สถาบัน NEA พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการติดอาวุธความรู้พร้อมสู้ในเวทีการค้ายุคใหม่
จากกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นมาถึงวิกฤตโควิด โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs และ Micro SMEs ทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 3.1 ล้านราย ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มด้วยการพัฒนาศักยภาพ และยกระดับองค์ความรู้ เพื่อต่อยอดโอกาสทางการค้าไปยังเวทีการค้าสากล เท่าทันกับโลกที่ไม่แน่นอนในอนาคต หรือ Uncertainty World
คุณภาวินี รวยรื่น ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEW ECONOMY ACADEMY) หรือ สถาบัน NEA เป็นหน่วยงานภายใต้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์มีภารกิจหลักคือการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยอย่างครบวงจร ให้สามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้และจัดฝึกอบรม/สัมมนา ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการไทยทุกระดับ โดยมุ่งเน้นที่จะพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปและมุ่งเน้นการเข้าถึงประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งในรูปแบบ Onsite ผ่านกิจกรรมฝึกบรรยาย อบรมสัมมนา และอบรมเชิงปฏิบัติการ และ Online ในระบบ
E-Academy ให้ผู้ประกอบการเข้ามาเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทุกสินค้า ทุกอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ความสำเร็จของ ปี 2565 ที่ผ่านมา สถาบัน NEA ได้พัฒนาผู้ประกอบการทั้งสิ้นกว่า 61,000 ราย โดยใน 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2562 ถึงปัจจุบัน สถาบัน NEA ได้พัฒนาผู้ประกอบการทั้งสิ้นกว่า 157,000 ราย ทั้งในรูปแบบอบรมสัมมนา และในระบบ E-Academy นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกับสถาบัน NEA ได้รับการพัฒนาศักยภาพจนสามารถต่อยอดเข้าสู่กิจกรรมอื่นๆ ของกรม อาทิ งานแสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมเจรจาการค้า โครงการ Thaitrade.com และโครงการอบรมสัมมนาในโครง การอื่นๆ ของกรม
แต่ละปีสถาบัน NEA กำหนดจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการมากถึง 116 หลักสูตร 58 กิจกรรม ใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่
ปัจจุบัน สถาบัน NEA ได้ปรับรูปแบบการจัดอบรมสัมมนาให้สามารถดำเนินการได้ทั้งในแบบ Onsite แบบ Online และแบบ Hybrid ที่รองรับผู้เข้าอบรมแบบ Onsite และผู้เข้าอบรมแบบ Online ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีการอบรมและเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล (E-Academy) เพื่อรองรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมแต่ไม่ค่อยมีเวลาให้สามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ที่เป็นการอบรมผ่านระบบ Online ในรูปแบบห้องเรียน e-learning ที่มีหลักสูตรเด่นๆ เช่น หลักสูตรเพื่อการค้าระหว่างประเทศ หลักสูตร The Guru ปันความรู้ จากกูรู สู่ภูมิภาค หลักสูตรความรู้เบื้องต้นด้านการส่งออก หลักสูตรความรู้ด้าน E-Commerce และการค้ายุคใหม่ และหลักสูตรความรู้ด้านการเจาะตลาดต่างประเทศ
“สถาบัน NEA มีวิธีการออกแบบหลักสูตร โดยมีองค์ประกอบมาจากการพิจารณาผลตอบรับกิจกรรมการฝึกอบรมครั้งที่ผ่านมา ร่วมกับการประชุมหารือสอบถามความคิดเห็นภาคเอกชนทั้งอย่างที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ว่าต้องการให้เราเสริมความรู้ด้านไหนอย่างไร และนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ว่าปีนี้มีทิศทางไปทางไหน ทั้งหมดเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์ออกแบบหลักสูตร”
อย่างไรก็ตาม หลังจากฝึกอบรมแล้ว สถาบัน NEA จะมีการติดตามผลว่าผู้ประกอบการมีพัฒนาการอย่างไร โดยสามารถวัดผลได้จาก 2 ช่องทาง กล่าวคือ จากการร่วมกิจกรรมกับกรมส่งเสริมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น การแสดงสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งพบว่ามีสูงถึง 57% และติดตามพัฒนาการของผู้ประกอบการจากขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ
สุดท้ายนี้ คุณภาวินีมองว่า ธุรกิจการค้ายุคใหม่หลังวิกฤตโควิดมีความท้าทายมากขึ้น สถาบัน NEA จึงประสานความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญแต่ละประเทศ เพื่อเข้ามาให้ความรู้ และแนะนำโอกาสทางธุรกิจหลังโควิด นอกจากนี้พร้อมต่อยอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
“ผู้ประกอบการควรรับมือกับโลกยุคใหม่ ด้วยการหมั่นศึกษาหาความรู้ อันดับแรกต้องมีความรู้พื้นฐานด้านการค้าก่อน ว่าสินค้าหรือบริการของตนมีจุดเด่นอย่างไร พร้อมปรับตัวเสมอ เพิ่มทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ ใช้เมกะเทรนด์ซอฟท์พาวเวอร์ หรือกระแส Internationalization เข้ามาเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง”
สำหรับแผนการทำงานในปีนี้ สถาบัน NEA ยังคงจัดหลักสูตรฝึกอบรม และกิจกรรมที่เหมาะกับผู้ประกอบการทุกระดับธุรกิจ ทุกเพศ ทุกวัยอย่างต่อเนื่อง รองรับเมกะเทรนด์โลก โดยตั้งเป้าว่าจะพัฒนาผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 20,000 รายภายในปีนี้
ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจการฝึกอบรมสัมมนา และร่วมกิจกรรมของสถาบัน NEA สามารถเข้าร่วมทุกโครงการได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหว ข่าวสาร และสมัครเข้าร่วมกิจกรรมอบรมต่างๆ
ได้ที่เว็บไซต์ http://nea.ditp.go.th/ หรือ https://facebook.com/nea.ditp/ และ Line@nea.ditp สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรสายด่วน 1169 กด 1 กด 1
หอการค้าไทย บ่มเพาะและสร้างเครือข่ายเพื่อความแข็งแกร่งของ SMEs ไทย
วิสัยทัศน์ของหอการค้าไทย คือ การเป็นสถาบันหลักทางการค้าและบริการของประเทศที่ใช้ข้อมูล ความรู้ เครือข่าย และความร่วมมือที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เติบโตได้ในตลาดโลก อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะบทบาทของหอการค้าไทยในการสนับสนุน SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต
คุณสถาปนะ เลี้ยวประไพ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการเพิ่มความเข้มแข็งให้สมาชิก หอการค้าไทย อธิบายถึงบทบาทในการสนับสนุน SMEs ไทยว่า หอการค้าไทยมีสมาชิกและเครือข่ายทั้งหมดกว่าแสนรายทั่วประเทศ ทั้งหอการค้ากลาง และหอการค้าจังหวัด ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็น SMEs หอการค้าไทยจึงเน้นให้การสนับสนุน SMES ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนเป็นหลัก ผ่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมี 33 คณะ 10 คณะทำงาน และหนึ่งในนั้นมีคณะทำงานที่เกี่ยวกับ SMEs โดยตรง สนับสนุน SMEs ไทยด้วยการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างหอการค้าไทยกับภาครัฐ ให้ความรู้ในเรื่องของการบ่มเพาะความรู้ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ Big Brother ที่นำองค์กรชั้นนำมาเป็นพี่เลี้ยง บ่มเพาะให้ความรู้ SMEs รุ่นน้องให้เติบโต และมีความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“โครงการ Big Brother เราทำมาปีนี้เป็นปีที่ 7 แล้ว เป็นโครงการที่นำเอาบริษัทพี่ที่เป็นบริษัทใหญ่ๆในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น กลุ่มซีพี กลุ่มเซ็นทรัล บุญรอดบริวเวอรี่ ไทยเบฟเวอเรจ เอสซีจี โตโยต้า และปีนี้มี กลุ่มปตท เข้ามาร่วม รวมแล้วมีองค์กรใหญ่กว่า 23 บริษัท เข้ามาช่วยกันบ่มเพาะบริษัทน้องซึ่งต่อรุ่นเรารับได้ประมาณ 50 รายอย่างปีนี้เป็นปีที่ 7 เรารับได้ประมาณ 53 ราย ระยะเวลาโครงการประมาณ 1 ปี โดยเราจะเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องของการสร้าง Vision และ Mission ขององค์กร การทำ Business canvas model การปรับปรุงเรื่องของผลิตภัณฑ์ การขาย ตลอดจน Supply Chine ของธุรกิจ SMEs เรียกว่าเป็น Full skill Program 1 ปีเต็ม ที่ผ่านมา 6 รุ่นมีบริษัทน้องที่เข้ามาร่วมโครงการแล้ว 363 บริษัท และจาก 6 รุ่นที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจจากการประเมินโดยอาจารย์ มหาวิทยาลัยหอการค้าทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการหากเป็นสมาชิกของหอการค้า เสียค่าสมัคร 35,000 บาท”
อีกโครงการ คือ โครงการ Business Accelerator ซึ่งเน้นการเข้าสู่ช่องทางการขายทาง Modern trade สำหรับ SMES ไทย เนื่องจากเป้าหมายส่วนใหญ่ของ SMEs ในประเทศต้องการที่จะนำสินค้าเข้าไปขายใน Modern trade ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมในเรื่องสำคัญอย่าง Supply chain
โครงการนี้เราทำร่วมกับทางกลุ่มซีพี ที่มีบริษัทในเครืออย่าง ซีพี ออลล์ โลตัส แม็คโคร เข้ามาช่วยให้ความรู้ความเข้าใจ เป็นคอร์สระยะเวลาประมาณ 4 เดือน โครงการนี้เราทำมาแล้ว 3 รุ่นกำลังเปิดรับรุ่นที่ 4 โดย 1 รุ่นจะรับผู้ประกอบการ 60-70 ราย ปัจจุบันมีคนที่เข้ามาร่วมแล้วทั้งหมด 190 ราย และสามารถนำสินค้าเข้าไปขายใน Modern trade แล้ว 30 ราย ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการหากเป็นสมาชิกของหอการค้า เสียค่าสมัคร 6,000 บาท
นอกจาก 2 โครงการหลัก หอการค้าไทยยังมีโครงการย่อยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น On site visit ซึ่งให้ SMEs ได้เข้าไปเรียนรู้ ศึกษางานจากสถานประกอบการจริง เช่น บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ, Food Innovation ของบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ เป็นต้น ส่วนของช่องทางออนไลน์ ทางหอการค้าไทยมีคอร์สเรียนต่างๆให้ผู้สนใจเข้าไปเรียนได้ฟรี โดยหลักสูตรทั้งหมดพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยหอการค้า ผู้เรียนที่เรียนจบจะมีใบประกาศให้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการต่อยอดความรู้
ในส่วนของการให้บริการ หอการค้าไทยมีบริการ Chatbot ในการให้ข้อมูลเรื่องของการตั้งบริษัท จดทะเบียนบริษัท เพื่อบริการให้คนเริ่มต้นธุรกิจ เอื้ออำนวยให้ SMEs มีความสะดวกในการสร้างธุรกิจของตนเอง ทั้งหมดเป็นโครงการที่หอการค้าทำอย่างต่อเนื่อง
“ปีนี้หอการค้าไทยครบรอบ 90 ปี เราจะมีโครงการที่เพิ่มความเข้มแข็งในกับสมาชิกเพิ่มเติม อันหนึ่งที่เรากำลังจะทำคือเรื่องของเกษตรและเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นหนึ่งในเซ้กเม้นต์ที่เราให้ความสำคัญนอกเหนือจาก การท่องเที่ยวและการบริการ การค้าและการลงทุน”
แผนการทำงานของหอการค้าในปีนี้คุณสถาปนะกล่าวว่าแบ่งเป็น 2 ระดับ ส่วนแรก คือ คณะกรรมการที่เชื่อมโยงกับภาครัฐ โดยปีนี้เป็นปีเลือกตั้ง หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทางหอการค้าจะเข้าไปนำเสนอไอเดีย ข้ออุปสรรคต่างๆ ให้หน่วยงานรัฐรับทราบและช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายที่ยังไม่ได้เอื้อต่อ SMEs มากนัก รวมถึงการปรึกษาเรื่องการเปิดตลาดใหม่ เช่น ประเทศจีน ซาอุดิอาระเบีย อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่ตอบรับสินค้าของไทยเป็นอย่างดี ส่วนที่สองคือการดำเนินงานของคณะกรรมการภายในที่ต้องพยายามคิดโครงการใหม่ๆออกมาให้ครอบคลุมทั้งเรื่องของ อาหาร เกษตร ท่องเที่ยว การค้า การบริการ
คุณสถาปนะ เสริมว่าความท้าทายของ SMEs ไทย หลังสถานการณ์ COVID-19 คือ เรื่องของการปรับตัว มองสิ่งต่างๆให้ไกลมากขึ้น รวมถึงหาข้อมูล ความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินธุรกิจ การตัดสินใจด้วยข้อมูลความรู้ จะช่วยให้ SMEs ไทย สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ สิ่งที่หอการค้าไทยพยายามเน้นให้กับ SMEs มี 3 เรื่องสำคัญคือ
Connect การเชื่อมโยงความร่วมมือเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยตั้งเป้าหมายระดมสมาชิกเพิ่มจาก 1 แสนราย เป็น 2 แสนราย ภายใน 3 ปีข้างหน้า ด้วยการดึง SMEs เข้าสู่ระบบ เพื่อช่วยสนับสนุนและพัฒนาในด้านต่างๆ ให้ตรงตามความต้องการ พร้อมทั้งจะใช้แนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค 5 ภาค จากการระดมความเห็นของสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ เป็นแนวทางในการเดินหน้าเศรษฐกิจในภูมิภาค ทั้งระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด และภาค
Competitive การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ โดยสนับสนุนภาครัฐผลักดัน FTAAP และเร่งขยาย FTA กับต่างชาติให้มากขึ้น พร้อมเร่งดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ร่วมกับ BOI และ EEC จัด Road Show แสดงศักยภาพของประเทศ และผลักดัน Ease of Investment โดยกำหนดประเทศยุทธศาสตร์เป้าหมาย ได้แก่ จีน ซาอุดีอาระเบีย เวียดนาม และอินเดีย รวมถึงรักษากลุ่มนักลงทุนเดิมอย่าง ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการหลายๆ อย่างจะได้รับอานิสงส์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ที่จะสร้างประโยชน์ระยะยาวทางเศรษฐกิจจากการลงทุน FDI มูลค่าประมาณ 6 แสนล้านบาท ภายใน 3-5 ปี
Sustainable การพัฒนาเพื่อการเติบไตอย่างยั่งยืน สร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาส เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นใหม่หอการค้าไทยและเครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมผลักดัน Bangkok Goals หรือ เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG โดยจะนำเอาแผนพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค ภาคเอกชน ระยะ 5 ปี ที่จัดทำร่วมกับ อว. เป็นแนวทางขยายผล BCG Model เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ ขับเคลื่อน BCG ให้เกิดผลเป็นรูปธรรรม
“SMEs เป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจจะเติบโตต่อไปได้ SMEs มีส่วนในการผลักดัน แต่ SMES ก็ต้องมีความพร้อม ในการทำให้ธุรกิจของตนเองเติบโตไปได้ แข่งขันได้ การเข้าถึงข้อมูลและคอนเน็คชั่น มีระบบหลังบ้านที่ดีสำคัญในการเติบโต เราต้องกลับไปดูตัวเราเองว่าขาดอะไรอยู่ เราต้องเตรียมความพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ ต้องใช้วิสัยทัศน์ในระยะยาว เราต้องคิดก่อนว่าอนาคตเราต้องการเป็นแบบไหน จะเติบโตไปอย่างไร ถ้าเรามองตัวเองออก หนทางสู่ความสำเร็จก็ไม่ยากอะไร”
ผู้ประกอบการสามารถสมัครเป็นสมาชิกของหอการค้าไทยได้ทาง www.thaichamber.org หรือทาง แอพลิเคชั่น TCC Connect โดยค่าสมาชิกแรกเข้า 2,000 บาท และค่าสมาชิกรายปีเริ่มต้นที่ 2,600 บาท
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ถ้าหากผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ที่กำลังประสบปัญหาทางธุรกิจ มีความต้องการที่จะกู้เงินกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหา แต่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะทำอย่างไร
คำถามสำคัญข้อนี้นี่เอง ที่เป็นเหมือนภารกิจหลัก ของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ในการทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในการเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงานการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น เป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน หรือมีหลักประกันไม่เพียงพอสามารถได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ และเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย สามารถได้รับสินเชื่อ เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้
อีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญของ บสย. ก็คือ การสร้างโอกาส และ สร้างความรู้ ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งทาง บสย. นั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงคุณวุฒิทางด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับ SME เป็นหลัก ที่ดำเนินการโดย ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory Center, FA) พร้อมยินดีให้คำปรึกษาโดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย เช่น การกู้เงินกับธนาคารต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง, หากกู้ยืมเงินจากธนาคารไปแล้ว กิจการประสบปัญหา และกำลังจะกลายเป็นหนี้เสียจะแก้ปัญหาอย่างไร, ถ้าหากเป็นหนี้เสียแล้ว อยากขอปรับโครงสร้างหนี้ จะแก้ปัญหาอย่างไร เป็นต้น บสย. ก็จะทำการวินิจฉัยและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ
บริการจากทางศูนย์
บริการการค้ำประกัน บสย. เป็นศูนย์กลางข้อมูลของสถาบันการเงิน ที่สามารถแนะนำการให้บริการค้ำประกันที่ตอบโจทย์ เหมาะสมกับขนาดของผู้ประกอบการ และ บสย. สามารถช่วยค้ำประกันให้ได้
บริการให้ความรู้ ให้โอกาสทางการเงิน ดำเนินการโดย ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน ของ บสย. โดยการให้คำปรึกษาแยกเป็น 3 ประเภท ได้แก
บสย. ต้องการที่จะเห็นผู้ประกอบการ มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ให้กิจการสามารถตอบโจทย์ต่อสังคมอย่างมีเสถียรภาพ สามารถเติบโตจากผู้ประกอบการรายเล็กไปสู่ผู้ประกอบการขนาดกลางได้ สามารถที่จะทำงานเชื่อมโยงด้วยกันกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ได้
บสย. เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แต่มีบทบาทในการช่วยผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และพร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ โดยมีความยินดีที่จะเป็นผู้ให้บริการที่ครบวงจรให้กับผู้ประกอบการ สามารถเติบโตต่อไปได้
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ที่อยู่: อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 (ชั้น1)
เลขที่ 2922/53 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทรศัพท์: 02-308-2151-2
โทรสาร: 02-308-2152
Call Center: 0-2890-9999
อีเมล: bangkok@tcg.or.th
เว็บไซต์: www.tcg.or.th
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการทำนโยบายเพื่อนำความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนให้กับผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการได้ขยายขีดความสามารถทางธุรกิจด้วยการใช้นวัตกรรมเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และมีรายได้ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
บริการจากทางศูนย์
หน่วยบริหารจัดการทุน มีด้วยกัน 3 หน่วย ได้แก่
Sale Talent โครงการสร้างนักขายจากเครือข่ายมหาวิทยาลัย ที่มีการนำนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ มาฝึกฝนให้สามารถนำสินค้าจากประเทศไทยกลับออกไปขายยังต่างประเทศได้
สอวช. เองยังมีนบายที่ร่วมมือกับ สสว. ในการออกแบบกระบวนการทางธุรกิจเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคงแข็งแรงในประเทศไทย
สอวช. นั้นมีความมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้ประกอบการในภาคธุรกิจมีการขยายกิจการให้เติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคง โดยการนำนวัตกรรมเข้าไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ และ มีภาคการผลิตที่มุ่งเน้นให้เกิดความยั่งยืนในระบบอุตสาหกรรมตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสากล เพราะในอนาคตอันใกล้ เรื่องนี้จะเป็นโจทย์หลักที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือช่วยกันทำให้สำเร็จ
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
ที่อยู่: 319 อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 14 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์: 0-2109-5432
โทรสาร: 0-2160-5438
อีเมล: info@nxpo.orth
เว็บไซต์ : nxpo.or.th
Facebook: NXPOTHAILAND
YouTube: NXPO - สอวช.
จากผู้ป่วย สู่จุดเริ่มต้นดูแลผู้ป่วย
จุดเริ่มต้นของ Joy Ride Thailand นั้นมาจาก คุณจอย - ณัฐกาญจน์ เด่นวณิชชากร ในตอนนั้นยังทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาที่ตั้งใจทำงานอย่างหนัก จนวันหนึ่งมีอาการป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล และที่โรงพยาบาลนี่เอง ที่คุณจอยได้เห็นว่า ผู้ป่วยจำนวนมากที่กำลังรอคิวตรวจ ต่างเป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น บางท่านมาโรงพยาบาลด้วยตนเอง บาง่านเป็นผู้สูงอายุที่พาผู้สูงอายุอีกท่านหนึ่งมา ภาพที่เห็นนั้นกระทบใจ จนทำให้คุณจอยเกิดความรู้สึกว่า อยากที่จะเปลี่ยนอาชีพมาดูแลผู้สูงอายุ เป็นผู้ดูแลรับส่งผู้สูงอายุมาโรงพยาบาล
เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ในคืนวันนั้นเอง คุณจอยก็ได้ปรึกษาเรื่องการทำธุรกิจรับจ้างดูแลรับส่งผู้สูงอายุนี้ขึ้น กับผู้คนในกลุ่มสังคมออนไลน์ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน” ซึ่งมีผลตอบรับสนับสนุนนับพันคอมเมนต์ในชั่วข้ามคืน ทำให้วันรุ่งขึ้น คุณจอย เลือกที่จะยื่นใบลาออกจากกงาน แล้วหันมาเริ่มต้นบทบาทใหม่ทันที
Start-up เต็มที่กับสิ่งที่เชื่อมั่น
ใช้เวลาเพียง 1 เดือนครึ่ง ในการวางแผนรูปแบบการให้บริการ การตั้งชื่อธุรกิจ ไปจนถึงการยื่นจดเครื่องหมายการค้า ยื่นจดทะเบียน เปิดเว็บไซต์ เตรียมช่องทางติดต่อต่าง ๆ
Joy Ride Thailand สามารถถือกำเนิดขึ้นมาในที่สุด โดยมีรูปแบบการให้บริการ ที่ครอบคลุมดูแลผู้ที่มีความต้องการการดูเป็นพิเศษ หลากหลายกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ คุณแม่ตั้งครรภ์ ไปจนถึง ดูแลเป็นเพื่อนพาเที่ยว ทำธุระต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งบริการออกมาได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่
หัวใจของ Joy Ride
หัวใจหลักในการให้บริการของ Joy Ride Thailand ก็คือ ความใส่ใจ และนั่นเองที่เป็นจุดแข็งที่ยากจะลอกเลียนแบบ เพราะผู้สูงอายุ หรือผู้ใช้บริการต่างประทับใจที่จะใช้บริการจากผู้คนที่พวกเขาไว้วางใจ จุดนี้เองที่ทำให้ทีมงานของ Joy Ride Thailand นั้นต้องผ่านการคัดเลือกและฝึกอบรมอย่างเข้มข้น เพื่อให้ทุกคนสามารถให้บริการลูกค้าอย่างเอาใจใส่ได้ ในระดับเดียวกัน
Joy Ride Thailand ได้วางเส้นทางอนาคตไว้ว่า อยากที่จะกระจายความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุ หรือขยายการให้บริการออกไป ให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ เพื่อให้ผู้สูงอายุในทุกที่ สามารถได้รับการดูแลได้อย่างเต็มที่
Joy Ride Thailand หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะ อยู่เคียงข้างคอยรับส่งดูแลผู้สูงอายุ ทั้งในยามปกติ ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ไปจนถึงการส่งทุกท่านเดินทางพักผ่อนอย่างสงบในวันสุดท้ายของชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่ Joy Ride Thailand กำลังทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการต่อไปในอนาคต
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
บริษัท วีล ออฟ จอย จำกัด
โทร: 095-395-3974
อีเมล: joyridethailand@gmail.com
เว็บไซต์: joyridethailand.com
Line: @Joyride
Facebook: JoyRideThailand