Gemio รองเท้าที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
ครอบครัวของคุณแพร - อภิกษณา เตชะวีรภัทร นั้นทำธุรกิจรองเท้ามากว่า 50 ปี… หลังจบการศึกษาด้านภาษา แพรเลือกที่จะไปทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามสายงานที่เรียนมา ก่อนที่คุณพ่อจะชักชวนให้กลับมาทำธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว ก่อนหน้านี้แพรเข้าใจว่ารองเท้าก็คือรองเท้า เพราะตอนเด็กรองเท้าอะไรแพรก็ใส่ได้หมด แต่พอได้เข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง แพรพบข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งว่าเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นรองเท้าจึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกับคนที่รูปเท้ามีปัญหา เพราะการเกิดปัญหากับเท้าจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของการเลือกที่จะสร้างแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพ “Gemio” ขึ้นมา ด้วยแนวคิดที่ว่ารองเท้านี้ต้องตอบโจทย์ทั้ง “ฟอร์ม” และ “ฟังก์ชั่น” กล่าวคือ รองเท้าที่ดีต้องสวย และดูแลเท้าไปพร้อมๆ กัน นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพแล้ว Gemio ยังให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตของ Gemio จะใช้วัสดุรีไซเคิล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การตลาดสีเขียวที่กำลังมาแรง
SME ONE : จุดเริ่มต้นของ Gemio เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
อภิกษณา : ที่บ้านทำธุรกิจรองเท้ามามากกว่า 50 ปีแล้ว ในชื่อแบรนด์ Snowflakes เป็นแนวรองเท้าผ้าใบ, รองเท้านักเรียน, รองเท้ากังฟู จริง ๆ ตอนนี้ Snowflakes ก็ยังทำอยู่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นรองเท้าผ้าใบ แต่เป็นแนวสไตล์ลำลอง
ส่วนจุดเริ่มต้นของธุรกิจของ Gemio แพรเป็นรุ่นที่ 2 ต่อยอดจากของคุณพ่อที่เป็นโรงงานรองเท้า แพรเข้ามาต่อยอดธุรกิจครอบครัว แต่เราอยากจะพัฒนารองเท้าให้ดีขึ้น ให้ทันสมัย ใช้ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เลยตั้งแบรนด์ Gemio ขึ้นมา ด้วยความชอบในเรื่องของผ้าทอของชาวบ้านที่เขามีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันเราก็นำมาผลิตเป็นรองเท้าในวิธีการของเราให้มีความทันสมัยมากขึ้นและใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
SME ONE : วันที่เข้ามารับช่วงกิจการ คุณอภิกษณาชั่งน้ำหนักระหว่างทำแบรนด์เก่ากับเริ่มต้นทำแบรนด์ใหม่อย่างไร
อภิกษณา : ตอนนั้นเราทำแบรนด์เก่าอยู่ เราพัฒนาแบรนด์เก่าขึ้นมา จากที่เรารับทำ OEM ด้วย แล้วผลิตเป็นแบบ Mass จำนวนเยอะ ๆ แล้วส่งขายภายใต้แบรนด์คนอื่น และของตัวเอง เรามองว่าธุรกิจมันต้องมีการพัฒนา แล้วจะทำอย่างไรให้เราสามารถที่ผลิตรองเท้าที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันเราอยากทำเป็นอีกแนว คือ เป็นแนวรองเท้าสุขภาพที่มีความสวยงาม และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ก็เลยเลือกที่จะพัฒนาขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่งขึ้นมา
SME ONE : ชื่อ Gemio มีความหมายว่าอะไร หรือมีที่มาอย่างไร
อภิกษณา : Gemio มาจาก Gemini ที่แปลว่าราศีคนคู่ แล้วเราใช้สัญลักษณ์หมีคู่ เป็นหมีขาวขั้วโลก เพราะเรามองว่าหมีโพลาร์แบร์ตัวนี้เขามีความแข็งแกร่ง มีความทนทาน แล้วก็มีความสง่างามที่ว่าเขาต้องอดทน คือสินค้าของเราเป็นรองเท้าที่เป็นคู่ เราทำในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เราก็เลยมองว่าตัวของหมีสีขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าน้ำแข็งละลาย เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันเซฟให้เขายังคงอยู่ เราก็เลยนำตัวมีโพลร์แบร์ตัวนี้มาเป็นสัญลักษณ์คู่กัน และแบรนด์นี้ทำกับพี่ชายก็เลยทำเป็นลักษณะของหมีที่เป็นคู่
จริง ๆ เราตั้งใจวาง Gemio ให้เป็นสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม วัสดุก็เป็นเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมกับ กับสินค้าเพื่อสุขภาพ คือ เน้นเป็นรองเท้าใส่สบาย และตอนนี้เราจะทำในเรื่องสุขภาพมากขึ้น
SME ONE : อยากให้อธิบายความหมายของรองเท้าเพื่อสุขภาพเพิ่มเติม
อภิกษณา : คือตอนแรก ๆ Gemio เน้นเรื่อง Comfortable แล้วเพิ่มขึ้นมาเป็น Health Care และต่อไปจะเป็นเรื่องออร์โธปิดิกส์ การตัดวัดรองเท้า แต่ยังไงก็ตามรูปแบบการทำยังคงมีความเป็นแฟชั่นทันสมัย ใส่ได้ง่ายอยู่ เพราะถ้ามองเป็นรองเท้าสุขภาพ บางทีมันอาจจะไม่สวย แต่เราจะประยุกต์ความเป็นแฟชั่นเข้ามาด้วย ขณะเดียวกันทรงของรองเท้าก็ต้องไปควบคู่กับการใส่สบาย แล้วก็ทำให้ความสมดุลในการเดินของเขาดีขึ้น
อนาคตเราจะมีการพัฒนาเรื่องรูปทรงรองเท้า ตอนนี้เราไปศึกษากับอาจารย์ที่เขาเชี่ยวชาญด้านการทำรองเท้าเพื่อการแพทย์ เป็นการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วยที่กระดูกไม่เท่ากัน เป็นเรื่องของการสั่งตัด เพราะมันต้องมีการวัดเท้า มีการทำหุ่นรองเท้าใหม่ แล้วก็มีนวัตกรรมในเรื่องของสรีระ การหล่อแบบขึ้นรองเท้า อันนั้นคือเป็นขั้นต่อไป
SME ONE : กลับมาเรื่องสิ่งแวดล้อม Gemio ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง
อภิกษณา : ในกระบวนการผลิตของเรา เราจะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือ ด้าน Upper จะเป็นผ้า แล้วพื้นรองเท้าจะเป็นการขึ้นรูปด้วยพื้นยางพารา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมของทาง Gemio ก็คือ เราใช้เศษวัสดุที่เหลือใช้อย่างเศษผ้า
ถ้านึกถึงในเรื่องของการทำคัทติ้งรองเท้า มันจะมีข้างซ้ายข้างขวา เวลาตัดผ้าจะเหลือเศษผ้าค่อนข้างเยอะ ซึ่งปกติทุกโรงงานต้องทิ้งผ้าตัวนี้ออกไป แต่เรามองว่าการนำกลับมาใช้ใหม่ทำได้อย่างไรบ้าง ก็เลยมีการทดลองเอาเศษผ้าตัวนั้นมาขึ้นรูปใหม่ผสมลงไปในยางพาราซึ่งเราขึ้นรูปเองอยู่แล้ว แล้วก็ทดลองออกมาทำเป็นตัวยาง Eco 2 Surface เป็นยาง Eco ที่เราจดสิทธิบัตรขึ้นมา โดยยางตัวนี้หลังจากที่ผสมเศษผ้าลงไป ไม่ใช่แค่การจัดการ Waste แต่เป็นการเพิ่มคุณสมบัติของยางทำให้ยางมีความทนทาน และกันลื่นมากขึ้นด้วย
คือเรามองจากอินไซต์ก่อนว่า เราสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ขณะเดียวกันเศษวัสดุที่เป็น Waste ทำอย่างไรให้มันไม่ถูกทิ้งออกไปแล้วเป็นภาระกับสังคม เราก็เลยนำขยะที่อยู่ในโรงงานนำกลับมาใช้ใหม่ ผ้าไทยปกติที่ตัดออกมา ผ้าไทยก็มีเอกลักษณ์ มีคุณค่า คือก็แพงเหมือนกัน ถ้าตัดทิ้งไปก็เสียดาย ก็เลยนำกลับมาใช้ใหม่
SME ONE : ตอนเริ่มสร้างแบรนด์ Gemio เห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างไร
อภิกษณา : เรียกว่าตอนต้น ๆ ไม่ได้คิดเลย จริง ๆ ในกระบวนการทำ เรามีการทำในเรื่องของการนำสิ่งที่ไม่ได้ใช้เอากลับมารีไซเคิลอยู่แล้วในกระบวนการตั้งแต่ Snowflakes แล้ว เพราะว่ายางที่ไม่ได้ใช้เราก็กลับมารีไซเคิลใหม่ ตัววัสดุบางอย่างก็นำกลับมาใช้ใหม่ แต่ของ Gemio เราพัฒนาให้เป็นจุดเด่นขึ้นมา แล้วก็ทำให้วัสดุที่ใช้เป็นตัวยาง Eco to Surface ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ของ Gemio ก็จะเป็นการนำตัวยางตัวนี้กลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนทำตอนต้น ๆ ต้องบอกว่าไม่มีใครเข้าใจ เพราะว่าเขาก็มองว่าก็ไม่เห็นมีอะไรมันก็แค่ว่าเอากลับมาใช้ใหม่
เราก็ต้องอธิบายให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ใช่แค่เฉพาะของเราหรือไม่ใช่แค่การนำขยะมาใช้ แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าของขึ้นมา เพราะว่าเราทำเป็นพื้นรองเท้าที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวยาตัวนี้สามารถจะไปต่อยอดออกแบบใหม่ ทำเป็นวัสดุ Accessories อื่น ๆ ได้อีก
SME ONE : อยากให้เปรียบเทียบ Gemio กับ Snowflakes ว่าสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ขนาดไหน ถ้าเทียบเป็นการขายต่อคู่
อภิกษณา : Snowflakes ราคาขายอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 800 บาท ที่เราคุมราคาไว้ เพราะเรามองว่า เราอยากให้ Snowflakes เป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาไม่แพง ทุกคนสามารถใส่ได้ แต่ของ Gemio เราทำเป็นการพัฒนา Branding ขึ้นมา แล้วก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวรองเท้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ พร้อมกับการนำผ้าทอผ้าไทยมาใช้ ราคาสินค้าจะอยู่ที่ 1,500-3,000 บาทขึ้นไป เพราะการผลิตก็จะค่อนข้างยุ่งยากมากขึ้น การวางแพทเทิร์นผ้า การผสมยางตัวยากขึ้น การผลิตในแต่ละล็อตเราคุมคุณภาพมากขึ้น ไม่ได้ผลิตเป็น Mass อาจจะผลิตครั้งละ 60-80 คู่ต่อรุ่น เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้เน้นเรื่องของ Mass แต่เน้นใส่ใจในเรื่องการผลิต
ขณะเดียวกันด้านสิ่งแวดล้อม ตัวโรงงานเราเองก็มีการ Certified ทำเรื่องของ Green Production ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เรา Certified ได้ตัว G ทอง ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นระดับดีเยี่ยมของ Green Production เพราะเรามองว่าขั้นตอนการผลิตก็ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย วัสดุที่เราใช้ วัตถุดิบต่าง ๆ ไม่รบกวนหรือเป็นมลพิษที่ออกไปสู่ชุมชน แล้วก็มีการจัดการในระบบในการผลิต
SME ONE : ช่วงเริ่มต้นสร้างแบรนด์เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วแก้ปัญหาอย่างไร
อภิกษณา : ตอนต้น ๆ ถ้าเป็นเรื่องของการผลิตรองเท้าก็มีเรื่องลักษณะของวางแพทเทิร์นผ้า หรือว่าการนำผ้ามาใช้ รวมถึงการสื่อสารเพราะคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมสินค้ามันต้องราคาแบบนี้หรือสินค้าเราผลิตได้จำนวนไม่มาก เพราะเป็นเรื่องของการทดลองตลาดก็จะค่อนข้างยากนิดนึง เพราะรองเท้าสุขภาพเป็นเรื่องของฟิตติ้งทำให้การผลิตค่อนข้างยากนิดนึง เพราะว่าเราต้องคอยระวังในเรื่องของรูปทรง เรื่อง Body ขณะเดียวกันการออกไปสู่ตลาดก็ค่อย ๆ เข้าไป เราก็ไปออกบูธให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น
SME ONE : กลุ่มเป้าหมายของ Gemio คือใคร
อภิกษณา : รองเท้า Gemio เป็นแบบ Unisex รองเท้าเราจะมีตั้งแต่ไซส์ 35-45, 46, 47 แล้วแต่รุ่น รองเท้า Slip-on สามารถใส่ได้ทั้งชายทั้งหญิง หรือถ้าเป็นรองเท้าคัทชูรุ่นสุขภาพก็จะเน้นกลุ่มผู้หญิงโดยตรง ประมาณอายุ 30+ แล้วสังคมสมัยนี้เป็นสังคมผู้สูงอายุ คนที่สูงอายุก็จริงแต่ว่าเขายังมีกิจกรรมหรือการที่เขาดูแลตัวเองทำให้เขาสามารถที่จะออกไปท่องเที่ยวได้ กลุ่มคนพวกนี้เขาก็จะเน้นในเรื่องของสินค้าที่มีความทันสมัยแล้วตอบโจทย์เรื่องสุขภาพด้วย เราก็จะได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะว่ากลุ่มพวกนี้เขายังคงแต่งตัวกันอยู่ แล้วยังต้องการเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การสวมใส่
ตัวแพรเองจะเป็นคนไปออกบูธเอง เราก็ต้องอธิบายให้ลูกค้าฟังว่าอันนี้เราเน้นในเรื่องของงานการคราฟต์งานผ้าทอ แล้วรองเท้าของเราเป็นพื้นยางพารา เป็นรองเท้าสุขภาพที่มีแผ่นอินโซลข้างใน เป็นแผ่นอินโซลที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง เหมาะกับคนเอเชียที่หน้าเท้ากว้าง แล้วก็มีการรองรับอุ้งเท้าได้ดี ถ้าเทียบกับสินค้าจากต่างประเทศดีไซน์น์รองเท้าต่างประเทศจะเป็นสปอร์ต แต่บางทีลูกค้าก็ต้องการรองเท้าที่ใส่เข้ากับชุดของเขาได้ หรือบางทีเราทำเป็นแนวผ้าไทยสั่งตัด เขาก็สามารถใส่กับซิ่นได้ เสริมบุคลิก เราเน้นว่ารองเท้าเรา 1 คู่ใส่เที่ยวได้ ใส่ทำงานได้ แล้วเสริมบุคลิก และเหมาะกับการสวมใส่ของเขาด้วย
SME ONE : ปัจจุบันคนไทยมีความรู้เรื่องรองเท้าเพื่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด
อภิกษณา : รู้โดยรวมๆ แต่ไม่ได้รู้ลึก บางคนก็อาจจะประเมินไม่ถูกว่าจริง ๆ เขาเท้าแบนหรือเปล่า หรือ จริง ๆ High Arch (เท้าโค้ง) เขารู้แต่ว่าเขาปวดเท้าเวลาเดิน เพราะฉะนั้นเวลามาซื้อ หลายท่านอาจจะมีปัญหาในเรื่องที่ว่าไปลองมาหลายแบรนด์ ลองซื้อแผ่นรอง (Insole) มาใส่ อาจจะหายเมื่อยบ้างไม่หายบ้าง เรื่องเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัญหาสภาพเท้ามันมีทั้งที่เป็นตั้งแต่กำเนิด กับบางคนที่เป็นอาการเกิดจากการเจ็บป่วยเนื่องจากใส่รองเท้าผิดประเภทหรือการใช้งานหนัก
คนส่วนมากมักจะไปซื้อแผ่นรองมาใส่ เพราะรู้สึกใส่สบาย หรือบางคนก็ไปซื้อรองเท้าสุขภาพซึ่งไม่รู้ว่าสุขภาพจริงหรือเปล่า แต่ถ้าบางคนเท้าเขาผิดรูปแล้ว จริง ๆ จำเป็นต้องตัดรองเท้า แต่ถ้ายังไม่อยากตัด อาจจะต้องหารองเท้าที่เข้ากับรูปเท้าเขาได้
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ บางคนอาจจะบอกว่าฉันชอบรองเท้านิ่ม ๆ แต่บางทีนิ่มเกินไปก็ไม่ดี เพราะว่านิ่มเกินไปเวลาเดินเท้ามันจะสะบัด เสร็จแล้วมันทำให้เท้าเราคอนโทรลสมดุลได้ไม่ดี ก็จะเมื่อยเท้า อันนี้บางคนก็อาจจะไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันชอบนิ่ม ใส่สบาย มันก็จะมีลักษณะทางกายภาพตรงนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
SME ONE : ช่องทางการขายของรองเท้า Gemio ขายผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก เพราะสินค้าต้องให้คำแนะนำ
อภิกษณา : Gemio ปัจจุบันยังเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพ ช่องทางการขายเราเน้นออกบูธเป็นหลัก คือเน้นให้ลูกค้ามาสวมใส่ มาลอง เพราะเราจะสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้ ถ้าลูกค้ามาลองแล้ว ต่อไปพอมีรุ่นใหม่ เขาสามารถที่จะซื้อไซส์เดิมได้ หรือสามารถมาลองที่บูธได้ แล้วตอนนี้เราทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา อยู่ที่ซอยเอกชัย 6 แยก 1 เอกชัย จอมทอง โดยลูกค้าสามารถมาลองที่โชว์รูมได้เลย และที่บอกว่าต่อไปเราจะมีการตัดรองเท้า ก็คือจะให้ลูกค้ามาตัดที่โชว์รูม
ก่อนหน้านี้เราเคยมีขายในห้างสรรพสินค้า แต่ปัจจุบันเราไม่ได้ขายแล้ว และหันมาเน้นการออกบูธ และขายออนไลน์ แล้วก็จะให้ลูกค้าไปลองที่โชว์รูม อยากให้ลูกค้าเข้าใจแล้วมาลอง เพราะการไปลองในห้างมันวางสินค้าได้ไม่เยอะ
SME ONE : เนื่องจากเป็นสินค้าเฉพาะทาง Gemio เคยเข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่
อภิกษณา : เรามีร่วมกับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือกับ DITP ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนาตัวเอง แล้วก็พัฒนาสินค้าร่วมกันไป มีเข้าโครงการต่างๆ พัฒนาเรื่องดีไซน์หรือการออกแบบรองเท้า หรือในมุมมองของการทำตลาด ก็มีเข้าร่วมกับโครงการต่างๆ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของกรมส่งเสริมศิลปาชีพ เกี่ยวกับเรื่องผ้าไทย ตอนนั้นเข้าโครงการแล้วก็มีการพัฒนาสินค้าร่วมกัน จริงๆ ภาครัฐก็ช่วยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเราก็เข้าร่วมกับหลาย ๆ โครงการ แล้วก็มีการพัฒนาสินค้า พัฒนาความรู้เพิ่มขึ้น
SME ONE : อะไรคือ Key Success Factors ของรองเท้า Gemio
อภิกษณา : อาจจะด้วยที่เราทำรูปแบบและวัตถุดิบเราไม่เหมือนคนอื่น เพราะเรามองว่าการออกแบบรองเท้า 1 คู่ ใช้ได้ทั้งไปเที่ยว ไปทำงาน ทำให้มีลักษณะที่แตกต่างจากคนอื่น แล้วเราก็เน้นการสวมใส่ที่สบาย และเน้นการบริการลูกค้า จนทำให้ลูกค้าบอกต่อ และมาซื้อซ้ำ คือแพรไม่ได้ทำจำนวนเยอะ ทำเป็นล็อต หรือพรีออเดอร์ ลูกค้าจะชื่นชมสินค้าเราว่ามีรูปแบบที่ทันสมัย ไม่เหมือนใคร
อีก Key Success ของเราคือการนำวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ขณะเดียวกันเราช่วยสังคมในการใช้ผ้าทอ ใช้ยางพารา แล้วก็เป็นระบบการผลิตแบบดั้งเดิมที่เราต่อยอดขึ้นมา รองเท้าของเรา 1 คู่ มีทั้งแฟชั่นและฟังก์ชั่น เพราะเราทำในเรื่องสุขภาพเสริมเข้ามา รองเท้าสุขภาพทั่วไปอาจจะไม่สวย แต่ของเรามีดีไซน์ ขณะเดียวกันรองเท้าทั่วไปที่สวยๆ ก็อาจจะใส่ไม่สบาย แต่ของเราใส่สบายด้วยสวยด้วย
SME ONE : คุณอภิกษณาอยากจะจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร
อภิกษณา : อย่างที่บอก แพรอยากทำเป็น Community เล็ก ๆ ทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา เพื่อที่จะถ่ายทอดการตัดรองเท้าที่เหมาะกับคนเอเชีย หรืออาจจะไม่เฉพาะคนเชียก็ได้ เพราะว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมการทำรองเท้า เราก็อยากจะต่อยอดต่อจากคุณพ่อ แล้วก็เสริมในเรื่องการเอาเทคโนโลยีของการตัดรองเท้าของอาจารย์ที่ทำในเรื่องการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วย เพราะว่ารองเท้าทั้งคู่อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน
การต่อยอดตรงนี้เรามองว่าเราสามารถที่จะตอบโจทย์คนที่เท้ามีปัญหา คนที่เป็นผู้ป่วยแต่เขาต้องการรองเท้าที่ไม่ใช่สำหรับผู้ป่วย คือใส่แล้วเขายังรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนคนทั่วไป ซึ่งตรงนี้สามารถที่จะต่อยอดต่อไปได้อีก เรื่องที่ทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น เช่น ถ้ามองไปไกล ๆ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานบางคนที่อาจจะต้องตัดเท้า แต่ถ้าเขาเริ่มต้นดูแลตรงนี้ก่อน มันอาจจะช่วยบรรเทาให้เขาดีขึ้นในเรื่องของเท้า เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องไปถึงขนาดขั้นนั้น
พูดตรง ๆ ในเรื่องของรองเท้าดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าคนที่ใส่ใจเรื่องนี้ มันคือพื้นฐานของการเดิน เขาสามารถที่จะซ่อมแซมร่างกายได้โดยพื้นฐานมาจากการใช้รองเท้าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเขา คือแพรอยากทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากการที่เขาได้ใส่รองเท้าที่เหมาะสม แล้วช่วยให้สุขภาพเขาดีขึ้นด้วย
แพรเข้าใจว่าลูกค้าบางคนที่มาหาเรามีปัญหาเยอะแต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไร ปัญหาตรงนั้นอาจจะแก้ได้ไม่ยากก็ได้ถ้าเขาเข้าใจ เพราะเขาอาจจะไปลองผิดลองถูกมาหลายที่ เราอาจจะไม่ได้โปรโมเยอะจนทำให้เขาต้องมาที่นี่ แต่ต่อไปเราจะค่อย ๆ ขยายให้ลูกค้ารู้จักและบอกต่อ เพราะที่ตัดรองเท้าให้ลูกค้าไป เขาก็รู้สึกว่ามันดีและทำให้ชีวิตเขาเดินต่อได้ เราถึงใช้สโลแกนของ Gemio ว่า “You Move, We Support” คือเราจะซัพพอร์ตให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างดีต่อไป
ในอนาคตเราอาจจะมีเพิ่มช่องทางขาย อย่างคลินิกพิเศษ หรือโรงพยาบาลแผนกออร์โธปิดิกส์ เพราะเราเคยคุยกับอาจารย์ที่ทำรองเท้าอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล เรามองว่าเราจะใช้ประสบการณ์ในการตัดรองเท้าให้ผู้ป่วยที่มาหาเราเป็นตัวรับประกัน เป็นตัวบอกว่ามันได้ผลจริง ขณะเดียวกันในอนาคตแพรมองว่าเราก็จะทำเป็นเซ็นเตอร์เรื่องเท้าขึ้นมา แล้วก็อาจจะมีการร่วมมือกับทางโรงพยาบาล เพราะว่าก็อยากทำรองเท้าให้กับผู้ป่วยให้เขาใส่รองเท้าสวย แต่ถูกต้องตามรูปเท้า
SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ Gemio
อภิกษณา : ความท้าทายคือการทำรองเท้าที่ค่อนข้างยาก เพราะมันเป็นเรื่องฟิตแอนด์เฟิร์ม เป็นเรื่องของคน ตัวแพรเอง พี่ชาย และอาจารย์ ก็พยายามทำรองเท้าสุขภาพตรงนี้ขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าของเราใช้แล้วตอบโจทย์อะไรบ้าง
อีกความท้าทาย คือจะทำอย่างไรให้คนเชื่อถือ เพราะ Gemio เราพัฒนาจาก Comfortable มา Health Care แล้วในเรื่องของการตอบโจทย์กลุ่มสุขภาพ ลูกค้ามีทางเลือกเยอะมาก ในท้องตลาดตอนนี้รองเท้าสุขภาพเยอะมาก แต่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ อันนี้ก็แล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายค่อนข้างมากเหมือนกันว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเชื่อใจเรา ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายที่ทำให้ทางแพรเองก็ต้องศึกษาให้มากขึ้น
SME ONE : อยากให้คุณอภิกษณาให้คำแนะนำคนที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจแบบ SMEs
อภิกษณา : แพรมองว่าการทำธุรกิจไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซะทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือความตั้งมั่น และความทุ่มเทในการทำ แพรเองมองว่าไม่จำเป็นต้องทำให้มันใหม่ ต้องโตหรือต้องตามใคร แต่เราทำในสิ่งที่เราพอใจและมีความสมดุลของเรา เพื่อที่เราจะมีความเข้มแข็งที่เราจะค่อย ๆ เดินและพัฒนาต่อไป
บทสรุป
ความสำเร็จของ Gemio อยู่ที่มุมมองในการทำธุรกิจของคุณอภิกษณา ที่เชื่อในเรื่องของการสร้างแบรนด์ โดยอาศัยการต่อยอดจากธุรกิจครอบครัวเดิมที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าป้อนตลาด Mass และรับจ้างผลิตแบบ OEM มาก่อน
การสร้าง Brand Value ของ Gemio คุณอภิกษณามีการมองหา Unique Selling Point ใหม่ให้กับตัวสินค้า เพื่อสร้างเอกลักษณ์โดดเด่น มีจุดยืน ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เช่น ยาง Eco 2 Surface ซึ่งเป็นวัสดุที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นมาเอง และการเลือกใช้วัสดุอย่างผ้าทอพื้นเมือง ที่มีลวดลายการทอที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รองเท้า Gemio มีทั้งความสวยงาม และคุณสมบัติของรองเท้าเพื่อสุขภาพ
กรมโรงงานอุตสาหกรรม เร่งเดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมสีเขียวยุค 4.0
จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจ BCG Model หรือเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการขับเคลื่อนในมิติต่างๆ คือ (1) สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และยกระดับรายได้ของประชากร (2) สร้างความมั่นคงทางสังคม สร้างความมั่งคงทางอาหาร สุขภาพ และพลังงานในทุกระดับ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต (3) สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดของเสียและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และ (4) ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs 14 ใน 17 เป้าหมาย
โดยภาครัฐมีภารกิจสำคัญที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อน Green Economy หลายด้าน ประกอบด้วย (1) การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก Smart Factory (2) เงินทุน สิทธิประโยชน์และรางวัล ได้รับ Prime Minister’s Award ด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านความรับผิดต่อสังคม ด้านบริหารความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์ผู้ได้รับ GI 4-5 (3) การพัฒนากำลังคนและความสามารถ จาก Third Party การพัฒนาบุคลากรภาครัฐ/เอกชน และการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน (4) บ่มเพาะ สร้าง ยกระดับผู้ประกอบการและรูปแบบธุรกิจใหม่จาก Green Industry, Eco-industrial Estate/Town, CSR-DIW, CSR-DPIM (5) มาตรฐาน กฎหมาย กฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนา BCG มาตรฐานผลิตภัณฑ์ มาตรฐานระบบ พ.ร.บ.โรงงาน และ (6) การสร้างและพัฒนาตลาดด้วย i-mall แพลตฟอร์มตลาดอุตสาหกรรมออนไลน์
ปีแห่งความเปลี่ยนแปลง
คุณอำนาจ เหมะสถล ผู้อำนวยการสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวสู่ความยั่งยืน และจะมีการใช้กฎระเบียบเรื่องสิ่งแวดล้อมในการผลิตสินค้าอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับความกดดันจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ธุรกิจลดการปล่อยมลพิษ ส่งผลต่อเนื่องมายังธุรกิจ MSME ที่ทำงานร่วมกับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การปรับตัวและเตรียมความพร้อมในปี 2567 ธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด โดยการใช้ประโยชน์จากพลังงานหมุนเวียน การลดปริมาณการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำของเสียมาแปรสภาพใช้ใหม่ (Recycle) หรือใช้ผลิตใหม่ (Remanufacture) หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Car ในประเทศไทยมีพัฒนาการการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จะเห็นได้จากปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (BEV หรือรถไฟฟ้าแบตเตอรี่) ที่จดทะเบียนใหม่ในช่วง มกราคม - กันยายน 2566 เฉลี่ยเดือนละ 7,399 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่เฉลี่ยเดือนละ 2,673 คัน เกือบ 3 เท่าตัว (อิงข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก) ในส่วนผู้ประกอบการได้ให้ความสนใจในด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น และมีความต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการขยายโอกาสการลงทุนกำลังเติบโตขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิตและอุตสาหกรรมที่ในช่วงปี 2565-2567 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อน BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโต แต่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนประชากรวัยทำงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้น ภาครัฐจึงมีนโยบายนำเทคโนโลยีด้านไอทีเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและบำรุงรักษาที่สามารถตรวจสอบและประเมินได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น หนุนโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและความสามารถทางการแข่งขันได้”
Disruption ของผู้ประกอบการไทย
โดยสิ่งที่ถือเป็น Disruption ที่ผู้ประกอบการไทยในภาคการผลิตกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ
1) ความท้าทายของภาคธุรกิจจากการขาดแคลนแรงงานในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนกำลังแรงงานของไทย (อายุ 15-59 ปี) ต่อประชากรทั้งหมดจะลดลงจาก 62% ในปี 2566 เหลือเพียง 50% ในปี 2593 หากพิจารณาโครงสร้างตลาดแรงงานไทยพบว่า แรงงานทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วนราว 82% (แรงงานภาคเกษตร แรงงานก่อสร้าง แรงงานในโรงงาน)
2) ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยและอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ประเด็นเหล่านี้ทำให้สินค้าราคาถูก รวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ MSME ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้
“แนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เกิดขึ้น เช่น การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation) เข้ามาใช้ในภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน คาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติภายใน 1- 3 ปี ในสัดส่วน 50% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางจะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติภายใน 3- 5 ปี และกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็กจะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติใช้เวลามากกว่า 5 ปี”
คุณอำนาจ กล่าวเสริมว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีจุดแข็งหลายประการ อาทิ ทำเลที่ตั้งและแหล่งพลังงาน มีฝีมือแรงงานที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่ง มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ เป็นต้น แต่ยังมีจุดอ่อนในเรื่องการขาดเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนค่อนข้างยากสำหรับผู้ประกอบรายเล็กหรือผู้เริ่มต้นประกอบกิจการ และอุปสรรคด้านผังเมืองที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ อีก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง ราคาพลังงานและอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนลดลง ปัญหาสินค้าราคาถูกในตลาดอีคอมเมิร์ช การเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากร และข้อจำกัดของกฎหมายในการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop)
ขณะที่แนวทางการแก้ปัญหา ได้มีการเสนอแนะให้มีการแก้ไขข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อคณะทำงานผังเมือง พร้อมสนับสนุนและมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายปลดล็อกให้การติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีจำนวนมาก
รวมถึงการให้ความรู้และคำแนะนำผู้ประกอบการเรื่องการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน และสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานอื่นๆ เช่น ผู้ประกอบการสามารถนำ Solar Rooftop เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อกับธนาคารกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยในปี 2566 มีการนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร จำนวน 169 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในปี 2567 คาดว่าจะมีการนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรเพิ่มขึ้นกว่า 100%
เดินหน้าสู่ Green Economy
ที่ผ่านมา กรอ. เล็งเห็นถึงปัญหาในภาคอุตสาหกรรม จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ดังนี้
(1) การจัดทำโครงการ “เร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจ และให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรให้กับผู้ประกอบการ MSMEทั่วประเทศ ทั้งในด้านการเพิ่มการผลิต การลดต้นทุนด้านพลังงาน การลดต้นทุนในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงเครื่องจักรเดิม หรือการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ทดแทน โดยมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 2,998 ราย และมีเครื่องจักรที่ได้รับการตรวจสอบปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนแล้วไม่น้อยกว่า 12,500 เครื่อง
(2) การเพิ่มช่องทางการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรผ่านระบบจดทะเบียนเครื่องจักรออนไลน์ (Online Machinery Registration) https://omr.diw.go.th/OMR/ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ โดยสามารถยื่นคำขอฯได้ทั้งรูปแบบเอกสารด้วยตนเอง หรือผ่านระบบออนไลน์
(3) สนับสนุนให้โรงงานในกำกับเข้ามาใช้แบบประเมินออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup ด้วยตนเอง ทำให้ผู้ประกอบการทราบระดับอุตสาหกรรมของตนและสามารถรับคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อยกระดับโรงงานของตนไปสู่ระดับอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup ภายใต้การลงนามความร่วมมือระหว่างกรมโรงงานฯ กับ สวทช. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567
(4) สนับสนุนให้มีการนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ ผ่านการวิจัยและพัฒนาสู่การเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเป็นวัตถุดิบในอีกอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย (End of Waste) รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสำหรับวัตถุดิบทุติยภูมิเพื่อให้เกิดการเลือกใช้วัสดุทดแทน (Circular Supplies) เพื่อรักษาต้นทุนของธรรมชาติ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และลดการเกิดของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดย กรอ.จะให้ความช่วยเหลือ หรือให้การสนับสนุนผ่านทางช่องทางต่าง ๆ คือ 1) Single Window (One Stop Service) ศูนย์สารพันทันใจที่เปิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการดำเนินการและตอบข้อหารือสถานประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.จดทะเบียนเครื่องจักร และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2) ระบบการขออนุญาตผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขออนุญาตตามกฎหมาย ทั้ง 3 ฉบับ ภายในอำนาจหน้าที่ของกรมรงงาน คือ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.จดทะเบียนเครื่องจักร และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย
ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการเร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำปีงบประมาณ 2567 สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www5.diw.go.th/mac/ หรือสอบถามสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง โทร. 02-430-6317 ต่อ 2600
สำหรับการทำงานภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy : GE) เพื่อสร้างการเติบโตให้กับสังคมอย่างยั่งยืน กรอ.มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในทุก ๆ อุตสาหกรรม
“ปีนี้ กรอ. ได้กำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry : GI) 90% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยในปี 2570 โรงงานจะเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) 100% และมากกว่า 50% จะได้รับเครื่องหมายอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) ระดับ 3 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”
ถอดความคิด Find Folk ผู้จุดประกาย “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
จักรพงษ์ ชินกระโทก ผู้ก่อตั้ง Find Folk เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายเล็ก ๆ ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสากรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย เขามองว่าส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวนั้นต้องใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าผู้คนยิ่งเดินทางท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ ทุกคนก็มีส่วนในการทำลายทรัพยากรธรรมมาชาติมากขึ้นเท่านั้น ตลอดระยะเวลา 7 ปี ของการก่อตั้ง Find Folk จักรพงษ์ พยายามให้ความรู้และปลุกปั้นเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่เรียกว่า “Sustainable Tourism” หรือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผ่านพาร์ทเนอร์ ผู้ประกอบการและแม้แต่ลูกทัวร์ เพื่อหวังว่าเทรนด์นี้จะขยายเป็นวงกว้างในอนาคต...
SME ONE : จุดเริ่มต้นของ Find Folk เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
จักรพงษ์ : ต้องบอกว่าผมเป็นคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตั้งแต่แรก ก็คือเรียนปริญญาตรีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่แล้ว แล้วก็เรียนปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจท่องเที่ยว ตั้งแต่ตอนที่เรียนปริญญาตรีก็มีโอกาสไปตามอาจารย์ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยในการลงพื้นที่ทำงานวิจัย อาจารย์มหาวิทยาลัยก็มีอีกภารกิจ คือจะต้องทำวิจัยต่าง ๆ เพื่อได้ Knowledge, Know-how มาสอนนักศึกษาใหม่ ตอนแรก ๆ ที่ไปทำงานจริงก็ลงพื้นที่ในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมี Passion เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าคนที่เรียนท่องเที่ยวส่วนมากก็เริ่มมาจากการทำงานเป็นไกด์ ทำงานโรงแรม ทำร้านอาหาร เรือสำราญ ทำสายการบิน ถูกไหมครับ
ตอนนั้นอาจารย์ชวนไปทำวิจัยก็เลยไป ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่งานวิจัยมันใช้เวลายาวนานมาก ตั้งแต่ปี 2 ถึงปี 3 ก็เลยตกผลึกเกิดเป็นแนวคิดบางอย่างว่า จริง ๆ แล้วอาชีพในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมันมีแขนงมากกว่าที่เราเคยรู้จัก หนึ่งในอาชีพนั้นก็คือการเป็นที่ปรึกษา การเป็นนักวิจัย หรือการเป็นนักพัฒนาการท่องเที่ยว
พอเรียนจบมาก็เลยทำงานในบริษัททัวร์ ทำได้ประมาณ 1 ปี ในความรู้ที่เรามี เรารู้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมันเป็นลมหายใจหลักของประเทศไทย ไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนจะซบเซาขนาดไหน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ยังเป็นหนึ่งในความหวังของประเทศ ช่วงประมาณปี 2018 รายได้จากการท่องเที่ยวเราอยู่อันดับที่ 4 ของโลก แต่ในขณะเดียวกันการบริหารจัดการหรือขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันเรากลับอยู่อันดับที่ 33 ในปีนั้น ก็สงสัยว่า ทำไมรายได้เราดีมาก แต่การบริหาร การจัดการสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ วัฒนธรรม ความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว การบริการมันอยู่ไกลจัง
พอเห็นปัญหาว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเรามีปัญหาอยู่มาก ก็เลยมีแนวคิดว่าอยากจะทำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีความดีงามทั้งระบบ ตั้งแต่รายได้ที่ดี มีการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี การกระจายเอื้อเฟื้อผลประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคม ก็เลยตั้งบริษัท Find Folk ขึ้นในปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่การท่องเที่ยวเฟื่องฟูมาก โดย Find Folk เริ่มต้นเฟสแรกด้วยการพาคนลงไปเที่ยวที่ชุมชน ไปเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวจริง ๆ ไปกระจายรายได้ให้กับชุมชน โดยใช้การบริหารจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเป็นแกน
SME ONE : วันที่ Find Folk เริ่มต้นธุรกิจที่ปรึกษา คุณจักรพงษ์มั่นใจในประสบการณ์ตัวเองแค่ไหน
จักรพงษ์ : ตอนที่ก่อตั้ง Find Folk ผมอายุ 24 ปีเอง ตอนเป็น CEO ใหม่ ๆ ก็คิดว่าจะทำอะไร เพราะว่า การทำงานมีเงินเดือนดี ๆ เดือนละ 2-3 หมื่นยุคนั้นก็ดีมาก แต่ว่าพอมาทำธุรกิจมันมีอะไรหลายอย่างให้ต้องคิด รวมถึงตอนแรก Find Folk เรายังไม่ได้นิยามตัวเอง เรายังไม่ได้ทำแบรนด์ว่าเราจะเป็น Consult ตอนแรกผมก็อยากทำบริษัททัวร์ เพราะตอนนั้นทัวร์รุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก แต่เราไม่ได้ขายทัวร์เหมือนคนอื่นที่พาไปชม ชิม ช้อป แล้วแชร์ เช็คอินในต่างประเทศ แต่กลุ่มลูกค้าของ Find Folk คือกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือองค์กรต่างๆ ที่เขาอยากลงพื้นที่ไปทำ CSR ไปเที่ยวชุมชน ไปทำ Team Building ที่ไม่ใช่แค่มีวัตถุประสงค์แค่อยากไปเที่ยวเฉย ๆ เราเลือกตลาดนั้นก่อน
ผมรู้ตั้งแต่แรกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะว่ามันเป็นพลวัตรสูง มันเคลื่อนตัวตลอดเวลา แล้วเราก็รู้ว่าการทำทัวร์อย่างเดียวมันมีคู่แข่งเยอะ มีความเสี่ยงเยอะ เรามาเลือกทำท่องเที่ยวเฉพาะทางก็จริง แต่อนาคตมันก็จะมีคู่แข่งที่ทำทัวร์แบบนี้เยอะมากเหมือนกัน
ผมก็เลยคิดโมเดล Find Folk มาตั้งแต่ทีแรกว่า เราน่าจะทำอีกธุรกิจควบคู่กันไปคือ นอกจากทำทัวร์ยั่งยืนแล้ว ก็ยังรับงานฝั่งนักวิจัยให้กับภาครัฐ เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ดูแลชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ค้นหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ คือตอนแรกยังไม่ได้เป็นที่ปรึกษา แต่ว่าพอมีองค์ความรู้มาบ้างจากลูกค้าที่เราลงชุมชนเขาต้องการอะไร เราก็ไปอบรมชุมชน ไปพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตามประสบการณ์ที่เรามีในช่วงนั้น ผนวกกับตอนทำงานวิจัยมาตั้งแต่เรียนปี 2 ก็เลยมีเครือข่ายด้านอาจารย์เยอะ มีเครือข่ายกูรูในแหล่งท่องเที่ยวเยอะ ในช่วงแรกก็เป็นตัวประสานในการที่จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวหรือค้นหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ โดยที่ก็ทำงานควบคู่กัน 2 มิติ เพราะพอเราพัฒนาเสร็จ เราก็จะได้เส้นทางแหล่งท่องเที่ยว ได้ชุมชนใหม่ ก็เอามาขายทัวร์ก็มีรายได้ ส่วนรายได้จากฝั่งพัฒนาก็มาจากภาครัฐ ก็ทำแบบเดิน 2 ทางมาตลอด
SME ONE : ปัจจุบันรายได้จากฝั่งธุรกิจทัวร์ กับฝั่งธุรกิจที่ปรึกษาเป็นอย่างไร
จักรพงษ์ : ช่วง COVID-19 เป็นปีที่ผู้ประกอบการทัวร์ถดถอย แต่ที่ Find Folk เราโตปี 100% ตอนแรกที่ปิดประเทศ ทัวร์หาย 100% แต่รายได้ฝั่งที่ปรึกษายังอยู่เพราะว่าทัวร์หยุดเที่ยว แต่หน่วยงานภาครัฐหยุดพัฒนาไม่ได้ เขายังต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเอาไว้ เราก็เลยมีรายได้จากฝั่ง Consult ที่เติบโตมาก ๆ สิ่งที่ทำให้ Find Folk โตและอยู่ได้มาตลอดคือ Consult ตอนนี้สัดส่วนรายได้จากฝั่ง Consult กับทัวร์อยู่ที่ประมาณ 60 : 40 อาจจะไปถึง 70 ด้วยซ้ำ สมมติรายได้ 100% มาจาก Consult ภาครัฐ 60-70% ส่วนอีก 30% มาจากทัวร์ ต้องเรียนตามตรงว่าปีนี้เป็นปีแรกที่ทัวร์ Corporate เริ่มจะกลับมาจริงจัง ตอนนี้มีถี่ ๆ เกือบจะทุกเดือน เดือนหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง เพราะเราทำทัวร์องค์กร ถี่มากไม่ได้ เพราะแต่ละทริปมันจะใหญ่มาก
SME ONE : คนส่วนใหญ่รู้จัก Find Folk จากงานท่าเตียนเฟส เพราะอะไร
จักรพงษ์ : ตอนขึ้นปีที่ 3 เรามีการรีแบรนด์ Find Folk ปรับแบรนด์ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ก็คือทำแบรนด์ฝ่า COVID-19 เลย เราสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด รีแบรนด์ใหม่ว่าเราจะเป็นใคร ปรับเปลี่ยน Position ทั้งหมด เราแตกไลน์เพิ่มเป็น 3 แผนก ทีมแรกคือทีมพัฒนาหรือ Consult ทีมที่ 2 คือทีมทัวร์ ทีมที่ 3 คือทีม Strategic Marketing Sustainability คือทีมความยั่งยืนที่ทำงานกับพาร์ทเนอร์ทั้งในและต่างประเทศในการทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ และพาร์ทเนอร์ชิพระหว่างองค์กร เรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก
เราก็เลยต้องทำงาน Global เพื่อทำให้เรามีชื่อเสียง งานท่าเตียนเฟสก็เป็นหนึ่งในผลงานของทีม Strategic Marketing ว่าเราควรจะทำแบรนด์ชุมชน เราควรจะสื่อสารแบรนด์ เราควรจะเป็นตัวกลาง ซึ่ง Find Folk เป็นเจ้าของร่วมกับชุมชนในการทำแบรนด์ให้ท่าเตียนเฟส พอเราเป็นที่ปรึกษา เราก็จะสามารถไปขอสปอนเซอร์จากหลาย ๆ หน่วยงานได้ หนึ่งในนั้นที่สนับสนุนให้เราทำท่าเตียนเฟสสำเร็จ คือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มีเงินสนับสนุนให้เราทำโครงการ พอมันเป็น Project ที่ไม่ใช่หน่วยงานจ้างเรา แต่เป็นหน่วยงานสนับสนุนให้เราทำ มันทำให้เรา Create Project ได้ใหญ่มาก ก็เชิญพาร์ทเนอร์มาร่วมกิจกรรมได้มาก รวมถึงในมิติต่าง ๆ ที่เราสามารถนำ Project นำเสนอได้หลากหลายในนามของ Find Folk ก็เลยอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เรามี Positioning ชัดเจนในการขยับเป็นที่ปรึกษา
SME ONE : อยากให้คุณจักรพงษ์ช่วยขยายความว่าการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคืออะไร และต้องมีองค์ประกอบอะไร
จักรพงษ์ : พอพูดถึงความยั่งยืนมันก็จะเกร่อมากในยุคนี้ เพราะใคร ๆ ก็พูดถึงเรื่องความยั่งยืนทุกอย่าง ทำอะไรก็ต้องยั่งยืน เนื่องจากภาวะของโลกที่มันเดือดมาก ในระดับโลกเขาจริงจังมากเรื่องภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของโลก ประเทศไทยเองเราก็มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจหรือว่านโยบายภาครัฐที่ออกมาเยอะแยะมากมายเรื่องของความยั่งยืนว่า เราจะเดินหน้าประเทศเราอย่างไรให้ตอบรับกับกระแสโลก รวมถึงฝั่งเอกชนเองก็ทำจริงจัง
ตอนนี้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ได้พุ่งแค่ทำกำไรอย่างเดียว แต่เขายังมุ่งสร้างภาพลักษณ์ที่ยั่งยืน แล้วภาพลักษณ์ที่ยั่งยืนคืออะไร ต้องบอกว่ามันคือความสมดุลหรือเป็นเก้าอี้ 3 ขา ปกติเรานั่งเก้าอี้ที่มี 4 ขา แต่ความยั่งยืนเป็นเหมือนเก้าอี้ 3 ขา
ความยั่งยืนขาแรกที่ต้องมองคือกำไร บริษัทต้องมีรายได้ มีกำไรในการหล่อเลี้ยงธุรกิจเติบโต เรื่องที่ 2 คือ ทุกบริษัทตอนนี้หรือหลาย ๆ บริษัทต้องมีพันธมิตร มีสังคมเครือข่ายที่ดี เพราะ Partnership ทำให้ธุรกิจเติบโต เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน การมีพันธมิตรที่ดี จึงเป็นขาที่ 2 ของเก้าอี้
ส่วนขาที่ 3 ตอนนี้ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก โดยเฉพาะคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่เราใช้ทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ในการเป็นโรงงานของเราในการทำงาน คืออุตสาหกรรมอื่น ๆ เขามีโรงงานเอง แต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเราใช้ประเทศเป็นโรงงาน เราอาจจะบอกว่ารายได้มหาศาล แต่ตอนนี้ถามว่ากำไรหรือขาดทุนมันตอบยากมาก เพราะว่ารายได้ 3 ล้านล้านบาทต่อปี แต่ถามว่าทรัพยากรกว่ามันจะสวยได้ขนาดนี้ มันใช้เวลากี่ล้านปีในการสวย
ดังนั้นเก้าอี้ 3 ขา หรือความยั่งยืนในมิติของ Find Folk คือ บริษัทมีกำไรอยู่รอด อันที่ 2 คือบริษัทได้โอบอุ้มดูแล แลกเปลี่ยนกับพันธมิตรและเติบโตด้วยกัน คือขาสังคม ส่วนอันที่ 3 คือสิ่งแวดล้อม Tourism Resources ที่เราใช้ในการทำงานก็ต้องเติบโตด้วย เราจึงทำการท่องเที่ยวในรูปแบบ Low Carbon Tourism การท่องเที่ยวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือความยั่งยืนที่เรามอง
SME ONE : พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวปัจจุบันค่อนข้างหลากหลายแบ่งเป็น Segment ย่อยมากมาย Find Folk มีวิธีบริหารความต้องการอย่างไรให้ลงตัว
จักรพงษ์ : ที่ Find Folk พอเราเน้นเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เราทำ Green Operation เป็น Normal อยู่แล้ว เช่น ลูกค้าบอกว่าลูกค้าอยากจะมา Wellness Tourism หรือคอร์สการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อยากไปเที่ยวแบบสุขภาพเลย 5 วัน แต่ในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนั้นเราใส่เรื่อง Low Carbon Activity ไปด้วย เช่น ทุกทริป Find Folk จะใช้ยานพาหนะที่ผ่านการ Certified จากกรมควบคุมมลพิษและสิ่งแวดล้อมแล้วว่า ปล่อยควันไม่เกินมาตรฐาน เราไม่ใช่ขวดน้ำพลาสติก เราพยายามให้นักท่องเที่ยวเอากระบอกน้ำมาเอง หรือถ้าไม่ได้จริง ๆ เราแจกน้ำเป็นกระป๋องแล้วเราเก็บกลับมารีไซเคิล อันนี้เป็นตัวอย่าง Green Operation ที่เป็นแกนกลางของ Find Folk อยู่แล้ว
ส่วนธีมหรือคอนเซปต์หรือประโยชน์เราดีไซน์ได้เกือบจะทุก Segment ของประโยชน์ที่นักท่องเที่ยวอยากจะได้ เช่น ทริปท่องเที่ยวสายมู อยากจะไปไหว้ขอลูก แต่งงานมาตั้งนานแล้วไม่มีลูก เราก็จัดได้ทั้งแพ็กเกจ โรงแรมก็ต้องเป็นโรงแรมที่ตื่นสาย ๆ ได้ อาหารเช้าเสิร์ฟตอนไหนก็ได้ Check-out Check-in ตอนไหนก็ได้ พาไปปรึกษาคุณหมอว่าวันไหนไข่ตก เราทำถึงขนาดนั้น พบคุณหมอเสร็จ พาไปไหว้ศาลเจ้าตรงไหน ไหว้พระตรงไหน ชุมชนไหนบอกว่าไหว้แล้วได้ลูกดี ได้ลูกผู้หญิงลูกผู้ชายอะไรแบบนี้ ทุกอัน Green Operation จะเป็นแกนกลาง ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยวสายมู สายสุขภาพ ในทุก Segment คือเราต้องตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวได้หลากหลาย
SME ONE : ถ้าผู้ประกอบการเดิมอยากปรับตัวหันมาให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมต้องทำอย่างไร
จักรพงษ์ : ผมว่าทุกคนรู้เรื่องกระแสภาวะโลกร้อน หรือเราต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ทีนี้ถ้าบริษัทไหนไม่ทำมันจะตกขบวน มันอาจจะไม่ต้องทำเข้มข้นกรีดเลือดออกมาเป็นเลือดเขียว Green Operation แบบ Find Folk ก็ได้ ผมว่าสเต็ปของการเริ่ม มันไม่มีจุดไหนที่บอกว่าผ่านไม่ผ่าน แต่ประเทศไทยก็ยังอยู่ในสเตจที่เป็น Volunteer ในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังไม่มีกฎหมายออกมาบังคับ แต่อีกปี 2 ปีจะเริ่มมีกฎหมายออกมาบังคับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
ถ้ามองในภาพรวมในระดับ Global ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เอาจริงเอาจังเรื่องนี้ ถ้าเป็นใน South East Asia เราเป็นรองแค่สิงคโปร์ในเรื่องของการบริหารจัดการที่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทีนี้ผู้ประกอบการก็ไม่ต้องกังวลว่ามาตรฐานมันอยู่ตรงไหน เพราะเดี๋ยวมาตรฐาน เครื่องมือ กฎหมายมันจะค่อยๆ ออกมาตะล่อมให้เราอยู่ในกติกาเอง
ผมว่าผู้ประกอบการต้องมี 2 อย่างถ้าอยากจะปรับตัว อันแรกคือต้องมีกรอบความคิดที่จะต้องเรียนรู้ คิดว่าปรับแล้วเป็นประโยชน์ ไม่ได้คิดว่าปรับแล้วลำบาก เช่น สมมติว่าเรา Green Operation ใน Find Folk เราเปลี่ยนหลอดไฟทั้งบริษัทเป็น LED ก็ประหยัดค่าไฟได้ หรือหลอดไฟหน้าบ้านเราทั้งหมดเราใช้ Solar Cell มันก็ประหยัดค่าไฟ มันต้องมี Mindset ว่าเราปรับแล้วไม่ได้เสียอะไร มีแต่ได้กับได้
อันที่ 2 ผู้ประกอบการควรจะหา Skill set เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น ตอนนี้หลักสูตรที่หน่วยงานภาครัฐ หรือสมาคมต่างๆ เปิดให้เรียนก็ไม่เสียเงิน สามารถเรียนรู้ได้เรื่อย ๆ เครื่องมือในการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเดี๋ยวนี้ก็มีให้ใช้ฟรีโหลดแอปฯ มาเลย Zero Carbon มีข้อมูลทุกอย่าง ต้นทุนยั่งยืนถ้าเทียบไปเมื่อ 3-5 ปีที่แล้วตอนที่ Find Folk ทำมันราคาแพงมาก Solar Cell แผงนึงก็หลักหลายแสน แต่ตอนนี้ต้นทุนเรื่องสิ่งแวดล้อมต่ำลงมาก เพราะ Supply มันเยอะขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการไม่ต้องกังวล ขอแค่มีอันแรกก่อนคือ Mindset
SME ONE : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ Find Folk เจอปัญหาในการทำธุรกิจอะไรบ้าง และแก้ปัญหาอย่างไร
จักรพงษ์ : เจอปัญหาเกือบทุกวัน ผมมี Mindset ว่าชีวิตส่วนตัวมันไม่ได้มีความสุข คือผมนิยามความสุขไม่ออก ผมแค่รู้สึกว่าชีวิตคนมันมีแค่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ความสุข ก็คือความทุกข์ในระดับที่เราเราทนได้แล้วรู้สึกว่ามันเฉย ๆ ส่วนการทำธุรกิจมันก็มีปัญหาใหญ่กับปัญหาเล็ก ตัวธุรกิจเล็กก็ปัญหาเล็ก ธุรกิจหมื่นล้านก็ปัญหาหมื่นล้าน แล้ว Find Folk เราเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การเป็นที่ปรึกษาหมายความว่า ปัญหาคืองาน คือโอกาส คือเงินของเรา ดังนั้นทุกวันเราจึงทำงานเพื่อแก้ปัญหาตลอดเวลา แล้วด้วยความเป็นตัวกลางในการคุยตั้งแต่ระดับนโยบาย หรือคุยกับผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน หน่วยงานเล็กที่สุดที่เราคุยคือชุมชน คือเราต้องกินวุ้นแปลภาษาตลอดเวลา เราก็ต้องพยายามคิดปัญหาให้มันอยู่ในมือเรา เพื่อเป็นสะพานในการเชื่อม 2 ฝั่งให้สมดุลย์กัน
ถามว่าเจอปัญหาอะไร เจอตลอด เจอเรื่อย ๆ ปัญหาที่ผู้ประกอบการทุกคนก็คงจะเจอ เช่น เรื่องของคน เมื่อองค์กรมันโตขึ้น เราก็ต้องมีการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เรื่องการบริหารจัดการคนในยุค Crisis ก็สำคัญมาก อย่างเช่น เราต้องรู้ว่าคนตำแหน่งไหนที่บริษัทขาดไม่ได้ เราต้องรักษาให้อยู่ในระดับ 100% ตลอด ตำแหน่งไหนที่เราต้อง Outsource เพื่อจัดการต้นทุน
การเป็นสตาร์ทอัพมันจะมีจังหวะที่เรามีไฟ ทุกคนก็จะมีไฟ เราก็ต้องคอยปราบปราม เพราะมันก็จะฮึด ๆ ตลอดเวลา มันก็จะมีจังหวะที่เหนื่อยมากจนไฟมันมอด เราก็ต้องคอยเติมไฟให้มัน อันนี้คือตัวอย่างปัญหาเรื่องของคน เรื่องการบริหารจัดการองค์กรที่เราเจอ
SME ONE : ที่ผ่านมา Find Folk เคยไปขอคำปรึกษาจากภาครัฐบ้างหรือไม่
จักรพงษ์ : เรามีหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือดีมาก เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติที่ให้ทุนเรา 2-3 ปีต่อเนื่องตอนที่เรายังเตาะแตะ ปีละล้านบ้าง ปีละ 7-8 แสนบ้าง เพื่อให้เราเอานวัตกรรมมาทำเป็นผลงาน ผมมองว่ามัน Win-Win หน่วยงานภาครัฐให้งานให้เงินเราในการเติบโต เพราะถ้าเขาไม่ให้โอกาส เมื่อก่อนบริษัทเล็ก ๆ เมื่อก่อนผมก็อายุ 25-26 แล้วเข้าไปคุยกับ ททท. คือเขาเมตตาเรา คือหน่วยงานภาครัฐเมตตาให้เราเติบโตนะ อย่างที่เราเห็นว่าตอนนี้เขาก็สนับสนุนให้จ้าง MSME จ้าง SE (Social Enterprise) ในการทำงานเยอะขึ้น เราก็เติบโตจากการเรียนรู้ในโครงการที่ทำด้วยกัน เขามองในมิติของหน่วยงานที่ต้องเคลื่อนนโยบาย ผมมองในมิติของคนทำงาน เราก็เติบโตด้วยกันตลอด
SME ONE : คิดว่าอะไรคือ Key Success Factors ของ Find Folk
จักรพงษ์ : ความยั่งยืนแรกของ Find Folk คือ คนในองค์กร ผมก็จะบอกตลอดเวลาในทุกเวที ทุกคอลัมน์ที่สัมภาษณ์ผมว่า ผมทำหน้าที่เป็นเพียงแค่คนพูดแล้วขมวดไอเดีย คือเมื่อก่อนผมอาจจะทำทุกอย่างจริงตั้งแต่ทำสไลด์ นำเสนอโครงการ ลงพื้นที่ทำงาน จบงาน สัมภาษณ์ แต่ตอนนี้ทีมทำโจทย์มา ผมมาร่วมเซตอัพช่วยเสนอ หรือผมช่วยพูดแทนเขาในมิติต่าง ๆ หรือผลงานต่าง ๆ แม้กระทั่งท่าเตียนเฟส ผมก็รู้ในภาพรวม แต่ถ้าจะเอารายละเอียดว่าเขาทำอะไร กว่าจะกลั่นกรองแบรนด์ออกมา ใช้เวลานานเท่าไหร่ ผมก็ต้องให้คุยกับทีมที่ทำงาน
Key Success แรกขององค์กรเป็นเรื่องคน แล้วผมตัดสินใจถูกตั้งแต่ 2-3 ปีแรกที่เรามีพนักงานแค่ 3-5 คน แต่เราทำ Training มาตลอด เราพัฒนาคนตลอด แม้กระทั่งบริษัทไม่มีกำไรเยอะแยะมากมาย เราก็ส่งคนไปเทรน เพราะว่าเราไม่ใช่องค์กรที่สามารถให้เงินได้เท่ากับบริษัทจดทะเบียนแน่นอน แต่ผมเชื่อว่าเราพยายามทำให้ทุกคนเติบโตพร้อมกับองค์กร ในขณะที่องค์กรต้องสปีด เราก็ต้องทำให้คนสปีดตามองค์กร หรือในจังหวะที่องค์กรมันสโลว์ด้วยอะไรก็ตาม เราก็ต้องทำให้คนสโลว์อยู่กับองค์กร ดังนั้น Key Success ผมคอนเฟิร์มว่าเป็นเรื่องคนที่ช่วยทำงาน ช่วยจบปัญหา มองว่า Find Folk คือของเขา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
SME ONE : มีความคิดจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร ในจังหวะที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา
จักรพงษ์ : ตอนนี้ 3 โมเดลเราเคลื่อนเต็มที่ โมเดลที่ปรึกษากับภาครัฐเราก็มองหลากหลายขึ้น จากที่เป็นแค่คนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ตอนนี้เราดูในสเกลถ้ามันจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้จริง มันอาจจะไม่ใช่แค่ในชุมชนแล้ว ในมุมของ Find Folk ที่จะเติบโตตอนนี้คือ เรามองเรื่องตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนตลาดเราเป็นตลาดในประเทศ ตอนนี้เราพยายามทำ Global Award มากขึ้น เพื่อจะดึงความสนใจจากต่างประเทศให้สนใจประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่ดี ไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยวที่สวย ประมาณนั้น
SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ Find Folk
จักรพงษ์ : ความท้าทายตอนนี้คือทำอย่างไรให้ Sustainable Tourism หรือ Green Operation เป็น Mass มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมานั่งอธิบายแล้วว่า ต้องเที่ยวแบบนี้ ๆ คือทรัพยากรเราไม่มีทางอยู่เหมือนเดิม สมมติผมอยากเห็นน้ำตกหรือทะเลที่สวยเหมือนเดิมอีก 20 ปี มันไม่มีทางเหมือนเดิม ถ้าเราทำท่องเที่ยวยังไงมันก็ต้องทรุดโทรม แต่จะทำยังไงให้ Mindset ของคนที่ไปเที่ยวรับผิดชอบตัวเองให้ได้ มันเสื่อมโทรมได้ แต่มันต้องเป็นไปอย่างช้าที่สุดเพื่อให้ลูกหลานเราได้เห็นของสวยงามเหมือนเรา ผมอยากทำให้การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเป็น Normal เป็น Mass ทุกผู้ประกอบการทำเรื่องนี้เป็นปกติ แบบที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นความท้าทาย
ความท้าทายเรื่องที่ 2 คือ ฝั่งนักท่องเที่ยว สมมติว่าเรามีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเยอะแยะมากมาย จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชุมชนแบบที่ไม่ใช่กลุ่มองค์กรไปเที่ยว ไม่ใช่กลุ่มศึกษาดูงาน แต่เป็นคนที่อยากไปเที่ยวชุมชนจริง ๆ แล้วเห็นประโยชน์ของการเที่ยวชุมชนจริง ๆ เห็นคุณค่าจริง ๆ ให้ทุกคนรู้สึกว่า เฮ่ย...ฉันอยากไปเที่ยวชุมชนนี้จังเลย ดูสวย ดูบริหารจัดการดี อยากไปสนับสนุนชุมชน อันนั้นคือ Challenge ของผมที่ต้องทำให้เกิด ไม่ใช่ว่าผมไปขาย CEO บริษัท แล้ว CEO ซื้อพาคนในบริษัทไปเที่ยว แต่ตัวพนักงานกลับไม่อยากไป
ถ้าถามว่าความท้าทายที่ต้องทำให้การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเป็น Mass เป็นบันได 10 ขั้น ตอนนี้อยู่ขั้นที่เท่าไหร่ ผมว่าเราเดินมาเกินครึ่งแล้ว อยู่แถวๆ ขั้น 5 ขึ้น 6 มันอยู่ในขั้น Awareness แต่เราจะทำยังไงให้ Awareness นี้เป็น Need ให้ได้ ทีมกลยุทธ์ทีมการตลาดเราก็ดูเฝ้าติดตาม วิจัยตลอดเวลา อะไรที่ทำให้คนตัดสินใจ ตอนนี้คนรับรู้มากขึ้น แต่มันยังเป็นแค่ Nice to Have มันยังไม่ถึงขั้น Need to Do
SME ONE : อยากให้คุณจักรพงษ์แนะนำคนที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจแบบ SMEs
จักรพงษ์ : ผมเชื่อว่าทุกคนอยากมีอิสระ ทั้งอิสระในการใช้ชีวิต อิสระทางการเงิน มันเป็นทางออกของทุกคน สิ่งที่อยากบอกทุกคน คือตอนนี้ช่องทาง โอกาสในการประสบผลสำเร็จ ในการหาความรู้ โอกาสในการทำตลาด ในการทำธุรกิจมันง่าย และหลากหลายกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นถ้าเราอยากที่จะทำ คือเมื่อก่อนอาจจะบอกว่ารู้สิ่งใดรู้ให้จริงแต่สิ่งเดียว รู้ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล แต่มันใช้ไม่ได้สำหรับยุคนี้ ยุคนี้คือต้องรู้หลาย ๆ อย่างเพื่อกระจายความเสี่ยง การบริหารธุรกิจการทำธุรกิจ คือการที่เราจับหลักอนาคตได้ เรารู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร เราจัดการบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม คนที่จะมาทำธุรกิจต้องมี Mindset ว่าการทำเรื่องธุรกิจไม่ยาก แต่การทำให้ธุรกิจไปต่อ หรือการมองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน การตื่นขึ้นมาในทุก ๆ วันแล้วรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันก็คือความสุขอย่างหนึ่งที่อยากจะชวนทุกคนมาทำ แล้วผมก็เชื่อว่ามันมีโอกาสที่ง่ายและหลากหลายมากกว่าเมื่อก่อนมาก
บทสรุป ปัจจุบันการท่องเที่ยวได้กลายมาเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า การท่องเที่ยวก็มีส่วนในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หากทุกคนขาดความรับผิดชอบ ความสำเร็จของ Find Folk อยู่ที่ Mindset ของคุณ จักรพงษ์ ที่ตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในเฟืองจักรที่มีส่วนในการรักษาทรัพยกรธรรมชาติไว้ให้นานที่สุด โดยอาศัยประสบการณ์ในการเป็นบริษัทผู้จัดทัวร์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างสมดุลในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ผ่านความร่วมมือกับภาคชุมชนและสังคมให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ไอติมละมุน เล่าเรื่องราวผ่านไอศกรีมผลไม้ไทย
แบรนด์ไอศกรีมที่มีจุดเด่นมากกว่ารสชาติอร่อยของผลไม้ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ของประเทศไทย แต่ในทุกรสชาติยังบอกเล่าเรื่องราวของผลไม้และเกษตรกรในแต่ละท้องที่ จากแนวคิดด้านการตลาดของคุณโบว์ - ชญาณ์พิมพ์ อำนวยปรีชากุล ที่ตั้งคำถามกับแบรนด์ไอศกรีมเดิมของตัวเองขึ้นว่า ถ้าเราจะปรับเปลี่ยนรูปแบบไอศกรีมขึ้นใหม่ให้มีเอกลักษณ์ แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตที่เราทำได้ดี และเป็นรสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบ จะทำออกมาได้อย่างไร
หลังจากรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง ทั้งการทำ Design Thinking กันภายในทีมงานเอง การไล่สอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มลูกค้า จึงได้คำตอบออกมาว่า ลูกค้าชอบรสชาติผลไม้ของไอติมละมุน หลังจากได้คำตอบที่เป็นแนวทางตั้งต้นใหม่แล้ว ก็คิดหาอัตลักษณ์ของแบรนด์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
คุณโบว์ได้ทำการรีแบรนด์ไอติมละมุนขึ้นใหม่ เป็น ไอติมละมุน Farm to Scoop โดยมีแนวคิดแรกเริ่ม ต้องการชูจุดเด่นเรื่องรสชาติผลไม้ของดีของเด็ดจากทั่วประเทศไทย นำมาทำให้อร่อยได้ในรูปแบบของไอศกรีม
ไอศกรีมเชื่อมโยงวิถีชีวิต
รสชาติแรกเริ่มนั้นมีเพียง มะยงชิด มะม่วง มะพร้าว ที่มีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับทางฟาร์มที่สามารถส่งวัตถุดิบมาให้ทำเป็นไอศกรีมได้ เมื่อทำออกมาแล้วก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จึงทำการขยายเพิ่มรสชาติต่อ จนตอนนี้สามารถจับมือกับสวนผลไม้ที่แตกต่างกันได้มากกว่า 30-40 สวน ผลไม้แต่ละชนิดมาจากคนละจังหวัด มาจากคนละที่ ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีเรื่องราวให้บอกเล่าแตกต่างกันไป
การทำธุรกิจในรูปแบบนี้ นั้นเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไปด้วยในตัว เพราะในขณะที่แบรนด์เติบโต เกษตรกรก็เติบโตไปด้วย คุณโบว์สร้างพื้นที่ให้กับเกษตรกรไทยผ่านถ้วยไอศกรีม ด้วยการนำพวกเขาขึ้นมาอยู่บนถ้วย พูดถึงพวกเขา บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา ทำให้เหล่าเกษตรกรเกิดความภาคภูมิใจ และเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาอยากที่จะปลูกผลไม้ในรูปแบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น
การวางระบบที่สนับสนุนให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์นั้น ทางหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีกับตัวเกษตรกรเองเพราะเมื่อไม่ใช้สารเคมี ดินก็จะยังคงมีคุณภาพดี มีความปลอดภัย ส่งผลดีต่อทรัพยากร และส่งผลดีต่อผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคปลอดภัยและได้รับสิ่งดีๆ จากรสชาติที่ดี ก็จะกลับมาอุดหนุน และบอกเล่าเรื่องราวนี้กระจายต่อไปอีก เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจากทุกฝ่าย ก่อให้เกิดระบบนิเวศที่ดีต่อทั้งธุรกิจและดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คุณโบว์มีข้อคิดในการทำธุรกิจว่า สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้เป็นอย่างแรก คือ เราต้องรู้ว่าเราเลือกทำธุรกิจ ไปเพื่ออะไร เพราะมันจะส่งผลต่อสิ่งที่เราต้องลงมือทำ สำหรับละมุนกรุ๊ป นั้นต้องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน จึงตั้งใจที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
นอกจากนั้นยังมองว่า ธุรกิจจะไม่มีทางอยู่ได้ ถ้าเราไม่รับความร่วมมือจากผู้อื่น ทั้ง Supplier ทีมงาน ไปจนถึงฝั่งลูกค้า การที่เรารู้จักร่วมมือกันสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เป็นการช่วยพัฒนาซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ทุกฝ่ายมีมาตรฐานสินค้าและบริการที่สูงเพิ่มขึ้น
สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ละมุนกรุ๊ป จำกัด (สำนักงานใหญ่)
ที่อยู่: 562/1 หมู่ที่ 3 ถนนสุขสวัสดิ์ ซอย14/1 แขวงจอมทอง เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 10150
โทร: 02-068-2662, 095-246-1927
อีเมล: info@lamoon-group.com
เว็บไซต์: www.lamoon-group.com และ www.itimlamoon.com
Facebook: ไอติมละมุน Itim-lamoon
Instagram: itimlamoon
Line: @itimlamoon
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เป็นหน่วยงานภาครัฐ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีหน้าที่สำคัญในการพัฒนา ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมขึ้นในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนานวัตกรรมได้ ทั้งที่เป็นวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัป (Startup) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Smart SME) และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ช่วยพัฒนาปรับเปลี่ยนให้องค์กรเป็น Innovation Base Enterprise
บริการจากทางศูนย์ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีการพัฒนานวัตกรรม ผ่านบริการต่าง ๆ ได้แก่
1. การสนับสนุนด้านการเงิน เป็นการสนับสนุนในรูปแบบทุนให้เปล่า (Grant) ไม่เกินร้อยละ 75 ของมูลค่าโครงการที่ขอรับการสนับสนุน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.1. ทุนนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ เป็นกลไกให้ทุนสนับสนุนโครงการนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจแบบให้เปล่า (Grant) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่มูลค่าอย่างยั่งยืนซึ่งจะช่วยยกระดับห่วงโซ่อุปทานเดิมที่มีศักยภาพ และนำไปสู่การสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่ที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
1.2. ทุนนวัตกรรมเพื่อสังคม เป็นกลไกให้ทุนสนับสนุนโครงการนวัตกรรมเพื่อสังคมแบบให้เปล่า (Grant) ในการพัฒนาต้นแบบหรือนำร่องนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมไทยในมิติต่างๆ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอย่างยั่งยืน
2. องค์ความรู้นวัตกรรม ส่งเสริมการสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติและสร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม รวมถึงยกระดับทักษะและความสามารถทางนวัตกรรมของกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้ประกอบการ บริษัทขนาดกลางและใหญ่ รวมถึงบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ ผ่านทางโครงการอบรมองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมที่แตกต่างหลากหลายตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละบุคคล
3. การพัฒนาเครือข่าย ความร่วมมือทั้งในด้านธุรกิจและนวัตกรรมระดับประเทศทั้งในระดับเมืองและส่วนภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาเครือข่ายระดับนานาชาติ ผ่านกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ
4. การออกสู่ตลาด สนับสนุนสินค้านวัตกรรมของผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาด ทั้งในช่องทางออนไลน์ ห้างร้าน ช่องทางงานจัดนิทรรศการ ไปจนถึงการจับคู่ทางธุรกิจในต่างประเทศ
5. การรับรองบริษัทเป้าหมาย (Capital Gains Tax) มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการระดมทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) โดยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับส่วนเกินทุน (Capital Gains) หรือกำไรจากการขายหุ้น ให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ทำการลงทุนในบริษัทเป้าหมายซึ่งประกอบกิจการที่รัฐต้องการสนับสนุน
ในปัจจุบันนี้โลกของการทำนวัตกรรมนั้น ต้องการความว่องไว จะต้องทำอย่างไรให้เราเอาสินค้าออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว การสร้างเครือข่ายนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เรียกว่าการทำ Open Innovation ที่เปิดเครือข่ายในเรื่องเทคโนโลยี เรื่องการลงทุน เรื่องการตลาดเป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจนวัตกรรมได้
ติดต่อได้ที่
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ที่อยู่: 73/2 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์: 02-017-5555
โทรสาร: 02-017-5566
อีเมล: info@nia.or.th
เว็บไซต์ : www.nia.or.th