่ได้ขายราคาแพง เพราะฉะนั้นผมว่าร้านระดับกลางก็จะรับได้ ไปจนถึงร้านระดับสูง ส่วนร้านที่แบบเน้นกาแฟ Specialty มาก ๆ อยากหากาแฟแปลกใหม่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

จริง ๆ ต้องบอกว่าแบบนี้ว่ากาแฟที่เราขายทั้งหมดจริง ๆ จัดว่าเป็น Specialty ได้หมดเลย เพราะคะแนนเกิน 85 หมดแล้ว แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของราคากาแฟไทยกับกาแฟต่างประเทศ เราขายกาแฟต่างประเทศประมาณไม่เกิน 5% เพราะราคาสูงกว่า กาแฟต่างประเทศก็จะเน้นไปทางเรื่องของการทำเป็นพิเศษ เรื่องของการทำกาแฟที่เป็น Drip แต่หลักๆ คือกาแฟเย็นซึ่งเกิน 75% ของประเทศไทย เวลาเดินเข้าไปสั่งเราก็จะเห็นว่าคนไทยยังขี้ร้อน ยังชอบสั่งกาแฟเย็นอยู่ ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยกินกาแฟใส่นมใส่อะไรแล้ว ก็เป็นอเมริกาโน่เย็น

 

SME One : ความเข้าใจด้านเมนูเครื่องดื่มกาแฟของคนไทยพัฒนาไปถึงไหนแล้ว สมัยก่อนคนสั่งผิดกันเยอะมาก

ศุภชัย : เป็นเรื่องปกติ ผมมองว่ามันเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนตั้งแต่สมัยแรกสุดที่กาแฟเริ่มบูม แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตั้งชื่อเมนูผิด ๆ ตั้งแต่แรก จริง ๆ ก็ไม่มีใครผิด เขาใช้เอสเพรสโซ่เย็นก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ประเด็นหลัก ๆ คืออาจเกิดจากคนกลุ่ม ๆ หนึ่งตั้งขึ้นมา เช่น คาปูชิโน่เย็น เอสเปรสโซ่เย็น Blue Mountain เย็นอะไรแบบนี้ มันก็เลยกลายเป็นแบบชื่อที่หลากหลายขึ้นมา แต่พวกนี้คือแค่ช่วงแรก เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ค่อยเจอแล้ว

คราวนี้ผมแบ่งกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องของการชงกาแฟกับคนที่ไม่สนใจในเรื่องของกาแฟ ที่กินอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคนที่กินอย่างเดียวเนี่ยก็ยังคง Concept เดิมอยู่ ก็คือยังมีชื่อเฉพาะ แต่คนที่เริ่มกินกาแฟ เริ่มมาแบบหัดดริปเองก็จะเริ่มศึกษามากขึ้น คนพวกนี้ก็จะแบบเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิถีไป ที่สังงเกตคือช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดกาแฟเปลี่ยนเร็วแบบเร็วฟ้าผ่ามาก ๆ ใครตามไม่ทัน ใครตกเทรนด์ไปหมดเลย 

จุดเปลี่ยนที่ชัดเจนจริง ๆ ก็คือสมาคมกาแฟพิเศษไทยได้เข้าไปสนับสนุนเกษตรกรจริงจัง เข้าไปสอน เข้าไปคุย แล้วพอสัญญาณโทรศัพท์กระจายไปถึง เกษตรกรเริ่มเล่นทุกอย่างเป็น เริ่มศึกษาเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตเลยกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นน้ำถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว อย่างกาแฟปีหลังๆ ก็เริ่มมีสายพันธุ์เกอิชา พวกนี้มันทำให้ตั้งแต่ต้นทางเปลี่ยน เทรนด์เปลี่ยนเร็วตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ทุกอย่างเปลี่ยนหมด 

แล้วหลาย ๆ คนเริ่มสนใจอาชีพกาแฟมากขึ้น เพราะว่าตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วแล้ว ใครไม่มีอะไรทำก็เปิดร้านกาแฟ เรียนจบมาใหม่ ๆ อยากทำอะไรเป็นของตัวเองก็ลองเปิดร้านกาแฟ มันก็เลยกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไปในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่สำคัญจริง ๆ คือกาแฟมันกินแล้วมันติด มันเลิกไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกคนกินกาแฟที่ดีขึ้น วันที่เรากินได้กินกาแฟอร่อยแล้ว เราจะไม่อยากกลับไปกินของที่เรากินอันเดิมอีก

 

SME One : ช่วง COVID-19 ระบาด Bluekoff ได้รับผลกระทบหรือไม่ แล้วแก้ปัญหาอย่างไร

ศุภชัย : กระทบหนักมากในช่วงแรก ด้วยความที่เราโฟกัสว่าเราเป็น Supply หลังบ้านมาตลอด เราไม่เคยคิดว่าจะไปลง Retail แล้วเราก็ Supply กับเจ้าใหญ่ ๆ เจ้าดัง ๆ ทั้งหลาย คั่วให้ทีละเยอะ ๆ หลาย ๆ เจ้า พอร้านใหญ่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ยอดเราก็ตกวูบทันที

เราก็ปรับตัวทันทีเช่นเดียวกัน โดยต้องไปลง Retail มากขึ้น จะสังเกตว่าช่วงหลัง Bluekoff เองก็จะเปลี่ยนแนวมากพอสมควร หลังจากผลกระทบ COVID-19 รอบที่ผ่านมา ตั้งแต่เวฟที่ 2 ก็เราก็ปรับตัวเต็มสตรีม ในเรื่องของการลง Retail แต่ก่อนแบบถุงนึงก็ไม่ได้ขายเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ก็คือต้องขายหมด เราขายผ่าน Facebook ของเราเอง ขายผ่าน Shopee, Lazada แบบ B2C เพราะพอมีการล็อกดาวน์ตัวเลขที่ลดจากฝั่งฝั่งหนึ่งก็ไปงอกอีกฝั่งนึง คือไปโตฝั่งผู้บริโภค End User แทน แต่ที่ขายดีจริง ๆ จะเป็นอุปกรณ์ หลาย ๆ ร้านที่ขายอุปกรณ์จุก ๆ จิก ๆ พวก Dripper กาดริป หรืออะไรพวกจิปาถะพวกนี้จะขายดีมาก แล้วก็เมล็ดกาแฟที่เป็นถุง ๆ เมล็ดกาแฟแปลก ๆ ทั้งหลายก็จะขายดีเช่นกัน

เราเองก็ต้องปรับตัวพอสมควร เช่นพอเราเห็นเทรนด์นี้ เราก็ทำซองดริปขึ้นมา สั่งนำเข้าเครื่องดริป ซองดริปจากเมืองนอกมา แล้วก็พวกกินกาแฟที่บ้านก็จะสั่งพวกซองดริปเยอะมาก สั่งทีเป็น 10 กล่องไปใช้ที่บ้าน ไปดริปกินที่บ้าน 

 

SME One : Step ต่อไปของ Bluekoff คือเข้าไปใน CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) ใช่หรือไม่

ศุภชัย : ใช่ครับ แต่ผมเน้น L เป็น C ครับ M ยังไม่กล้าไป แล้วก็ V ก็มีแพลนอยู่ ถ้าถามผมกัมพูชาวัฒนธรรมต่างจะงง ๆ นิดนึง แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเวียงจันทน์จะคล้ายกัน แนวโน้มของเวียงจันทน์ คาเฟ่เราดีมาก แต่ว่าพวก Supply ของต่าง ๆ พวกเครื่องต่าง ๆ ยังไม่ดี เพราะด้วยความที่เขาไม่ได้เป็นเมืองใหญ่มาก ทั้งประเทศเขามีแค่ 6 ล้านคน ส่วนกัมพูชาก็จะมีเทรนด์แบบแปลก ๆ แต่ก็เปิดรับเร็ว เพียงแต่ว่าตลาดกัมพูชา เวียดนามและจีนจะเข้ามาแรงกว่า เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าถูกบีบทั้ง 2 ฝั่ง แล้วก็เหมือนกับตัวเลือกเยอะขึ้น ก็จะเกิดการตัดราคากันตลอดเวลา ซ้ายที ขวาทีตลอด เพราะเขาอยู่ตรงกลาง

SME One : คิดว่าอะไรคือ Key Success ของ Bluekoff

ศุภชัย : Key Success จริง ๆ เราเน้นเรื่องคุณภาพมาตลอด Vision เราชัดเจนมากว่าเราต้องเสิร์ฟของที่ดีสุดหรือทำของที่ดีสุดออกไปทุก ๆ วันเท่าที่เราทำได้ เมล็ดกาแฟที่เราทำ ถามว่าทำไมต้องกระเสือกกระสนขึ้นไปหาที่บนดอยช้าง ทำไมต้องกระเสือกกระสน Process งานเองทุกอย่าง ก็เพราะว่าเราต้องการคุณภาพดีจริง

ยุคหนึ่งเราเคยเจอปัญหาเกษตรกรบางคนที่รับออร์เดอร์เราไว้ แล้วก็ไปรับของคนอื่นซ้อน พอของไม่พอก็ใช้วิธีไปรวมของจากที่อื่นมา เอากาแฟจากเชียงใหม่มาส่งเชียงรายเกิดการขนกาแฟจากที่อื่นขึ้นดอยช้าง ก็เลยทำให้ควบคุมคุณภาพไม่ได้ เราก็เลยต้องตัดสินใจว่าสุดท้ายเราคงต้องทำเอง

 

SME One : อยากจะให้คุณศุภชัยช่วยให้คำแนะนำกับ SME หรือเกษตรกรจะให้คำแนะนำอะไร

ศุภชัย : จริง ๆ ผมมองว่าก็ต้องเรื่องคุณภาพเป็นหลักสำหรับเกษตรกร ณ ตอนนี้เกษตรกรทุกคนเริ่มรู้ เริ่มเรียนรู้แล้วว่าคุณภาพที่ดีเป็นอย่างไร แล้วเขาก็เริ่มทำให้ชัดเจนแล้ว แต่เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่งมองกว้าง เพราะว่าตลาดกาแฟมันกว้างใหญ่ อย่าเพิ่งมองกว้าง ให้โฟกัสเป็นจุด ๆ ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ คืออยากให้โฟกัสเรื่องของคุณภาพในการแปรรูปให้ชัดเจนมาก ๆ ก่อน ปัจจุบันนี้มีลูกค้ามากมายที่ยอมซื้อในราคาที่แพงกว่า เพื่อที่จะเอากาแฟคุณภาพของคุณไปใช้ต่อ

ส่วนฝั่งผู้ประกอบการหลัก ๆ เลยผมมองว่าต้องตามเทรนด์โลกให้ทัน เทรนด์กาแฟเปลี่ยนเร็วมาก เทรนด์ประเทศไทยก็เปลี่ยนเร็วมาก เทรนด์โลกก็เปลี่ยนเร็วมาก เพราะฉะนั้นต้องพยายามศึกษาให้เยอะขึ้น ดูให้มากขึ้นครับ เพราะเทรนด์เปลี่ยนทุกวัน เช่นวิธีการชง หรือว่ากาแฟที่เลือกใช้ต่าง ๆ ช่วงนี้อะไรขายดี อย่างช่วงนี้จะมีกาแฟบางส่วนที่เรียกว่ากาแฟปรับกลิ่นขายดีก็จะมีบางคนทำตลาดตรงนั้น หรือว่าเป็นในเรื่องดริปที่ขายดีขึ้น อีกคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการก็คือ ทีมสำคัญมาก ทีมงาน พนักงานของเรา ถ้าเกิดว่าเขาชัดเจนพอ เราต้อง Give More ไม่งั้นเราจะเสียเขาไป

สุดท้ายผมมองว่าไม่ต้องกำไรเยอะทุก ๆ อย่าง เราต้องมีจุดดึงและจุดผลัก ไม่จำเป็นที่จะต้องมองว่าทุกอย่างจะต้องกำไรเกินเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ในทุก ๆ จุด ในความเป็นจริงคือมีจุดผลักจุดดึงดีกว่า จะทำให้ลูกค้าเข้าร้านคุณได้ง่ายกว่า 

 

บทสรุป

Bluekoff ถือเป็นบริษัทซัพพลายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟแบบครบวงจรที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพราะธุรกิจร้านกาแฟนอกจากเรื่องของรสชาติแล้ว ยังมีเรื่องของรสนิยมในการดื่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นตลาดกาแฟจึงปรับเปลี่ยนเร็วตามพฤติกรรมของผู้บริโภค การปรับตัวตลอดเวลาทำให้ Bluekoff สามารถอยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดระยะเวลา 20 ปี ตั้งแต่ยุคกาแฟรถเข็นริมทางที่เน้นขายกาแฟรสชาตเข้มข้น มาจนถึงยุคร้านกาแฟ Specialty Coffee ที่ใช้เงินลงทุนเป็นสิบล้านบาท เน้นจำหน่ายกาแฟที่หายาก ซึ่ง Bluekoff ก็มีสินค้าคุณภาพรองรับในทุกความต้องการ

บทความแนะนำ

สานสาด เพิ่มมูลค่าจากศาตร์งานสาน

สานสาด เป็นแบรนด์สินค้าหัตถกรรมร่วมสมัยที่เกิดจากความตั้งใจของ คุณกุ๊กไก่-มนัสนันท์ ทวีวรสุวรรณ และคุณเป็ด-วิศรุต ทวีวรสุวรรณ ที่อยากจะอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านของชุมชนมุสลิมเล็กๆ ในจังหวัดตรังเอาไว้ จุดเด่นของสานสาดอยู่ที่การผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น คือศาสตร์การจักสานเสื่อเตยปะหนันมาประยุกต์เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่คนทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ในทุกโอกาส ไม่ต้องรอให้ถึงวันสำคัญๆ เหมือนที่เป็นมาในอดีต

SME One : สานสาดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร 

มนัสนันท์ : จุดเริ่มต้นเกิดจากเรามีความชอบในงานคราฟท์หรืองานสาน แล้วคิดว่างานสานน่าจะเป็นตัวแทนในการนำเสนอความเป็นไทยได้ในแบบเราชอบมากกว่างานทอผ้า แล้วปกติเราชอบดูงานตามชุมชนต่างๆ อยู่แล้ว มันเหมือนเราได้เที่ยวและได้เรียนรู้วิถีชีวิตของอีกโลกหนึ่ง เพราะปกติเราก็อยู่แต่กรุงเทพฯ แต่ด้วยหัตถกรรมอันนี้มันอยู่ที่บ้านแม่ที่จังหวัดตรังพอดี พอมีโอกาสได้กลับไปดูก็เริ่มรู้สึกว่ามีความผูกพันและเราหลงรักที่นั่น และเราเคยใช้งานของเตยปะหนันก็ประทับใจอยู่แล้ว แล้วยิ่งเข้าไป Research ยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างขึ้นมา จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คือมาจากความอยากรู้อยากเห็นและความชอบล้วนๆ 

ช่วงที่เราสนใจจริงจังก็เป็นจังหวะที่เพิ่งออกจากงานประจำพอดี ก็เลยมีเวลาให้กับการลงพื้นที่ เข้าไปคลุกคลีพูดคุยแลกเปลี่ยนทำความรู้จักกับชุมชน และค่อยๆ เข้าไปเรียนรู้ Know How ต่างๆ มากขึ้น ถ้ามองงานหัตถกรรมของไทย ชุมชนจะมีของดีของเขาอยู่แล้ว แต่จะขาดการพัฒนาในเรื่องของการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า แล้วเราไปอยู่ตรงนั้นอย่างที่บอกว่ามันเกิดความชอบและความผูกพันที่อยากจะทำ เราอยากช่วยซัพพอร์ตในช่องโหว่ของงานครีเอทีฟก็เลยเกิดเป็นแบรนด์สานสาดขึ้นมา

วิศรุต : ส่วนตัวผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ด้าน Industrial Design (การออกแบบเชิงอุตสาหกรรม) วันที่ตัดสินใจเปลี่ยนความชอบเป็นธุรกิจ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเรายังไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเองจริงๆ มันก็เลยทำให้เราลงลึกแล้วอยากทำให้มันออกมาดี แล้วการที่เราเข้าไปในชุมชน เราก็ไม่ได้อยากแค่ซื้อของหรืออุดหนุนเขาแล้วก็มาขายแล้วมันแปลว่าได้ช่วยเหลือแล้ว เราอยากสนับสนุนและพัฒนาเพื่อให้เขากับเราโตไปพร้อมๆ กัน

SME One : ชื่อสานสาดมาจากอะไร 

มนัสนันท์ : สานสาด มี 2 ความหมาย ความหมายแรกคือ สาดแปลว่าเสื่อภาษาใต้ ที่จริงงานนี้เป็นงานที่ Traditional ที่ผูกกับวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ของกลุ่มชุมชนอยู่แล้ว ต้องขอเล่าก่อนว่าปกติแล้วเขาจะสานเสื่อทิ้งเอาไว้ สำหรับใช้ในพิธีกรรมศาสนาต่างๆ และเป็น Household Products ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่ง ผู้หญิงจะเตรียมสานเสื่อเอาไว้ เราก็เลยอยากให้เครดิตและให้เราได้ระลึกถึงว่าที่มาที่ไปของงานที่เราทำมีรากเหง้ามาจากอะไร ส่วน สาด อีกความหมายหนึ่ง ก็คือศาสตร์ของการสาน เพราะด้วยความที่ตัวเรา 2 คนชื่นชอบในงานหัตถกรรมที่เป็นจักสานอยู่แล้ว เราก็เลยตั้งว่ามันคือศาสตร์ของการจักสาน

 

SME One : สินค้าของสานสาดมีจุดเด่นคืออะไร 

วิศรุต : จุดเด่น คือเรื่องวัสดุ จริงๆ มันแทบจะเป็นจุดเริ่มต้นของเราเลยด้วยซ้ำ ว่าการที่เราเจอวัสดุธรรมชาติอย่างเตยปะหนันหรือเตยทะเล มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับงานสานชนิดอื่น ปกติเราจะรู้จักหวาย กระจูด ไม้ไผ่ ผักตบชวา อะไรประมาณนี้ แต่ว่าเตยปะหนันมันยังไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้างมาก แล้วที่สำคัญเตยปะหนันมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างออกไป คือมีสัมผัสที่นุ่มมือ ไม่อยาบกร้าน มีน้ำหนักเบา ผิวมันเงาสวยงาม และไม่เป็นเชื้อรา คือมีคุณสมบัติหลายอย่างที่โดดเด่น และแตกต่างจากวัสดุจักสานชนิดอื่น แล้วมองจากไกลๆ ก็จะดูรู้ว่าอันนี้คือเตยปะหนัน 

มนัสนันท์ : เตยปะหนันเป็นพืชเฉพาะถิ่น ถ้ายึดตามภูมิศาสตร์ก็จะอยู่ตามริมทะเล ป่าโกงกางอะไร อยู่ทางโซนภาคใต้บริเวณที่เป็นน้ำกร่อย นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่ผูกกับวัฒนธรรมของมุสลิมก็เลยได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซียด้วย  ถ้าดูประชากรที่เกี่ยวข้องกับเตยปะหนันอาจจะมีมาก แต่คนที่เอาเตยปะหนันมาทำเป็นภูมิปัญญาจริงๆ มีน้อย เนื่องจากวิธีการทำค่อนข้างยากกว่างานจักสานทั่วไปที่เป็นวัสดุอื่นๆ การเตรียมเส้นต้องใช้เวลา 4 วันถึง 1 อาทิตย์ก็เลยทำให้คนทำยิ่งน้อยลงไปอีก ดังนั้นคนที่ทำอยู่ของเราก็เลยเป็นคนที่ใจรักจริงๆ และอยากที่จะอนุรักษ์ให้มันยังคงอยู่

ถ้าย้อนกลับไปค่าเฉลี่ยอายุของคนทำจะอยู่ที่ประมาณ 60 ปี ถือว่าค่อนข้างมีอายุ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เรามองเห็นว่ามันกำลังจะหมดไป เรารู้สึกไม่อยากให้มันหายไปก็เลยค่อยๆ สร้างทีมกลุ่มสานขึ้นมา เพื่อให้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีคนอายุ 30-40 ปีเข้ามาทำแล้ว

 

SME One : กลุ่มคนสูงอายุมีปัญหากับการทำลายที่ทันสมัย หรืองานยากๆ บ้างหรือไม่

มนัสนันท์ : ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะชอบสานสีแรงๆ สีบานเย็น สีแดง เป็นหลัก แต่ด้วยความที่ว่าเราค่อนข้างคลุกคลีกับเขา ก็เลยค่อยๆ พูดเหตุผลให้เขาฟังว่าการทำสีอื่นก็เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า แต่เรื่องของสีสันที่เราวางกราฟิกใหม่แพทเทิร์นใหม่ เราค่อนข้างโชคดีที่ว่ากลุ่มที่เราทำด้วย เขาเข้าใจและร่วมทำร่วมทดลองไปกับเรา เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนไอเดียกัน ถามว่ามีปัญหาไหม ก็แค่ช่วงแรกๆ ไม่ได้เยอะมาก

ต้องให้เครดิตกลุ่มที่ทำเป็นสินค้า OTOP มาก่อน เพราะมีการพัฒนาสินค้ามาในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะว่าทำการตลาดไม่เป็น ไม่รู้จะขายยังไงด้วย ที่จริงสินค้าของชาวบ้านก็สวยมากอยู่แล้วในสายตาของเรา และนอกจากเสื่อก็มีทำเป็นพวกกระเป๋าอยู่แล้ว เพียงแต่วัสดุที่นำมาประกอบเป็นของราคาค่อนข้างถูก ทำให้ไม่สามารถขายราคาแพงได้ ถ้าเรามอง OTOP ทุกวันนี้คือผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะโดนกดราคา เพราะว่าคนไทยไม่ได้เห็นคุณค่าของงานหัตถกรรม ทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศที่มีงานหัตถกรรม 70-80% 

 

SME One : โดยปกติชาวบ้านทำงานสานเป็นงานอดิเรก งานเสริม หรือทำเป็นงานประจำ

มนัสนันท์ : คนที่ทำเป็นงานประจำจะมีแค่คนเดียว ชื่อพี่จันทร์เพ็ญ เป็นผู้นำของการทำงานหัตถกรรมเตยปะหนัน ส่วนคนอื่นก็จะเป็นงานเสริม ตรงนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่เราเข้าไป ตอนแรกเราก็แปลกใจว่าทำไมมีคนทำน้อย เพราะมันเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ได้ในสายตาเรา เพราะเรามองว่ามันมีมูลค่า แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าเขาโดนกดราคา เขาก็เลยรู้สึกว่าเขาเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ถ้าเขาไปทำประมงหรือไปกรีดยางอาจจะได้ราคามากกว่า แล้วงานสานเตยปะหนันมันก็ใช้เวลามากกว่า 

วันที่เราตัดสินใจเข้าไปคุยกับชาวบ้านว่าจะทำเป็นธุรกิจ จะเข้ามาพลิกฟื้นงานจักสานท้องถิ่น ตอนนั้นพี่จันทร์เพ็ญที่เป็นผู้นำเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายว่าทำไมเขาพยายามจะทำแต่มันอยู่ที่เดิม จึงเหมือนเราไปช่วยเชียร์มากกว่า พอเราตัดสินใจว่าจะสร้างแบรนด์ ชาวบ้านก็ช่วยซัพพอร์ตเพราะเขาก็อยากให้งานนี้มันไปได้ไกล และรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีศักยภาพที่จะขายให้ราคาแพงกว่านี้ได้ หรือทำให้กลุ่มของเขามีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ เหมือนเขาก็คิดว่ากลุ่มเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาอะไรแบบนี้ค่ะ ขายได้ก็แค่งาน OTOP หรือเป็นงานสำเพ็งซื้อเป็นโหลๆ แล้วราคาก็ต้องถูกกดให้ถูกลง ตอนที่เราไปคุยเขาก็ยินดี ทุกวันนี้พี่จันทร์เพ็ญก็เป็นโครงสร้างหลักของสานสาด

 

SME One : ปัญหาในการทำธุรกิจช่วงแรกๆคืออะไร

มนัสนันท์ : สานสาดทำมาได้ประมาณ 3 ปีกว่า ปัญหาตอนแรก คือลายของเราคนสานได้มีพี่จันทร์เพ็ญทำคนเดียว แต่ปัจจุบันมี 8 คน ซึ่งมันก็เยอะสำหรับเรา เพราะว่างานของเราค่อนข้างสานยาก จะยากกว่างานสานที่เราเห็นทั่วไปในงาน OTOP ประมาณ 3-4 เท่า และถ้าเป็นคนอายุเยอะก็จะสานลายนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นลายที่ค่อนข้างซับซ้อนส่วนมากก็จะเป็นคนอายุประมาณ 30-40 ปีที่ทำลายนี้ให้เรา

ทุกวันนี้คนที่มาทำงานเป็นคนในตำบลท้องถิ่นเลย เหมือนเราโชคดีที่ได้มือสานมาอีกคนนึง เขาเห็นความตั้งใจของแบรนด์ ไม่อยากให้มันหมดไป แล้วเขาก็อยากทำงานสานตรงนี้ เราก็เลยได้คนเพิ่มขึ้นมา อย่างช่วง COVID-19 ปีที่แล้วเป็นช่วงที่พีคมาก พี่จันทร์เพ็ญก็ไม่มีงานเลย OTOP ก็โดนยกเลิก แต่เขาอยู่ได้เพราะเขาได้งานจากเรา 

ทุกวันนี้งานของสานสาดเราใช้วิธีการให้ชาวบ้านเตรียมวัตถุดิบให้เรา แล้วเราก็เอามาขึ้นงานต่ออีกที เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่างานที่เราทำเป็นงานอะไร เป็นงานโปรเจคลูกค้า หรือถ้าเป็นงานกระเป๋า ถ้าเป็นงานโปรดักส์ที่ไม่ใช่งานโปรเจคลูกค้า เราก็จะให้เขาสานขึ้นมา แล้วเราซื้อมาไปประกอบเอง เหมือนพยายามกระจายออกไปหลายๆ ที่ ว่าใครถนัดอะไร

SME One : กลุ่มลูกค้าของสานสาดเป็นคนไทยกี่เปอร์เซนต์ ต่างชาติกี่เปอร์เซ็นต์ 

วิศรุต : คนไทยประมาณ 80% ต่างชาติ 20% มีสินค้ากลุ่มส่งออกเราเริ่มทำสินค้าเมื่อปีที่แล้ว มีต่างชาติหลายคนติดต่อเข้ามา แต่พอเจอ COVID-19 ทุกอย่างก็ชะลอ ตอนนี้ประเทศไทยก็สถานการณ์รุนแรงกว่าต่างประเทศ เรามีลูกค้าคนเกาหลีเอาไปขายที่เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ก็เป็น Online Shop มากกว่า ยังไม่ถึงกับส่งออกไป และที่ผ่านมาก็จะมีลูกค้าที่สั่งผ่านเว็บไซต์ 

 

SME One : ช่วง COVID-19 ระบาดหนักๆ สานสาดได้รับผลกระทบหรือไม่

มนัสนันท์ : เราขายดีขึ้น เป็นเพราะเราค่อนข้างเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ค่อนข้างเร็ว มันเป็นช่วงที่ช่างสานไม่มีงานจากที่อื่น แล้วช่างหนังก็ตกงานกัน โรงงานไม่ให้งาน แล้วด้วยความที่เราชอบสังเกตพฤติกรรมของคน และขี้เบื่อด้วย เราก็เลยออกแบบสินค้าใหม่ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของคนก็เลยขายได้เรื่อยๆ เลย งานโปรเจคหรืองาน B2B ก็มีเข้ามาเรื่อยๆ

ในส่วนของงานโปรเจคจะเป็นงานลักษณะแบบงาน Custom พิเศษ แล้วก็จะมีในส่วนของ Interior ด้วย ส่วนของคอลเลคชั่นใหม่ที่ทำกับแบรนด์อื่นก็มีอยู่ในกระบวนการผลิต แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ปล่อยออกมา 

 

SME One : ช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ มีไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่ 

มนัสนันท์ : ปีที่แล้วเราสมัครเข้าไปในกิจกรรมของกรมต่างๆ แต่ที่ Effective มากๆ ที่เราต้องขอบคุณก็คือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ในโครงการ Idea Lab #3 by DITP ที่จัดโดย ผอ.ประอรนุช ประนุช โดยผอ.ประอรนุช เป็นคนเลือกแบรนด์เข้าไปจาก 100-200 แบรนด์ ก็มีแค่ 10 กว่าแบรนด์ที่เข้ารอบไป โครงการนี้ทำให้เรามองเห็นความจริงแล้วก็ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนเป็นกระจกสะท้อนให้เราว่าเราเดินมาเป็นอย่างไร โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษา คืออาจารย์ทรงพล เนรกัณฐี และ คุณดุษฎี บุญชัยศรี

นอกจากนี้เราเคยส่งงานเข้าประกวดกับ TCDC ตั้งแต่เรายังเป็นแค่งานแพทเทิร์นกราฟิกใหม่ของงานสาน ที่เราเห็นว่าในท้องตลาดยังไม่มีใครทำ เราก็เลยลองส่งเข้าประกวดจนได้ไปโชว์เคส

 

SME One : วางแผนจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร   

วิศรุต : ในส่วนของไลฟ์สไตล์โปรดักส์เราก็ยังทำ โดยยึดหลักมองหาความต้องการของผู้บริโภคเพื่อตอบโจทย์ ส่วนงานที่ Scale Up ขึ้นไปอย่างของแต่งบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ เป็นแนวทางที่กำลังทำการบ้านกันอยู่  

มนัสนันท์ : แต่โดยพื้นฐานงานของสานสาดก็จะเป็นการสังเกตพฤติกรรมของคน เพื่อให้ตอบโจทย์กับลูกค้าของเราให้ได้ ที่ทำงานของเรามีแค่ 2 คน เป็นแอดมินกันเองผลัดกันตอบ กุ๊กไก่ก็จะชอบถามลูกค้า ลูกค้าก็จะแนะนำว่าทำแบบนี้ไหม ทุกอย่างเราจะเก็บเป็นฐานข้อมูลหมด เราจะได้รู้ว่าตอนนี้ทุกคนมองไปในทิศทางไหน ลูกค้าเราต้องการอะไร เน้นการปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบันที่มันเปลี่ยนแปลงไปเร็ว 

 

SME One : สานสาดอุตสาหกรรมระดับชุมชน ถ้ามีแบรนด์ใหญ่มาทำงานด้วย สามารถ Scale Up ได้หรือไม่

มนัสนันท์ : ต้องดูระยะเวลาว่าเหมาะสมกับงานคราฟต์หรือไม่ แล้วเราสามารถทำเสร็จทันไหม อย่างที่สองคือการออกแบบก็อาจจะไม่ต้องเป็นเตยปะหนัน 100% เราสามารถใช้วัสดุอื่นทดแทนด้วยก็ได้ เราคิดว่าจุดเด่นของแบรนด์เราตอนนี้คือการปรับตัวที่ค่อนข้างเก่ง แล้วเรามีช่างฝีมือทั้งงานหนัง งานกล่องไม้ งานสลัก และงานสานค่อนข้างเร็ว ถามว่าเป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปได้ อยู่ที่ลูกค้าว่าจะโอเคกับงานออกแบบใหม่ของเราไหม 

SME One : จากที่เล่ามาเหมือนว่างานของสานสาดไม่ใช่มีแค่งานสานอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบหลายอย่างกว่าจะเป็นสินค้า 1 ชิ้น

มนัสนันท์ : ด้วยความที่ตอนแรกเราโฟกัสว่าต้องเป็นเตยปะหนันอย่างเดียว แล้วคุณสมบัติของเตยปะหนันมันก็มีทั้งจุดเด่นและจุดอ่อน เราก็เลยต้องหาจุดอื่นมาปิด และเราพยายามเปิดกว้างกับวัสดุอื่นด้วย เรารู้สึกว่าเราสนุกกับการได้เล่นกับวัสดุอื่นๆ เรามองว่ามันคืองานครีเอทีฟชิ้นหนึ่งที่เราออกแบบออกไปมากกว่า อย่างงานหนังตอนแรกเราก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานหนังเลย เราก็ให้ช่างเย็บหนังสอนว่างานแต่ละพาร์ทคืออะไร เพราะถ้าเราเลือกวัสดุเอง เราก็จะได้เจาะลึกเอง ไส้ในทุกอย่างเราจะรู้หมดเลยว่าเขาใส่อะไรให้เรา เราจะได้ไม่โดนหลอก ทุกคนก็ Win-Win

 

SME One : เร็วๆ นี้จะมีสินค้าอะไรออกมาใหม่

มนัสนันท์ : จะมีกระเป๋าที่กำลังจะเปิดพรีออเดอร์ ด้วยความที่เราอยากให้ลูกค้าได้เห็นคุณค่าของงาน เราก็เลยให้ช่างของเราใช้เวลากับงานมากที่สุดเพื่อให้งานออกมาเรียบร้อย เราก็จะมีทำเป็นเซตแต่ละเซตออกมา เดี๋ยวจะมีกระเป๋ารุ่นใหม่ออกมาที่เราคิดว่าน่าจะเข้ากับยุคสมัยนี้ และตอนนี้ก็มีงานที่ทำให้ Case ที่ต้องไปแข่งที่ฝรั่งเศส แล้วก็มีงานที่ทำร่วมกับแบรนด์อื่นอีกที่จะต้องรอดูโควิดว่าจะยังไงต่อในปลายปี ถ้าไม่ได้ก็อาจจะปีหน้า 

อย่างที่บอกว่าเราค่อนข้างทำเป็นงานไลฟ์สไตล์ เราจะยึดพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้นสินค้าเราจึงออกแบบให้คนสามารถใช้ได้ทุกวัน ตัวอย่างงานที่ออกมาแล้วขายค่อนข้างดีที่ชื่อว่า SUNSIA เป็น Cards Holder ที่ผสมกับแอลกอฮอล์สเปรย์ ตัวนั้นเราเห็นลูกค้าแท็กมาและส่งรูปให้ดูค่อนข้างเยอะ เพราะมันเป็น Everyday Use ไปแล้วที่ทุกคนต้องใช้แอลกอฮอล์และใช้การสแกนจ่าย และพกบัตรเครดิต ใบขับขี่อะไรแบบนี้ ที่เราได้รับ Feedback ก็คือเห็นว่าลูกค้าใช้ 

 

SME One : คิดว่า Key Success ของสานสาดคืออะไร

วิศรุต : ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นองค์กรใหญ่ ดังนั้นการที่เรามองเห็นความต้องการ ปรับตัว และตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคผ่านการสังเกต ศึกษา หรือการพูดคุยกับลูกค้ามาเป็นข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ คิดว่าจุดนี้ทำให้เรามาได้ถึงขนาดนี้ เราไม่ได้สักแต่ทำของที่ตอบโจทย์แค่ตัวเราเองแล้วออกมาขายในเชิงศิลปะขนาดนั้น 

มนัสนันท์ : เสริมในแง่ของราคา ถ้าเรามองงานสานในระดับแบรนด์ที่ออกแบบหรือแบรนด์บนๆ เราจะตั้ง Position ตัวเองไม่ให้แพงไป ราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้คนเข้าถึงได้มากกว่า เหมือนเราอยากให้คนไทยเข้าถึงงานคราฟต์ของเรามากขึ้น เรากล้าพูดว่าอันนี้คือของคนไทย แล้วเวลาถือก็ดูโมเดิร์นเหมาะกับยุคสมัย ของเราจะขายดีแบบบอกต่อกันปากต่อปากค่อนข้างเยอะ และกลับมาซื้อซ้ำค่อนข้างเยอะ เพื่อให้เป็นของขวัญคนอื่นก็เยอะ

 

SME One : อยากจะจะให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ SMEs ที่อาจจะอยากทำงานหัตถกรรมแบบสานสาดอย่างไร

วิศรุต : ถ้าอยากจะทำงานหัตถกรรมแล้วต้องทำร่วมกับชุมชน เราก็ต้องให้ความมั่นใจและความเชื่อใจกับเขาว่าเราไม่ได้จะเอางานของเขาไปเป็นของเรา สุดท้ายแล้วมันต้องอยู่ในภาวะที่พึ่งพิงและพึ่งพาอาศัยกันทั้ง 2 ฝ่าย เราก็วางเอาไว้ว่าจะต้องโตไปกับชุมชนที่เราทำด้วยไม่มากก็น้อย 

มนัสนันท์ : ทุกครั้งเวลาให้สัมภาษณ์ เราก็จะพูดถึงจุดนี้ เรามองถึงคนข้างหลังเราว่าจะต้องโตไปกับเรา ลูกหลานช่างสานของเราก็ต้องมีการศึกษาที่ดี ได้เรียนหนังสือ เรามองตรงนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะถ้าความเป็นอยู่ของเขาไม่ดี เขาก็หมดกำลังใจในการพัฒนางานของเขาร่วมกับเราเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นมุมมองเชิงธุรกิจหรือการสร้างแบรนด์ ก่อนที่คุณจะสร้างแบรนด์หรือทำอะไร การ Research ข้อมูลสำคัญมาก เพราะถ้าคุณทำโปรดักส์ออกมาแต่ไม่รู้จะขายใคร มันก็ขายไม่ได้ ดังนั้นการ Research การคุยกับลูกค้า การปรับตัว เป็นจุดหลักๆ ในวิกฤตตอนนี้เลย ที่เราต้องทำผลิตภัณฑ์ออกมาให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค 

 

บทสรุป

ความสำเร็จของสานสาดมาจากความตั้งใจที่จะสืบสานงานหัตถกรรมดั้งเดิมของชุมชน โดยร่วมมือกับผู้นำชุมชนพิสูจน์ให้ชาวบ้านที่เคยเป็นช่างสานมีความภาคภูมิใจในงานจักสานท้องถิ่นและกลับมาเห็นคุณค่าผ่านงานดีไซน์ และการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประโยชน์การใช้งานด้านอื่นๆ นอกจากเสื่อ ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างดีไซน์และการใช้งานทำให้สานสาดสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอย่างชัดเจน

 

บทความแนะนำ

SHOPLINE Platform ช่วยสร้างธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจร

ปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกำลังเผชิญอยู่ ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้การค้าขายในช่องทางเดิมๆ ประสบปัญหามากมาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากได้เปลี่ยนช่องทางการทำธุรกิจ โดยผันตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์กันมากขึ้น เป็นสาเหตุให้ตลาด E-Commerce เติบโตมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ภายใต้ความคาดหวังว่า จะประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่กลับมีปัญหาการขาดความเชี่ยวชาญในการทำตลาดออนไลน์ ขาดทรัพยากร และเวลาในเรื่องการบริหารจัดการ จึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่ผู้ประกอบการไทยต้องมีผู้ช่วยเข้ามาให้การสนับสนุน และจัดการกับ Pain Point ที่มีอยู่ และวันนี้เรื่องของการบริหารจัดการธุรกิจออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยเพราะวันนี้มี Solution Platform มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ไทย 

วันนี้เราขอกล่าวถึง แพลตฟอร์มการจัดการร้านค้าออนไลน์ในชื่อของ SHOPLINE เป็นผู้ให้บริการด้านระบบจัดร้านค้าบน E-Commerce และ Social Commerce แบบครบวงจรจากประเทศฮ่องกง ได้แก่ ระบบการจัดการออเดอร์ การจัดการสต็อกสินค้า ระบบการชำระเงิน และการทำ CRM รวมถึงการเป็นผู้ช่วยในการสร้างเว็บไซด์ของร้านค้าที่สามารถทำได้เพียงไม่กี่นาที พร้อมมีระบบเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นการทำธุรกิจ E-Commerce หรือสร้างร้านค้าบนออนไลน์ได้อย่างง่ายดายภายใต้งบประมาณ และทรัพยากรอันจำกัด 

ที่ผ่านมา SHOPLINE มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการ SME มากกว่า 250,000 รายทั่วโลก และมีการเข้าถึงลูกค้ามากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก จากการเปิดให้บริการใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย เวียดนาม จีน สิงคโปร์ และไทย

ชนนันท์ ปัญจทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย SHOPLINE ประเทศไทย กล่าวว่า SHOPLINE เป็นแพลตฟอร์มการจัดการร้านค้าออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ ตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจทุกขนาด ด้วยขั้นตอนการใช้บริการที่ง่าย และสะดวกรวดเร็ว เปรียบเสมือนการให้บริการแพลตฟอร์ม DIY สำหรับร้านค้าและธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท ซึ่งร้านค้าไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ แต่สามารถสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ขณะเดียวกัน SHOPLINE ยังมีทีมงานที่ปรึกษาด้านอีคอมเมิร์ซคอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในการเปิดร้านค้าออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทย SHOPLINE เปิดให้บริการเมื่อช่วงปลายปี 2563 โดยวางเป้าหมายในการทำหน้าที่เพื่อให้การสนับสนุนบริษัทที่เป็นสตาร์ทอัพ ไมโครสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ SMEs ให้ประสบความสำเร็จในการธุรกิจบนโลกออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจออนไลน์มีหลายรูปแบบ และผู้ประกอบการก็มีการขายอยู่ในหลายแพลตฟอร์ม ซึ่ง SHOPLINE มองว่า แพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการออนไลน์ได้ดีที่สุดมี 2 แพลตฟอร์ม คือ 

E-Commerce Website ในรูปแบบ DIY สำหรับการทำ Direct to Consumer ผ่านการสร้างเว็บไซต์ของแบรนด์ เพื่อทำให้แบรนด์สามารถอัตลักษณ์ และตัวตนที่ชัดเจนของแบรนด์ได้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่แบรนด์สามารถคุยกับลูกค้าของตัวเองได้โดยตรง รวมถึงการเก็บข้อมูลต่างๆ บนเว็บไซต์เพื่อนำไปต่อยอดในเรื่องการทำการตลาดต่อได้ 

Social Commerce มีความเหมาะสมกับผู้บริโภคในแถบเอเชียที่นิยมใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook โดย SHOPLINE จะช่วยทำให้การใช้แพลตฟอร์มนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ Social Commerce Solution เพื่อช่วยบริหารจัดการในเรื่องงานหลังบ้าน เช่น การตอบคำถามที่เกิดขึ้นในหลากหลายช่องทาง หรือการบริหารจัดการหลังการ Livestream จบลง เช่น การจัดการกับคอมเมนท์ การสั่งซื้อ การจ่ายเงิน เป็นต้น

จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งของ SHOPLINE คือ การกำหนดอัตราค่าบริการในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดย SHOPLINE เปิดให้บริการร้านค้าออนไลน์ และธุรกิจในประเทศไทยด้วยบริการ 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. E-Commerce Solution สำหรับร้านค้า และธุรกิจที่เน้นการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ ด้วยระบบจัดการหลังบ้านที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ใช้งานสะดวก มีอัตราค่าบริการ 599 บาทต่อเดือน และ 4,999 บาทต่อปี 
  2. Social Commerce Solution สำหรับร้านค้า และธุรกิจที่ต้องการขายผ่าน Social Platform มีอัตราค่าบริการ 599 บาทต่อเดือน และ 4,999 บาทต่อปี 
  3. All-in-One สำหรับร้านค้า และธุรกิจที่ต้องการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ และ Social Platform ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำตลาดจากการเชื่อมโยงการทำงานของ 2 แพลตฟอร์ม ด้วยอัตราค่าบริการ 1,199 บาทต่อเดือน และ 7,999 บาทต่อปี 

“เรานำโซลูชั่นที่เรียกว่า Social Commerce จะเข้ามาช่วยจัดการกับ Pain Point จากคำถามเดิมๆ ที่เกิดขึ้นใน หลายๆ ช่องทาง ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Message Center โดยทุกข้อความไม่ว่าจาก LINE, Facebook หรือจากเว็บไซต์ จะถูกรวมเข้ามาอยู่ในหนึ่งช่องทาง ทำให้เราสามารถจัดการกับออเดอร์ได้ ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่สามารถซัพพอร์ตการทำงานของ SMEs ได้ดี ซึ่งปัจจุบันอาจมีโซลูชั่นที่คล้ายกับเราอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีใครที่เป็น One Stop Service ได้เท่ากับ SHOPLINE”

SHOPLINE มี Live Commerce ที่มาช่วยขายสินค้าผ่านไลฟ์สดได้โดยไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก และเป็นวิธีการที่ร้านค้าให้ความนิยมกันมากโดยใช้สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว รวมถึงบริการ Conversational Commerce ที่มีตัวช่วยสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน จึงสามารถเพิ่มยอดขาย และเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริง และทำให้โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของการขาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ LINE ด้วยเครื่องมือทั้งในรูปแบบ Livestream, Chatbot และ Message Center 

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น และใช้งานได้อย่างหลากหลาย อาทิ การจัดการร้านค้าและสินค้าคงคลัง รายงานผลแบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อการชำระเงินและการจัดส่ง ภาษาและสกุลเงินที่หลากหลาย การบริการลูกค้าสัมพันธ์และเครื่องมือทางการตลาด แผนกบริหารความสำเร็จของลูกค้า บริการช่วยเหลือด้านการโฆษณาออนไลน์ และชุมชน SHOPLINE เป็นต้น โดย SHOPLINE เปิดให้ทดลองใช้งานฟรี 14 วัน พร้อมทีมงานที่ปรึกษาด้าน E-Commerce คอยให้คำแนะนำ และความช่วยเหลือในการเปิดร้านค้าออนไลน์

ชนนันท์ กล่าวเสริมว่า ท่ามกลางสถานการณ์ของตลาดออนไลน์ที่กำลังขยายตัว SHOPLINE คาดหวังว่า จะมีส่วนผลักดัน และสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้ประกอบการในกลุ่ม SME ไทยได้เติบโตขึ้นอย่างแท้จริง โดยตั้งเป้าหมายจนถึงสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 3,000 ราย 

“จุดแข็งของ SHOPLINE คือ การเป็น End to End Service พร้อมการให้ความรู้ คำแนะนำ หรือให้ข้อมูล เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเกิดการเติบโต โดยก่อนหน้านี้จะเน้นการจัดสัมมนาเพื่ออบรมกลุ่มลูกค้า หรือผู้ที่สนใจเพื่อแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ในด้านต่างๆ แต่ด้วยสถานการณ์ของโควิด-19 ในช่วงนี้จึงได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการสัมมนาแบบ Webinar เพื่อซัพพอร์ตกลุ่มลูกค้าของเราให้สามารถทำธุรกิจ และเติบโตต่อไปได้แบบไม่สะดุด”

นอกเหนือจากการนำเสนอการบริการแบบครบวงจร SHOPLINE ยังมีจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบโซลูชั่นที่พัฒนามาเพื่อผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ ทั้งแบบ E-Commerce และ Social Commerce ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์ ด้วยการใช้งานได้ที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดบนโลกออนไลน์ได้กว้างมากขึ้น นำไปสู่โอกาสในการสร้างยอดขายที่เติบโตขึ้นในที่สุด

ปัจจุบัน SHOPLINE มีกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างหลากหลายทั้งในกลุ่ม SMEs และธุรกิจที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ เนื่องจากตัวระบบสามารถซัพพอร์ตในเรื่อง Customer Relation Management ให้กับธุรกิจได้ดี ซึ่งสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันประมาณ 70% เป็นกลุ่ม SMEs โดยสินค้าหลักมากกว่า 50% เป็นสินค้ากลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้า รองลงมาเป็นสินค้าแม่และเด็ก 20% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30% จะเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ อาหาร และนูทริชั่น เป็นต้น

Hello Sunshine เป็นตัวอย่างของธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าเด็กของคุณแม่ลูกสองที่เป็นอดีตพนักงานประจำ และไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่สามารถสร้างความสำเร็จด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้น 30 – 40% จากการเข้ามาใช้ E-Commerce Platform ด้วยการอสร้างเว็บไซต์ที่มีเอกลักษณ์ จนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคุณแม่ลูกอ่อนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

Glassaholic เป็นธุรกิจร้านแว่นตาแบรนด์เนมที่มีหน้าร้านอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อมีการล็อกดาวน์จึงต้องเปลี่ยนมาทำตลาดออนไลน์ และได้จ้างโปรดักต์ชั่นเฮ้าส์ให้พัฒนาเว็บไซต์ในงบประมาณ 2 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถใช้งานเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเชื่อมต่อกันได้ จึงได้เปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม Direct to Consumer ของ SHOPLINE ในอัตราค่าบริการ 7,999 บาทต่อปี ควบคู่ไปกับการให้บริการไปตรวจวัดสายตาถึงบ้านลูกค้า หลังจากทำตลาดได้ประมาณ 2 เดือน ก็ประสบความสำเร็จกับยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาเปิดตลาดของ SHOPLINE จึงเหมือนเป็นตัวเชื่อมต่อเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับ SMEs ไทย สามารถเติบโตบนช่องทางออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับเทรนด์ของ Social Commerce ที่กำลังมา อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับ SMEs ไทยที่ยังขาดความเข้าใจในการทำตลาดออนไลน์ที่ค่อนข้างมีรายละเอียดทั้งในเรื่องการดีลกับโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม และการดีลกับบริษัทขนส่ง เพื่อให้ได้อัตราค่าบริการที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และประหยัดต้นทุนการจัดการ รวมถึงการสนับสนุนในเรื่องของระบบ Payment จากพันธมิตรระดับโลก

  “เราเป็น One Stop Service ที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเดินเข้ามาหาได้ โดยเริ่มต้นจากการทำเว็บไซต์ E-Commerce หรือ Social Commerce ไปจนถึงการทำ Membership Management เรามั่นใจว่า จะมีส่วนผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยประสบความสำเร็จในการก้าวสู่ตลาด E-Commerce ที่ยังเติบโตได้อีกมาก และสร้างความพร้อมในการขยายตลาดไปสู่ภูมิภาคอาเซียน และตลาดโลกต่อไปในอนาคต” ชนนันท์ กล่าว

บทความแนะนำ

AMARC ตรวจสอบ-รับรองคุณภาพสินค้า ผลักดันสินค้าไทยสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานสากล

รากฐานสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ และสินค้าได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค จากตลาดไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน คือ มาตรฐานคุณภาพ และความปลอดภัยในด้านต่างๆ

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าสินค้า จะผ่านมาตรฐานในประเทศ และมาตรฐานระดับสากล เพื่อส่งออกได้หรือไม่นั้น ต้องได้รับการตรวจสอบ และประเมินผลจากห้องปฏิบัติการที่มีความพร้อมทั้งด้านผู้เชี่ยวชาญ, องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และการตรวจวิเคราะห์, เครื่องมือทันสมัย และความแม่นยำ 

ด้วยเหตุนี้แล็บด้านการตรวจสอบ จึงมีบทบาทสำคัญต่อสินค้า ซึ่งในประเทศไทยหนึ่งในผู้ให้บริการด้านนี้คือ “บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด” (Asia Medical and Agricultural Laboratory and ResearchCenter) หรือเรียกว่า “AMARC” (เอมาร์ค) แล็บตรวจสอบ วิเคราะห์ รายงาน และรับรองผลในด้านอาหาร เกษตรกรรม ยา สมุนไพร สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมทั้งมาตรฐานในประเทศ และระดับสากล

ทำความรู้จัก “AMARC” แล็บครบวงจรของไทย 

“AMARC” ก่อตั้งขึ้นในปี 2551 โดยกลุ่มแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลลาดพร้าว ให้บริการตรวจสอบวิเคราะห์ และรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร การเกษตร และยา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ขณะเดียวกันเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาคุณภาพในอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร และยา ในฐานะเป็นแล็บผู้ให้บริการครบวงจรใน 6 ด้านหลัก ประกอบด้วย 

  1. เกษตรกรรมและอาหาร ตรวจวิเคราะห์ และรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์เกษตร และอาหาร 
  2. ผลิตภัณฑ์ยา ตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์
  3. สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ตรวจวิเคราะห์คุณภาพ และความปลอดภัยของอากาศ ดิน ตะกอน น้ำ และน้ำเสีย
  4. การสอบเทียบเครื่องมือ ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือแล็บ​ โรงงาน และโรงพยาบาล
  5. ตรวจและรับรองฟาร์ม และโรงงาน ในกลุ่มเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาหาร เพื่อออกใบรับรองมาตรฐานต่างๆ
  6. ให้คำปรึกษาและฝึกอบรม ด้านการตรวจและรับรอง การจัดทำระบบมาตรฐาน 

ด้วยความหลากหลายของบริการที่ครบวงจร ทำให้ AMARC มีห้องปฏิบัติการที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ห้องปฏิบัติการเคมี, ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา, ห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยา, ห้องปฏิบัติการสิ่งปลอมปน, ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์, ห้องปฏิบัติการทางเภสัช, ห้องปฏิบัติการทางสมุนไพร, ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับปัจจัยผลิตทางการเกษตร, ห้องปฏิบัติการวัตถุอันตราย, ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง

รศ.นพ.วิรัตน์ วงศ์แสงนาคประธานกรรมการบริษัทและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัดให้สัมภาษณ์ว่าลูกค้า AMARC มีหลายหลาย โดยหลักประกอบด้วย 

  1. ผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ รวมถึงโรงงานยา ทั้งของรัฐ และเอกชน
  2. หน่ายงานภาครัฐ เช่น อย. กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ 
  3. ธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ต 
  4. อื่นๆ เช่น ลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล 

“AMARC เป็น Third Party ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ เราทำหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์ และรับรองผล เช่น ผู้ประกอบการส่งสินค้ามาให้เราตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐาน เมื่อทดสอบเสร็จ เราจะออกเป็น Certificate of Analysis คือ ใบรายงานผลการทดสอบ จากนั้นผู้ประกอบการจะนำใบรายงานผลนี้ ไปดำเนินการต่อตามวัตถุประสงค์ของเขา 

ยกตัวอย่างผู้ประกอบการต้องการทำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง จะส่งผลิตภัณฑ์มาให้เราทดสอบ ทาง AMARC ทำการทดสอบ และตรวจสอบตามที่กฎหมายกำหนดเช่น อาหารในภาชนะปิดสนิท ต้องมีความปลอดภัยอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก, สารเคมี, สิ่งปนเปื้อน, วัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ เมื่อทดสอบและวิเคราะห์เสร็จ เราจะรายงานผลกลับไป แต่ถ้าผู้ประกอบการต้องการส่งสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ กฎหมายแต่ละประเทศ มีค่ากำหนดแตกต่างกัน เราก็จะให้คำแนะนำ และรายงานผลตามการทดสอบ” 

 

“ผัก - ผลไม้ไทย” โดดเด่นในตลาดโลก 

หนึ่งในเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือ ภาคการส่งออก แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ที่กระทบทั่วโลก มีผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยหดตัวอย่างรุนแรง 

จากรายงานนโยบายการเงิน ฉบับเดือนธันวาคม 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะหดตัว 7.4% ในปี 2563 ขณะที่ปี 2564 และปี 2565 คาดการณ์ว่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 5.7% และ 5% ตามลำดับ 

โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2564 มูลค่าอยู่ที่ 23,699.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือคิดเป็น 738,135.34 ล้านบาท ขยายตัว 43.82% ถือว่าเป็น New High ในรอบ 11 ปี โดยสินค้าที่ขยายตัวสูง อันดับหนึ่งคือ อาหาร และสินค้าการเกษตร เช่น ผัก, ผลไม้ ทั้งสด แช่แข็ง แช่เย็น และแปรรูป 

ตลาดหลักคือ จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และอาเซียน ส่วนตลาดรองลงมา เช่น ตลาดแถบเอเชียใต้, ตลาดตะวันออกกลาง, แอฟริกา, ลาติน และออสเตรเลีย 

“สินค้าอาหาร และการเกษตรของไทย ถือว่าทำได้ดีในตลาดโลก ที่ผ่านมาลูกค้ารายใหญ่ของประเทศไทย คือ สหรัฐฯ, สหภาพยุโรป (EU) และญี่ปุ่น นอกจากนี้ในปัจจุบันอาเซียน และจีน ยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ในอาเซียน กำลังมีการประชุมกันถึงเรื่องการออกกติกามาตรฐานด้านอาหารในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเอง ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ร่วมกันกำหนดขึ้น 

ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs ถ้าจะไปตลาดต่างประเทศ อย่าเพิ่งมองไกล ควรมองตลาดในกลุ่มอาเซียนก่อน เช่น ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย เพื่อพยายามผลักดันธุรกิจให้เติบโตมากกว่าการบริโภคเฉพาะภายในประเทศ (InternalConsumption)” รศ.นพ.วิรัตน์ฉายภาพโอกาสธุรกิจอาหาร - สินค้าการเกษตรของไทยในตลาดต่างประเทศ 

 

ตั้งเป้าเป็น “แล็บชั้นนำของเอเชีย”

เป้าหมายระยะยาวของ AMARC คือ มุ่งสู่การเป็นแล็บชั้นนำของเอเชีย ให้สมกับชื่อ “Asia Medical and Agricultural Laboratory and ResearchCenter” ด้วยจุดแข็งการเป็นแล็บครบวงจร จึงสามารถให้บริการลูกค้าได้หลายกลุ่ม 

“เราอยากขึ้นไปยืนในระดับภูมิภาคเอเชีย ไม่ใช่แค่เป็นหนึ่งเฉพาะในประเทศ ซึ่งเราให้บริการครบวงจรทั้งการทดสอบ สอบเทียบเครื่องมือ มีหน่วยตรวจ หน่วยรับรอง ที่ครอบคลุมทั้งยา อาหาร การเกษตร และความหลากหลายของมาตรฐานสินค้า เช่น GMP, HACCP, GAP 

เพราะฉะนั้นการเติบโตของ AMARC จะไปในแนวทางการให้บริการที่หลากหลาย และกว้างขวาง รวมไปถึงสร้างความน่าเชื่อถือของการทดสอบในระดับภูมิภาค” รศ.นพ.วิรัตน์ สรุปทิ้งท้ายถึงเป้าหมาย 

บทความแนะนำ

ISMED สนับสนุนผู้ประกอบการสร้างมูลค่า ขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบันประเทศไทย ให้ความสำคัญกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs เป็นอย่างมาก เนื่องจาก SMEs เป็นรากฐานของธุรกิจไทย และยังเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. รายงานว่าตัวเลขผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อมในปัจจุบันมีประมาณ 3.15 ล้านราย หรือประมาณ 99.5 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจรวมทั้งประเทศ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมห่งชาติ ยังรายงานตัวเลขรายได้ของธุรกิจ SMEs โดยรวม เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถทำรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 1.41 ล้านล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP รวมทั้งประเทศเท่ากับ 34.7 เปอร์เซ็นต์

เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันและสร้างผู้ประกอบการที่เข้มแข็งให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED เป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจหลักในการสนับสนุน SMEs มากกว่า 10,000 ราย ต่อปีจึงพร้อมตั้งเป้าพา SMEs รุกตลาดต่างประเทศ อาทิ จีน อาเซียน และ ตะวันออกกลาง 

ธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMEDกล่าวว่า ISMED เป็นสถาบันเครือข่าย เป็นหน่วนงานวิชาการที่ให้คำปรึกษา แนะนำเชิงวิชาการให้กับ SMEs โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนในเรื่องของการปรับแผนธุรกิจ รวมถึง เป็นศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการเพื่อที่จะทำให้ SMEs อยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“เราทำหลายเรื่องการจัดอบรมเป็นภาพที่คนเห็น แต่งานเรา เราทำแทบจะครบทุกด้านเลย  ตั้งแต่เรื่องของการเสริมสร้างระบบบริหารจัดการให้กับธุรกิจ ที่ต้องการพัฒนาเรื่องการตลาด พัฒนาเรื่องผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต พัฒนาบุคลากรภายใน เป็นต้น นอกจากนี้ยังสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการกับเครือข่ายของการพัฒนาที่ปรึกษาทางธุรกิจและเผยแพร่องค์ความรู้ให้ทันกับผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจ” ธนนนทน์ กล่าวและว่า 

ISMED ในส่วนของการให้การสนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ (New entrepreneur) นั้น จะเริ่มต้นจากการสอนทำแผนธุรกิจ การหาแหล่งทุน และดำเนินการบ่มเพาะธุรกิจ โดยให้คำปรึกษาและติดตาม เพื่อช่วยแนะนำผู้ประกอบการระหว่างทางจนผู้ประกอบการสามารถที่จะดำเนินธุรกิจด้วยตนเองได้

นอกจากนี้ ISMED ยังมีการทำงานร่วมกับพันธมิตรใน 4 ด้านเพื่อให้เกิดผลและประสิทธิภาพมากที่สุด ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มที่ปรึกษาธุรกิจ หรือโค้ชธุรกิจ ผู้สนับสนุน และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ

ในส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการนั้น ISMED จะเป็นการให้คำปรึกษาผู้ประกอบการใหม่และผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว

สำหรับกลุ่มที่ปรึกษาธุรกิจหรือโค้ชธุรกิจนั้น ISMED ได้จัดทำเครือข่ายที่ปรึกษาธุรกิจเฉพาะสาขาเพื่อรองรับและสนับสนุนผู้ประกอบ โดยปัจจุบันมีโค้ช ที่พร้อมจะให้กับปรึกษากับผู้ประกอบการมากกว่า 3,000 รายโดยที่ปรึกษาธุรกิจหรือ โค้ชธุรกิจมี 3 รูปแบบ คือ Business Transformer หรือ ผู้บริหารระดับสูงที่มาถ่ายทอดประสบการณ์การทำธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ Business Mentor หรือ ที่ปรึกษาธุรกิจ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ที่ปรึกษาทางด้านการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาแพคเกจจิ้ง เป็นต้น และ กลุ่ม Technology expert หรือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล  เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เทคโนโลยี Internet of thing ที่ช่วยให้การทำงานในส่วนของกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทางด้านผู้สนับสนุน อาทิ สถาบันการเงิน หรือกลุ่มสมาคมที่เกี่ยวข้อง เช่น หากมีการจัดอบรม สัมมนา กลุ่มผู้สนับสนุนสามารถมาร่วมให้การสนับสนุนการอบรมหรือสัมมนาให้กับ SMEs และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และส่วนงานที่รับผิดชอบและดูแล SMEs อยู่แล้ว เช่น โครงการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพานิชย์ เป็นต้น 

“วิธีการทำงานของ ISMED เราเป็น Aggregate คือเราเป็นคนเชื่อมและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ เราต้องอาศัย ผู้เชี่ยวชาญ มีลักษณะการทำงานแบบเครือข่าย อยากให้ SMEs ขายได้ทำให้ธุรกิจเค้าประสบความสำเร็จหาตลาดได้ สามารถผลิตสินค้าออกมามีคุณภาพ วิธีการทำงานของเรา เราจะใช้ที่ปรึกษาหรือโค้ช เข้าไปศึกษาปัญหาของเค้า แล้วมาวิเคราะห์ ว่าถ้าจะทำให้บรรลุเป้าหมายจะต้องทำอย่างไร  และเราก็จะมีทีมที่ปรึกษาและโค้ชหลายๆด้าน ไปช่วยปรับปรุง ช่วยแนะนำ หากเค้าต้องการสนับสนุน งบประมาณ เราจะเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินให้ เราจะช่วย SMEs รายย่อยให้มีความเข้มแข็ง มีความเป็นมืออาชีพเนื่องจากการพัฒนาธุรกิจเป็นเรื่องของระยะเวลา และความต่อเนื่อง” ธนนนทน์ กล่าว  

สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ ISMED มีความเชี่ยวชาญและได้ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องคือ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น โดยเข้าไปร่วมสนับสนุนและช่วยพัฒนาในลักษณะการทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อการปฎิบัติจริง มีการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ พัฒนาท่องเที่ยวมูลค่าสูง เช่น ธุรกิจสปา เป็นต้น

“เราช่วยผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจให้อยู่รอดและดีขึ้น การที่จะทำให้เค้าอยู่รอดและดีขึ้น มันมีหลายองค์ประกอบ หากเค้ามีความตั้งใจก็ประสบความสำเร็จ เราจะเป็นคนช่วยติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก ความสำเร็จมันเริ่มต้นจากกระดุมเม็ดแรก และที่เหลือจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆตามมา ที่ผ่านมา ISMED มองว่าเราเป็นตัวช่วยที่ทำให้การติดกระดุมเม็ดแรกถูก” ธนนนทน์ กล่าว

ISMED ยังมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างสินค้ามูลค่าสูง ผลักดันผู้ประกอบการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมผู้ประกอบการขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อการเติบโตและความยั่งยืนของผู้ประกอบการด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการจต้องเติมทักษะทางด้านการทำตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าใจวัฒนธรรม และการลาดของแต่ละประเทศ รวมถึงเสริมทักษะทางด้านดิจิทัล เพื่อให้สามารถทำตลาดให้สามารถสร้างรายได้จากผู้บริโภคที่อยู่บ้าน หรือ Work from home ด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพสูง และมีโอกาสที่จะสามาถขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้อย่างมากด้วยสินค้าที่มีการเพิ่มมูลค่า เช่น สินค้าเกษตร มีการนำไปเพิ่มคุณภาพและคุณค่าโดยการนำไปสกัดทำเครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น 

นอกจากนี้ในแต่ละปี ISMED จะให้บริการผู้ประกอบการประมาณ 10,000 ราย และยังมีนโยบายในการนำพาผู้ประกอบการของไทยขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศด้วย เช่น จีน มาเลเชีย อาเซียน และบาเรน เป็นต้น เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ประกอบการไทย

 

บทความแนะนำ