เตือนภัยหลอกลงทุน อย่าเชื่อ อย่าแชร์ มิจฉาชีพแอบอ้าง ก.ล.ต.
เตือนภัยหลอกลงทุน อย่าเชื่อ อย่าแชร์ เมื่อเจอโฆษณาชักชวนลงทุนในลักษณะนี้
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ CEA (Creative Economy Agency)
เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านรูปแบบการพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมให้เกิดการนำกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมสร้างนิเวศและสนับสนุนบุคลากรสร้างสรรค์ให้เกิดการเชื่อมโยงไปกับภูมิปัญญา วัฒนธรรม และภาคการผลิตจริงในมุมของการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่เกิดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทยสู่เวทีโลก”
โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ที่สามารถแบ่งรูปแบบธุรกิจได้เป็น 5 กลุ่ม เป็นจำนวนทั้งสิ้น 15 สาขา ประกอบด้วย กลุ่มรากฐานวัฒนธรรมสร้างสรรค์ คือ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์ กลุ่มคอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์ คือ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์ กลุ่มบริการสร้างสรรค์ คือ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม กลุ่มสินค้าสร้างสรรค์ คือ 12) แฟชั่น และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง คือ 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย และ 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
คุณอาสา ผิวขำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวว่า โดยภาพรวมการทำงานของ CEA กับทั้ง 15 กลุ่มอุตสาหกรรม ทางสำนักงานมีแนวทางการทำงานหลักๆ 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่เป็นเป้าหมาย และ กลุ่มที่มีศักยภาพ
สำหรับ กลุ่มที่มีศักยภาพ คือ กลุ่มผู้ประกอบการไทยในกลุ่มที่เป็น Creative Service ได้แก่ งานโฆษณา การออกแบบ และการให้บริการด้านสถาปัตยกรรม ล้วนเป็นงานที่สามารถไปได้ไกลอย่างงานดีไซน์ไทยที่สามารถส่งออกไปได้ทั่วโลก หรืองานโฆษณาที่ผู้ประกอบการไทยได้รับรางวัลระดับโลกในทุกปี กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่มีตลาดอยากร่วมงานอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งกลุ่มที่เป็นงานด้านสถาปัตยกรรม หรือการตกแต่งภายใน ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงอันดับต้นๆ ของเอเชีย ที่ CEA ต้องการจะส่งเสริมและสนับสนุนในรูปแบบการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่
“ในส่วนของผู้ประกอบการไทย กลุ่มที่เป็นเป้าหมาย ที่ CEA มองเห็นโอกาส คือ กลุ่ม Creative Content ได้แก่ ภาพยนตร์ การแพร่ภาพและกระจายเสียง การพิมพ์ และซอฟต์แวร์ (การ์ตูน หรือเกม เป็นต้น) เป็นกลุ่มที่เป็นเทรนด์ของโลก เรามีผู้ประกอบการไทยที่มี Culture Asset ที่ดี มี Creativity ที่สูง แต่ยังขาดเรื่องของความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือเงินทุนที่จะช่วยในเรื่องการทำงาน และการหาตลาดรองรับในระดับโลก”
ที่ผ่านมา สำนักธุรกิจและนวัตกรรม จะมีการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านโครงการพัฒนาผู้ประกอบการไทยหลายรูปแบบ อาทิ การจัดทำโครงการ CHANGE by CEA ที่ทำมาอย่างต่อเนื่องหลายปี เป็นการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมีความพร้อม เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไปสู่ตลาดระดับประเทศ หรือระดับโลก โดยการสร้างแนวคิดเพื่อเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้ประกอบการที่ยังขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือยังใช้ได้ไม่เต็มศักยภาพทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์และบริการ
“เรานำคำว่า CHANGE เข้าไปปรับเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ กระบวนการออกแบบ ที่ย้อนไปตั้งแต่การเริ่มคิดเรื่องแบรนด์ อาจมีปัญหาตั้งแต่เรื่องของตัวแบรนด์ หรือเรื่องของส่วนผสมที่นำมาใช้ที่อาจยังไม่ตอบโจทย์ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบที่นำมาใช้เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้”
โครงการ CHANGE by CEA มีโครงการที่ได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จอยู่หลายโครงการ อาทิ
โครงการ Visual Character Arts เกิดขึ้นในปี 2564 เพื่อเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการสร้างและต่อยอดรายได้ให้แก่นักสร้างสรรค์และผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ใหม่ให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภค โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย นักสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ นักวาดภาพประกอบ/นักวาดการ์ตูน จิตรกร/ศิลปิน ผู้ประกอบการสร้างสรรค์/นักสร้างสรรค์ทั่วไป ที่ผ่านการอบรมเชิงลึก เพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ในเชิงพาณิชย์
สิ่งที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับ คือ คาแรกเตอร์ใหม่ พร้อมการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ใหม่ทั้งด้านการออกแบบและด้านธุรกิจ ตัวอย่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากคาแรกเตอร์ใหม่ สามารถนำไปผลิตและวางจำหน่ายได้ การเชื่อมโยงธุรกิจซื้อ-ขายลิขสิทธิ์ของคาแรกเตอร์ใหม่ (ทางตรง หรือทางอ้อมแล้วแต่สถานการณ์) รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
โครงการนี้ยังได้ต่อยอดสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้นในปี 2565 กับ CHANGE 2022: Visual Character Arts for SMEs โครงการพัฒนาแบรนด์ธุรกิจ SMEs ด้วยการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นการนำ Visual Character ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจวิสาหกิจชุมชนขนาดย่อม (SMEs) ทั่วประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น (Branding) เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
โครงการ CHANGEx2 เป็นโครงการที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 3 ปี เช่น โครงการ CHANGE x 2 แพ็กคู่สู่ธุรกิจใหม่ ด้วยความเชื่อว่า การรวมพลังกันระหว่าง “ผู้ประกอบการ” และ “นักสร้างสรรค์” ในพื้นที่ต่างๆ จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร่วมกัน ซึ่ง “CHANGE x2 : แพ็กคู่สู่ธุรกิจใหม่” เป็นกิจกรรมจับคู่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจระหว่าง “ผู้ประกอบการ” และ “นักสร้างสรรค์” จาก 15 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ รวม 30 คู่
ความน่าสนใจของโครงการ คือการใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เสริมด้วยหลักการ 3R คือ Rethink (คิดใหม่) Re-purpose (ปรับใหม่) และ Regenerate (รายได้ใหม่) จนก่อเกิดโมเดลธุรกิจ เเละช่องทางรายได้ใหม่ที่เป็นรูปธรรม ผ่านการลงมือสร้างต้นแบบและทดสอบตลาด เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนการลงทุนจริง โดยร่วมกันค้นหาต้นเเบบธุรกิจใหม่ (New Business Model) เเละความเป็นไปได้ใหม่ๆ ระหว่างธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเเรม ร้านอาหาร คาเฟ่ คราฟต์ ที่จับคู่กับนักสร้างสรรค์ด้านการออกเเบบ ดนตรี ศิลปะเเขนงต่างๆ วิดีโอคอนเทนต์ครีเอเตอร์ โปรเเกรมเมอร์ เเละช่างฝีมือของเเต่ละจังหวัดที่ดึงเอาความโดดเด่นของเเต่ละพื้นที่ เเละใส่ความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดเป็นสินค้าเเละบริการในรูปเเบบใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบธุรกิจสร้างสรรค์เห็นถึงโอกาสของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น
คุณอาสา ยังกล่าวถึง Disruption ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในมุมมองของ CEA สิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อผู้ประกอบการทั้ง 15 อุตสาหกรรม มี 2 เรื่อง คือ เทคโนโลยี และการยอมรับ โดยเฉพาะในเรื่องการยอมรับในบางผู้ประกอบการอาจมองว่า เป็นอุปสรรคของการทำธุรกิจ แต่ในความจริงไม่ใช่อุปสรรค เนื่องจากการทำงานในยุคนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของ Fail Fast - Learn Fast คือล้มเร็วและเรียนเร็วเพื่อเรียนรู้ในนวัตกรรมใหม่ๆ ต้องกล้าล้มเหลว และผลักดันงานออกสู่ตลาดให้เร็ว ไม่จำเป็นต้องรอชิ้นงานที่ดีที่สุด เพราะการตัดสินใจที่ล่าช้าอาจทำให้คู่แข่งขันนำหน้าไปก่อน เป็นที่รู้จักก่อนแม้ว่างานจะยังไม่สมบูรณ์แบบ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำถือเป็น Disruption จากการที่คนอื่นไปได้เร็วกว่า
นอกจากนี้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น AI, Automation หรือ Machine Learning เข้ามาช่วยการทำงานมากขึ้น กลายเป็น Disruption สำหรับกลุ่มคนทำงานครีเอทีฟ และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ เพราะสุดท้ายแล้วแม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยทำงานให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ควบคุมเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ยังเป็นคน ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้เพื่อใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็น เพื่อการทำงานที่ดียิ่งขึ้น พัฒนาสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วมากกว่า
สำหรับแผนการทำงานระยะในช่วง 2 – 3 ปี หลังจากนี้ ทาง CEA วางเป้าหมายจะเร่งผลักดันธุรกิจให้ก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด เนื่องจากหลายกลุ่มมีความพร้อมอยู่แล้ว และอีกหลายกลุ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดบ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น Creative Content เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่มีโอกาสสูง ถือเป็นกลุ่มที่เป็นเป้าหมายของ CEA ในการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มนี้สามารถส่งออกคอนเทนต์ได้มากขึ้น สร้างมูลค่าทางธุรกิจ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น
“โดย CEA คาดหวังอยากให้เกิดการส่งออก Soft Power ของประเทศไทยผ่าน Creative Content ซึ่งหลายประเทศอย่างญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ก็ใช้สูตรนี้และได้ผลตอบรับที่ดี เราเชื่อว่าด้วยแนวทางนี้จะส่งผลดีกับประเทศไทยได้เช่นกัน เพราะประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่ดี มีการเล่าเรื่องที่เก่งอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้สามารถก้าวไปสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าเดิมได้อีก นั่นคือเป้าหมายการทำงานของเรา” คุณอาสา กล่าว
SME D Bank ผุดสินเชื่อ ‘SME Refinance’ ช่วยเอสเอ็มอีลดต้นทุน ผ่อนหนักเป็นเบา
เงื่อนไขสุดพิเศษ ดอกเบี้ยถูกคงที่ปีแรก 2.99% แถม Cash Back อีก 6 หมื่นบาท
SME D Bank จัดเต็ม ออกสินเชื่อใหม่ “SME Refinance” วงเงิน 5,000 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดต้นทุนการเงิน ผ่อนหนักเป็นเบา หมดห่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เดินหน้าธุรกิจได้ต่อเนื่อง แจงเงื่อนไขสุดพิเศษ ดอกเบี้ยคงที่ ปีแรกเพียง 2.99% ต่อปี วงเงินกู้ 5 - 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน แถมโปรโมชั่นพิเศษ “Cash Back” ให้อีกมูลค่าสูงสุด 60,000 บาท
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม ที่มีความผันผวน รวมถึง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลกระทบให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ตระหนักดีถึงภาระต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้น จึงออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ “SME Refinance” วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ โดยมีภาระทางการเงินที่ลดลง ช่วยให้วางแผนบริหารจัดการธุรกิจได้ล่วงหน้า เพิ่มความคล่องตัวในกิจการได้อย่างเหมาะสม และคว้าโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้เต็มศักยภาพ อีกทั้ง เป็นกลไกช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2566
จุดเด่นสินเชื่อ “SME Refinance” คือ ดอกเบี้ยต่ำ และเป็นอัตราคงที่ เมื่อรีไฟแนนซ์มาแล้ว สามารถขอกู้เพิ่มเติมได้ ทั้งเพื่อลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง โดยอัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 2.99% ต่อปี และช่วง 3 ปีแรก เฉลี่ยอยู่ที่ 3.50% ต่อปี วงเงินกู้เริ่มต้น 5 ถึงสูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี แถมปลอดชำระเงินต้นสูงสุดถึง 12 เดือน เปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566
อีกทั้ง ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยใช้สินเชื่อจาก SME D Bank มาก่อน เมื่อยื่นกู้และเบิกใช้วงเงิน ตั้งแต่ 1-50 ล้านบาท ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ได้รับ “Cash Back” มูลค่าสูงสุด 60,000 บาท ได้แก่ 1. ค่าประเมินหลักทรัพย์ค้ำประกัน มูลค่าสูงสุด 30,000 บาทต่อราย และ 2. ค่าจดจำนองหลักประกัน มูลค่าสูงสุด 30,000 บาทต่อราย
นอกจากนั้น SME D Bank ยังมีโปรแกรม “พัฒนา” ฟรี! ช่วยเสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจ สามารถปรับตัวได้ทันสถานการณ์ ผ่านโครงการ “SME D Coach” โดยโค้ชมืออาชีพ บริการให้คำปรึกษาและแนะนำธุรกิจ จากภาครัฐและเอกชน ควบคู่รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ เช่น อบรม สัมมนา จับคู่ธุรกิจ เป็นต้น
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจรับบริการสินเชื่อและงานพัฒนา แจ้งความประสงค์ได้ผ่านช่องทาง เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th, LINE Official Account : SME Development Bank เป็นต้น รวมถึงสาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นโดย ดร.วินัย ดะห์ลัน ในรูปแบบของห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ขนาดเล็กในคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบทบาทหน้าที่ในการพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาลขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิม การสนับสนุนการรับรองเครื่องหมายฮาลาล ไปจนถึงการพัฒนาด้านนวัตกรรม ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลนั้น มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมี สำนักงานย่อย ในอีก 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดนครนายก โดยแต่ละศูนย์มีการหน้าที่ดูแลในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันไป
บริการจากทางศูนย์
การให้บริการของทางศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลนั้น ครอบคลุมความต้องการหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือให้คำแนะนำด้านฮาลาลอย่างครบวงจรให้กับผู้ประกอบการ ตั้งแต่ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ไปจนถึงด้านการตลาด ด้วยบุคลากรที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกท่านสามารถพัฒนาสินค้าส่งออกไปสู่ตลาดโลกอย่างถูกต้องตารมมาตรฐานฮาลาล
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่อยู่: 254 อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 11-13
ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์: 02-2181053 – 4
โทรสาร: 02-2181105
อีเมล: info.hsc.cu@gmail.com
เว็บไซต์ : https://halalscience.org