เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนที่เข้าใจคนยุคใหม่

เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนที่เข้าใจคนยุคใหม่

หลังจากยุคโควิดเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มมาให้ความสนใจในด้านสุขภาพกันมากขึ้น ทั้งในเรื่องการดูแลสุขอนามัยไปจนถึงอาหารการกิน ที่ต้องเลือกอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และดีต่อสุขภาพ

คุณจิรภัทร ปั้นสำรอง ได้มองเห็นรูปแบบไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำร้านอาหารคลีน เพื่อช่วยดูแลสุขภาพให้กับผู้คนอีกทางหนึ่ง โดยเปิดร้านในชื่อว่า เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนสไตล์มินิมอล

แม้ว่าช่วงที่เปิดร้านแรกที่สาขานวมินทร์ จะเป็นช่วงเวลาท่ามกลางสถานการณ์โควิด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ร้านเสบียงคลีนหยุดชะงัก ทางร้านได้ปรับวิธีการขายที่เข้าใจผู้บริโภค ด้วยการปรับรูปแบบเป็นขายออนไลน์ทั้งหมด พร้อมให้บริการส่งให้ถึงที่ นับได้ว่าเป็นการเริ่มเรียนรู้การทำระบบออนไลน์ให้กับร้าน และกลายเป็นช่องทางหลักที่ประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงสถานการณ์โควิดมาได้

ความใส่ใจที่กลายเป็นผลตอบรับ

ร้านเสบียงคลีนในช่วงแรกที่เปิดร้านนั้น เรียกว่าเป็นช่วงลองผิดลองถูก ลองลงมือทำไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้วางกลุ่มเป้าหมายหลักว่าลูกค้าจะเป็นคนกลุ่มใด แต่เมื่อมีเหตุให้ต้องย้ายร้านออกจากสาขานวมินทร์ และกำลังหาทำเลของร้านที่จะเปิดใหม่ในบริเวณย่านศาลายา เมื่อได้ตระเวนดู สังเกตการใช้ชีวิตของผู้คน และเก็บข้อมูลมากขึ้นก็พบว่าผู้คนบริเวณมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นั้นเต็มไปด้วยผู้ที่รักและให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก ทำให้เห็นช่องทางที่น่าสนใจที่จะย้ายร้านมาเปิด 

เป็นไปตามคาด เมื่อร้านเปิดที่ตลาดเมืองนอก ศาลายา ผู้คนต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่วันแรก โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงผู้ที่ออกกำลังกายจริงจังเป็นประจำ เหตุผลหนึ่งมาจากร้านอาหารคลีนในย่านนี้ยังมีจำนวนน้อย และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าหาร้านได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องมาถึงร้านด้วยตัวเอง

สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มลูกค้าคือ เมนูอาหารที่หลากหลาย ปรุงสด สะอาด น่ารับประทาน มีคุณประโยชน์ ให้ในปริมาณที่คุ้มค่า ราคาไม่สูง และยังมีการคำนวณค่าโภชนาการให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม เช่น หากเป็นคนที่มีการออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ สามารถแจ้งกับทางร้าน เพื่อให้จัดเตรียมอาหารที่มีโภชนาการที่เหมาะสมได้ รวมถึงทางร้านเองก็มีการให้คำแนะนำกับลูกค้าว่าว่า มื้อไหนเหมาะกับเมนูอะไร โดยอ้างอิงจากปริมาณแคลอรี ทำให้ชนะใจกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงดูแลร่างกายได้เป็นพิเศษ

ด้วยวิธีทำการตลาดแบบออนไลน์ ทำให้ร้านเสบียงคลีน เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และด้วยกระแสตอบรับที่ดี ทำให้มีหน่วยงานจากกระทรวงพาณิชย์ติดต่อเข้ามา เนื่องจากเล็งเห็นว่าร้านเสบียงคลีน เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ มีความแปลกใหม่ และมีรูปแบบการทำธุรกิจที่ปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี จึงอยากให้ร้านเสบียงคลีนเข้าร่วมการประกวดรางวัล SME Excellence Awards ซึ่งในท้ายที่สุดร้านเสบียงคลีนก็สามารถชนะรางวัลมาได้

คุณจิรภัทร เจ้าของร้านเสบียงคลีน มีแนวคิดในการทำธุรกิจที่ยึดถือมาตลอด ว่า การจะทำธุรกิจต้องมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาเป็นอย่างแรก ต้องโฟกัสจดจ่อกับสิ่งที่ทำว่านี่คือสิ่งที่ใช่ และ ชอบ แล้วลุยให้เต็มที่ ถึงจะท้อแต่ก็ต้องสู้ในทุกสถานการณ์ เพราะกำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องเชื่อมั่นก่อน ว่าเราทำได้

 

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท เสบียงคลีน จำกัด

ที่อยู่: 895 หมู่ 4 ซอยกะทุ่มล้ม10 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม.

โทร: 080-593-5299

อีเมล: sabiangclean.1@gmail.com

Facebook: เสบียงคลีน cafe 

บทความแนะนำ

โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development System)

 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยร่วมของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( สสว.) ขอเรียนเชิญ ผู้ประกอบการ SME ไทย

เข้าร่วม “โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development System)” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับองค์กร

โดย โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนค่าฝึกอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำ สูงสุดถึง 80%

 

โครงการให้บริการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำที่ครอบคลุมการบริหารจัดการองค์กรที่เป็นเลิศ ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้

  • การวางกลยุทธ์เพื่อการดำเนินธุรกิจ
  • การวางแผนการตลาดและลูกค้า
  • การบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาทักษะตนเอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนการผลิต และระบบมาตรฐานคุณภาพ

 

รายละเอียดโครงการ https://www.ftpi.or.th/bds

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-6195500 ต่อ 573 (ยุธิชล) , 585 (ศาตพร), 584 (กิตติมา)  

081-8077427  (พัชรีพร) ผู้จัดการโครงการ

 

บทความแนะนำ

SME D Bank ออกสินเชื่อใหม่ ‘จิ๋วสุดแจ๋ว’ เสริมแกร่งรายย่อย ‘เติมทุนคู่พัฒนา’

SME D Bank ออกสินเชื่อใหม่ ‘จิ๋วสุดแจ๋ว’ เสริมแกร่งรายย่อย ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ วงเงินกู้ 5 แสน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ แถมรับประโยชน์ 2 ต่อ ลดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย

SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย คลอดสินเชื่อใหม่ “จิ๋วสุดแจ๋ว” วงเงินรวม 500 ล้านบาท เสริมแกร่งผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาทต่อราย คู่การพัฒนา รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ ได้แก่ 1.ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ 1% เมื่อเข้าอบรมหลักสูตรความรู้ ผ่านแพลตฟอร์ม DX และ 2.ผ่อนดีมีวินัยลดดอกเบี้ยให้อีก 1%

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ “จิ๋วสุดแจ๋ว” สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย (MICRO) ที่มีศักยภาพต้องการเงินทุน แต่ขาดหลักประกันให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ เพื่อนำไปลงทุน ขยาย ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ หรือหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องธุรกิจควบคู่กับสนับสนุนเติมความรู้ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งเติบโตอย่างยั่งยืน

สินเชื่อ “จิ๋วสุดแจ๋ว” วงเงินรวม 500 ล้านบาท คุณสมบัติ สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจมาไม่น้อยกว่า 1 ปีก็กู้ได้ เปิดกว้างทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจการท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เป็นต้น วงเงินกู้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น MLR+6 (ปัจจุบัน MLR อยู่ที่ 7.50% ต่อปี) หรือเฉลี่ย 1.125% ต่อเดือน ผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี แบบลดต้นลดดอก เปิดรับคำกู้ตั้งแต่วันนี้ ถึงสิ้นสุด 28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินโครงการ

ที่สำคัญ สินเชื่อนี้ นอกจากให้เงินทุนแล้ว ยังเติมความรู้และสร้างวินัยทางการเงิน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการมอบประโยชน์ 2 ต่อ คือ ต่อที่ 1 เมื่อเข้าอบรมหลักสูตรยกระดับเอสเอ็มอีจิ๋วสุดแจ๋ว ผ่านแพลตฟอร์ม DX (https://dx.smebank.co.th/) เช่น หลักสูตร Financial Literacy หรือหลักสูตรSustainable Business เป็นต้น จะได้เอกสารรับรองผ่านการอบรม (E-Certificate) พร้อมรับสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) 1.0% ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ และต่อที่ 2 สนับสนุนการสร้างวินัยทางการเงิน เมื่อผู้ประกอบการผ่อนชำระดีติดต่อกันต่อเนื่อง 12 งวด ได้รับสิทธิ์ขอลดอัตราดอกเบี้ย 1.0% ต่อปี

สนใจใช้บริการสินเชื่อ “จิ๋วสุดแจ๋ว” ผู้ประกอบการแจ้งความประสงค์ได้ง่าย ๆ เพียงสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มเพื่อนบน LINE Official Account : “DX by SME D Bank” จากนั้น กดแบนเนอร์สินเชื่อ เพื่อแจ้งความประสงค์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357

บทความแนะนำ

Gemio รองเท้าที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

Gemio รองเท้าที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

ครอบครัวของคุณแพร - อภิกษณา เตชะวีรภัทร นั้นทำธุรกิจรองเท้ามากว่า 50 ปี… หลังจบการศึกษาด้านภาษา แพรเลือกที่จะไปทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามสายงานที่เรียนมา ก่อนที่คุณพ่อจะชักชวนให้กลับมาทำธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว ก่อนหน้านี้แพรเข้าใจว่ารองเท้าก็คือรองเท้า เพราะตอนเด็กรองเท้าอะไรแพรก็ใส่ได้หมด แต่พอได้เข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง แพรพบข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งว่าเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ดังนั้นรองเท้าจึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกับคนที่รูปเท้ามีปัญหา เพราะการเกิดปัญหากับเท้าจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของการเลือกที่จะสร้างแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพ “Gemio” ขึ้นมา ด้วยแนวคิดที่ว่ารองเท้านี้ต้องตอบโจทย์ทั้ง “ฟอร์ม” และ “ฟังก์ชั่น” กล่าวคือ รองเท้าที่ดีต้องสวย และดูแลเท้าไปพร้อมๆ กัน  นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพแล้ว Gemio ยังให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตของ Gemio จะใช้วัสดุรีไซเคิล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การตลาดสีเขียวที่กำลังมาแรง

SME ONE : จุดเริ่มต้นของ Gemio เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อภิกษณา : ที่บ้านทำธุรกิจรองเท้ามามากกว่า 50 ปีแล้ว ในชื่อแบรนด์ Snowflakes เป็นแนวรองเท้าผ้าใบ, รองเท้านักเรียน, รองเท้ากังฟู จริง ๆ ตอนนี้ Snowflakes ก็ยังทำอยู่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นรองเท้าผ้าใบ แต่เป็นแนวสไตล์ลำลอง

ส่วนจุดเริ่มต้นของธุรกิจของ Gemio แพรเป็นรุ่นที่ 2 ต่อยอดจากของคุณพ่อที่เป็นโรงงานรองเท้า แพรเข้ามาต่อยอดธุรกิจครอบครัว แต่เราอยากจะพัฒนารองเท้าให้ดีขึ้น ให้ทันสมัย ใช้ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เลยตั้งแบรนด์ Gemio ขึ้นมา ด้วยความชอบในเรื่องของผ้าทอของชาวบ้านที่เขามีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันเราก็นำมาผลิตเป็นรองเท้าในวิธีการของเราให้มีความทันสมัยมากขึ้นและใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

 

SME ONE : วันที่เข้ามารับช่วงกิจการ คุณอภิกษณาชั่งน้ำหนักระหว่างทำแบรนด์เก่ากับเริ่มต้นทำแบรนด์ใหม่อย่างไร

อภิกษณา : ตอนนั้นเราทำแบรนด์เก่าอยู่ เราพัฒนาแบรนด์เก่าขึ้นมา จากที่เรารับทำ OEM ด้วย แล้วผลิตเป็นแบบ Mass จำนวนเยอะ ๆ แล้วส่งขายภายใต้แบรนด์คนอื่น และของตัวเอง เรามองว่าธุรกิจมันต้องมีการพัฒนา แล้วจะทำอย่างไรให้เราสามารถที่ผลิตรองเท้าที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันเราอยากทำเป็นอีกแนว คือ เป็นแนวรองเท้าสุขภาพที่มีความสวยงาม และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ก็เลยเลือกที่จะพัฒนาขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่งขึ้นมา

 

SME ONE : ชื่อ Gemio มีความหมายว่าอะไร หรือมีที่มาอย่างไร

อภิกษณา : Gemio มาจาก Gemini ที่แปลว่าราศีคนคู่ แล้วเราใช้สัญลักษณ์หมีคู่ เป็นหมีขาวขั้วโลก เพราะเรามองว่าหมีโพลาร์แบร์ตัวนี้เขามีความแข็งแกร่ง มีความทนทาน แล้วก็มีความสง่างามที่ว่าเขาต้องอดทน คือสินค้าของเราเป็นรองเท้าที่เป็นคู่ เราทำในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เราก็เลยมองว่าตัวของหมีสีขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าน้ำแข็งละลาย เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันเซฟให้เขายังคงอยู่ เราก็เลยนำตัวมีโพลร์แบร์ตัวนี้มาเป็นสัญลักษณ์คู่กัน และแบรนด์นี้ทำกับพี่ชายก็เลยทำเป็นลักษณะของหมีที่เป็นคู่ 

จริง ๆ เราตั้งใจวาง Gemio ให้เป็นสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม วัสดุก็เป็นเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมกับ กับสินค้าเพื่อสุขภาพ คือ เน้นเป็นรองเท้าใส่สบาย และตอนนี้เราจะทำในเรื่องสุขภาพมากขึ้น

SME ONE : อยากให้อธิบายความหมายของรองเท้าเพื่อสุขภาพเพิ่มเติม

อภิกษณา : คือตอนแรก ๆ Gemio เน้นเรื่อง Comfortable แล้วเพิ่มขึ้นมาเป็น Health Care และต่อไปจะเป็นเรื่องออร์โธปิดิกส์ การตัดวัดรองเท้า แต่ยังไงก็ตามรูปแบบการทำยังคงมีความเป็นแฟชั่นทันสมัย ใส่ได้ง่ายอยู่ เพราะถ้ามองเป็นรองเท้าสุขภาพ บางทีมันอาจจะไม่สวย แต่เราจะประยุกต์ความเป็นแฟชั่นเข้ามาด้วย ขณะเดียวกันทรงของรองเท้าก็ต้องไปควบคู่กับการใส่สบาย แล้วก็ทำให้ความสมดุลในการเดินของเขาดีขึ้น

อนาคตเราจะมีการพัฒนาเรื่องรูปทรงรองเท้า ตอนนี้เราไปศึกษากับอาจารย์ที่เขาเชี่ยวชาญด้านการทำรองเท้าเพื่อการแพทย์ เป็นการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วยที่กระดูกไม่เท่ากัน เป็นเรื่องของการสั่งตัด เพราะมันต้องมีการวัดเท้า มีการทำหุ่นรองเท้าใหม่ แล้วก็มีนวัตกรรมในเรื่องของสรีระ การหล่อแบบขึ้นรองเท้า อันนั้นคือเป็นขั้นต่อไป

 

SME ONE : กลับมาเรื่องสิ่งแวดล้อม Gemio ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง 

อภิกษณา : ในกระบวนการผลิตของเรา เราจะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือ ด้าน Upper จะเป็นผ้า แล้วพื้นรองเท้าจะเป็นการขึ้นรูปด้วยพื้นยางพารา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมของทาง Gemio ก็คือ เราใช้เศษวัสดุที่เหลือใช้อย่างเศษผ้า 

ถ้านึกถึงในเรื่องของการทำคัทติ้งรองเท้า มันจะมีข้างซ้ายข้างขวา เวลาตัดผ้าจะเหลือเศษผ้าค่อนข้างเยอะ ซึ่งปกติทุกโรงงานต้องทิ้งผ้าตัวนี้ออกไป แต่เรามองว่าการนำกลับมาใช้ใหม่ทำได้อย่างไรบ้าง ก็เลยมีการทดลองเอาเศษผ้าตัวนั้นมาขึ้นรูปใหม่ผสมลงไปในยางพาราซึ่งเราขึ้นรูปเองอยู่แล้ว แล้วก็ทดลองออกมาทำเป็นตัวยาง Eco 2 Surface เป็นยาง Eco ที่เราจดสิทธิบัตรขึ้นมา โดยยางตัวนี้หลังจากที่ผสมเศษผ้าลงไป ไม่ใช่แค่การจัดการ Waste แต่เป็นการเพิ่มคุณสมบัติของยางทำให้ยางมีความทนทาน และกันลื่นมากขึ้นด้วย 

คือเรามองจากอินไซต์ก่อนว่า เราสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ขณะเดียวกันเศษวัสดุที่เป็น Waste ทำอย่างไรให้มันไม่ถูกทิ้งออกไปแล้วเป็นภาระกับสังคม เราก็เลยนำขยะที่อยู่ในโรงงานนำกลับมาใช้ใหม่ ผ้าไทยปกติที่ตัดออกมา ผ้าไทยก็มีเอกลักษณ์ มีคุณค่า คือก็แพงเหมือนกัน ถ้าตัดทิ้งไปก็เสียดาย ก็เลยนำกลับมาใช้ใหม่ 

 

SME ONE : ตอนเริ่มสร้างแบรนด์ Gemio เห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างไร

อภิกษณา : เรียกว่าตอนต้น ๆ ไม่ได้คิดเลย จริง ๆ ในกระบวนการทำ เรามีการทำในเรื่องของการนำสิ่งที่ไม่ได้ใช้เอากลับมารีไซเคิลอยู่แล้วในกระบวนการตั้งแต่ Snowflakes แล้ว เพราะว่ายางที่ไม่ได้ใช้เราก็กลับมารีไซเคิลใหม่ ตัววัสดุบางอย่างก็นำกลับมาใช้ใหม่ แต่ของ Gemio เราพัฒนาให้เป็นจุดเด่นขึ้นมา แล้วก็ทำให้วัสดุที่ใช้เป็นตัวยาง Eco to Surface ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ของ Gemio ก็จะเป็นการนำตัวยางตัวนี้กลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนทำตอนต้น ๆ ต้องบอกว่าไม่มีใครเข้าใจ เพราะว่าเขาก็มองว่าก็ไม่เห็นมีอะไรมันก็แค่ว่าเอากลับมาใช้ใหม่ 

เราก็ต้องอธิบายให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ใช่แค่เฉพาะของเราหรือไม่ใช่แค่การนำขยะมาใช้ แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าของขึ้นมา เพราะว่าเราทำเป็นพื้นรองเท้าที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวยาตัวนี้สามารถจะไปต่อยอดออกแบบใหม่ ทำเป็นวัสดุ Accessories อื่น ๆ ได้อีก

 

SME ONE : อยากให้เปรียบเทียบ Gemio กับ Snowflakes ว่าสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ขนาดไหน ถ้าเทียบเป็นการขายต่อคู่

อภิกษณา : Snowflakes ราคาขายอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 800 บาท ที่เราคุมราคาไว้ เพราะเรามองว่า เราอยากให้ Snowflakes เป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาไม่แพง ทุกคนสามารถใส่ได้ แต่ของ Gemio เราทำเป็นการพัฒนา Branding ขึ้นมา แล้วก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวรองเท้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ พร้อมกับการนำผ้าทอผ้าไทยมาใช้ ราคาสินค้าจะอยู่ที่ 1,500-3,000 บาทขึ้นไป เพราะการผลิตก็จะค่อนข้างยุ่งยากมากขึ้น การวางแพทเทิร์นผ้า การผสมยางตัวยากขึ้น การผลิตในแต่ละล็อตเราคุมคุณภาพมากขึ้น ไม่ได้ผลิตเป็น Mass อาจจะผลิตครั้งละ 60-80 คู่ต่อรุ่น เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้เน้นเรื่องของ Mass แต่เน้นใส่ใจในเรื่องการผลิต 

ขณะเดียวกันด้านสิ่งแวดล้อม ตัวโรงงานเราเองก็มีการ Certified ทำเรื่องของ Green Production ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เรา Certified ได้ตัว G ทอง ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นระดับดีเยี่ยมของ Green Production เพราะเรามองว่าขั้นตอนการผลิตก็ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย วัสดุที่เราใช้ วัตถุดิบต่าง ๆ ไม่รบกวนหรือเป็นมลพิษที่ออกไปสู่ชุมชน แล้วก็มีการจัดการในระบบในการผลิต

 

SME ONE : ช่วงเริ่มต้นสร้างแบรนด์เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วแก้ปัญหาอย่างไร

อภิกษณา : ตอนต้น ๆ ถ้าเป็นเรื่องของการผลิตรองเท้าก็มีเรื่องลักษณะของวางแพทเทิร์นผ้า หรือว่าการนำผ้ามาใช้ รวมถึงการสื่อสารเพราะคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมสินค้ามันต้องราคาแบบนี้หรือสินค้าเราผลิตได้จำนวนไม่มาก เพราะเป็นเรื่องของการทดลองตลาดก็จะค่อนข้างยากนิดนึง เพราะรองเท้าสุขภาพเป็นเรื่องของฟิตติ้งทำให้การผลิตค่อนข้างยากนิดนึง เพราะว่าเราต้องคอยระวังในเรื่องของรูปทรง เรื่อง Body ขณะเดียวกันการออกไปสู่ตลาดก็ค่อย ๆ เข้าไป เราก็ไปออกบูธให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น 

 

SME ONE : กลุ่มเป้าหมายของ Gemio คือใคร

อภิกษณา : รองเท้า Gemio เป็นแบบ Unisex รองเท้าเราจะมีตั้งแต่ไซส์ 35-45, 46, 47 แล้วแต่รุ่น รองเท้า Slip-on สามารถใส่ได้ทั้งชายทั้งหญิง หรือถ้าเป็นรองเท้าคัทชูรุ่นสุขภาพก็จะเน้นกลุ่มผู้หญิงโดยตรง ประมาณอายุ 30+ แล้วสังคมสมัยนี้เป็นสังคมผู้สูงอายุ คนที่สูงอายุก็จริงแต่ว่าเขายังมีกิจกรรมหรือการที่เขาดูแลตัวเองทำให้เขาสามารถที่จะออกไปท่องเที่ยวได้ กลุ่มคนพวกนี้เขาก็จะเน้นในเรื่องของสินค้าที่มีความทันสมัยแล้วตอบโจทย์เรื่องสุขภาพด้วย เราก็จะได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะว่ากลุ่มพวกนี้เขายังคงแต่งตัวกันอยู่ แล้วยังต้องการเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การสวมใส่ 

ตัวแพรเองจะเป็นคนไปออกบูธเอง เราก็ต้องอธิบายให้ลูกค้าฟังว่าอันนี้เราเน้นในเรื่องของงานการคราฟต์งานผ้าทอ แล้วรองเท้าของเราเป็นพื้นยางพารา เป็นรองเท้าสุขภาพที่มีแผ่นอินโซลข้างใน เป็นแผ่นอินโซลที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง เหมาะกับคนเอเชียที่หน้าเท้ากว้าง แล้วก็มีการรองรับอุ้งเท้าได้ดี ถ้าเทียบกับสินค้าจากต่างประเทศดีไซน์น์รองเท้าต่างประเทศจะเป็นสปอร์ต แต่บางทีลูกค้าก็ต้องการรองเท้าที่ใส่เข้ากับชุดของเขาได้ หรือบางทีเราทำเป็นแนวผ้าไทยสั่งตัด เขาก็สามารถใส่กับซิ่นได้ เสริมบุคลิก เราเน้นว่ารองเท้าเรา 1 คู่ใส่เที่ยวได้ ใส่ทำงานได้ แล้วเสริมบุคลิก และเหมาะกับการสวมใส่ของเขาด้วย  

 

SME ONE : ปัจจุบันคนไทยมีความรู้เรื่องรองเท้าเพื่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด

อภิกษณา : รู้โดยรวมๆ แต่ไม่ได้รู้ลึก บางคนก็อาจจะประเมินไม่ถูกว่าจริง ๆ เขาเท้าแบนหรือเปล่า หรือ จริง ๆ High Arch (เท้าโค้ง) เขารู้แต่ว่าเขาปวดเท้าเวลาเดิน เพราะฉะนั้นเวลามาซื้อ หลายท่านอาจจะมีปัญหาในเรื่องที่ว่าไปลองมาหลายแบรนด์ ลองซื้อแผ่นรอง (Insole) มาใส่ อาจจะหายเมื่อยบ้างไม่หายบ้าง เรื่องเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัญหาสภาพเท้ามันมีทั้งที่เป็นตั้งแต่กำเนิด กับบางคนที่เป็นอาการเกิดจากการเจ็บป่วยเนื่องจากใส่รองเท้าผิดประเภทหรือการใช้งานหนัก

คนส่วนมากมักจะไปซื้อแผ่นรองมาใส่ เพราะรู้สึกใส่สบาย หรือบางคนก็ไปซื้อรองเท้าสุขภาพซึ่งไม่รู้ว่าสุขภาพจริงหรือเปล่า แต่ถ้าบางคนเท้าเขาผิดรูปแล้ว จริง ๆ จำเป็นต้องตัดรองเท้า แต่ถ้ายังไม่อยากตัด อาจจะต้องหารองเท้าที่เข้ากับรูปเท้าเขาได้ 

อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ บางคนอาจจะบอกว่าฉันชอบรองเท้านิ่ม ๆ แต่บางทีนิ่มเกินไปก็ไม่ดี เพราะว่านิ่มเกินไปเวลาเดินเท้ามันจะสะบัด เสร็จแล้วมันทำให้เท้าเราคอนโทรลสมดุลได้ไม่ดี ก็จะเมื่อยเท้า อันนี้บางคนก็อาจจะไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันชอบนิ่ม ใส่สบาย มันก็จะมีลักษณะทางกายภาพตรงนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

SME ONE : ช่องทางการขายของรองเท้า Gemio ขายผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก เพราะสินค้าต้องให้คำแนะนำ

อภิกษณา : Gemio ปัจจุบันยังเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพ ช่องทางการขายเราเน้นออกบูธเป็นหลัก คือเน้นให้ลูกค้ามาสวมใส่ มาลอง เพราะเราจะสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้ ถ้าลูกค้ามาลองแล้ว ต่อไปพอมีรุ่นใหม่ เขาสามารถที่จะซื้อไซส์เดิมได้ หรือสามารถมาลองที่บูธได้ แล้วตอนนี้เราทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา อยู่ที่ซอยเอกชัย 6 แยก 1 เอกชัย จอมทอง โดยลูกค้าสามารถมาลองที่โชว์รูมได้เลย และที่บอกว่าต่อไปเราจะมีการตัดรองเท้า ก็คือจะให้ลูกค้ามาตัดที่โชว์รูม  

ก่อนหน้านี้เราเคยมีขายในห้างสรรพสินค้า แต่ปัจจุบันเราไม่ได้ขายแล้ว และหันมาเน้นการออกบูธ และขายออนไลน์ แล้วก็จะให้ลูกค้าไปลองที่โชว์รูม อยากให้ลูกค้าเข้าใจแล้วมาลอง เพราะการไปลองในห้างมันวางสินค้าได้ไม่เยอะ 

 

SME ONE : เนื่องจากเป็นสินค้าเฉพาะทาง Gemio เคยเข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่

อภิกษณา : เรามีร่วมกับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือกับ DITP ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนาตัวเอง แล้วก็พัฒนาสินค้าร่วมกันไป มีเข้าโครงการต่างๆ พัฒนาเรื่องดีไซน์หรือการออกแบบรองเท้า หรือในมุมมองของการทำตลาด ก็มีเข้าร่วมกับโครงการต่างๆ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของกรมส่งเสริมศิลปาชีพ เกี่ยวกับเรื่องผ้าไทย ตอนนั้นเข้าโครงการแล้วก็มีการพัฒนาสินค้าร่วมกัน จริงๆ ภาครัฐก็ช่วยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเราก็เข้าร่วมกับหลาย ๆ โครงการ แล้วก็มีการพัฒนาสินค้า พัฒนาความรู้เพิ่มขึ้น 

 

SME ONE : อะไรคือ Key Success Factors ของรองเท้า Gemio 

อภิกษณา : อาจจะด้วยที่เราทำรูปแบบและวัตถุดิบเราไม่เหมือนคนอื่น เพราะเรามองว่าการออกแบบรองเท้า 1 คู่ ใช้ได้ทั้งไปเที่ยว ไปทำงาน ทำให้มีลักษณะที่แตกต่างจากคนอื่น แล้วเราก็เน้นการสวมใส่ที่สบาย และเน้นการบริการลูกค้า จนทำให้ลูกค้าบอกต่อ และมาซื้อซ้ำ คือแพรไม่ได้ทำจำนวนเยอะ ทำเป็นล็อต หรือพรีออเดอร์ ลูกค้าจะชื่นชมสินค้าเราว่ามีรูปแบบที่ทันสมัย ไม่เหมือนใคร 

อีก Key Success ของเราคือการนำวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ขณะเดียวกันเราช่วยสังคมในการใช้ผ้าทอ ใช้ยางพารา แล้วก็เป็นระบบการผลิตแบบดั้งเดิมที่เราต่อยอดขึ้นมา รองเท้าของเรา 1 คู่ มีทั้งแฟชั่นและฟังก์ชั่น เพราะเราทำในเรื่องสุขภาพเสริมเข้ามา รองเท้าสุขภาพทั่วไปอาจจะไม่สวย แต่ของเรามีดีไซน์ ขณะเดียวกันรองเท้าทั่วไปที่สวยๆ ก็อาจจะใส่ไม่สบาย แต่ของเราใส่สบายด้วยสวยด้วย 

 

SME ONE : คุณอภิกษณาอยากจะจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร

อภิกษณา : อย่างที่บอก แพรอยากทำเป็น Community เล็ก ๆ ทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา เพื่อที่จะถ่ายทอดการตัดรองเท้าที่เหมาะกับคนเอเชีย หรืออาจจะไม่เฉพาะคนเชียก็ได้ เพราะว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมการทำรองเท้า เราก็อยากจะต่อยอดต่อจากคุณพ่อ แล้วก็เสริมในเรื่องการเอาเทคโนโลยีของการตัดรองเท้าของอาจารย์ที่ทำในเรื่องการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วย เพราะว่ารองเท้าทั้งคู่อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน 

การต่อยอดตรงนี้เรามองว่าเราสามารถที่จะตอบโจทย์คนที่เท้ามีปัญหา คนที่เป็นผู้ป่วยแต่เขาต้องการรองเท้าที่ไม่ใช่สำหรับผู้ป่วย คือใส่แล้วเขายังรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนคนทั่วไป ซึ่งตรงนี้สามารถที่จะต่อยอดต่อไปได้อีก เรื่องที่ทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น เช่น ถ้ามองไปไกล ๆ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานบางคนที่อาจจะต้องตัดเท้า แต่ถ้าเขาเริ่มต้นดูแลตรงนี้ก่อน มันอาจจะช่วยบรรเทาให้เขาดีขึ้นในเรื่องของเท้า เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องไปถึงขนาดขั้นนั้น

พูดตรง ๆ ในเรื่องของรองเท้าดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าคนที่ใส่ใจเรื่องนี้ มันคือพื้นฐานของการเดิน เขาสามารถที่จะซ่อมแซมร่างกายได้โดยพื้นฐานมาจากการใช้รองเท้าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเขา คือแพรอยากทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากการที่เขาได้ใส่รองเท้าที่เหมาะสม แล้วช่วยให้สุขภาพเขาดีขึ้นด้วย 

แพรเข้าใจว่าลูกค้าบางคนที่มาหาเรามีปัญหาเยอะแต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไร ปัญหาตรงนั้นอาจจะแก้ได้ไม่ยากก็ได้ถ้าเขาเข้าใจ เพราะเขาอาจจะไปลองผิดลองถูกมาหลายที่ เราอาจจะไม่ได้โปรโมเยอะจนทำให้เขาต้องมาที่นี่ แต่ต่อไปเราจะค่อย ๆ ขยายให้ลูกค้ารู้จักและบอกต่อ เพราะที่ตัดรองเท้าให้ลูกค้าไป เขาก็รู้สึกว่ามันดีและทำให้ชีวิตเขาเดินต่อได้ เราถึงใช้สโลแกนของ Gemio ว่า “You Move, We Support” คือเราจะซัพพอร์ตให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างดีต่อไป 

ในอนาคตเราอาจจะมีเพิ่มช่องทางขาย อย่างคลินิกพิเศษ หรือโรงพยาบาลแผนกออร์โธปิดิกส์ เพราะเราเคยคุยกับอาจารย์ที่ทำรองเท้าอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล เรามองว่าเราจะใช้ประสบการณ์ในการตัดรองเท้าให้ผู้ป่วยที่มาหาเราเป็นตัวรับประกัน เป็นตัวบอกว่ามันได้ผลจริง ขณะเดียวกันในอนาคตแพรมองว่าเราก็จะทำเป็นเซ็นเตอร์เรื่องเท้าขึ้นมา แล้วก็อาจจะมีการร่วมมือกับทางโรงพยาบาล เพราะว่าก็อยากทำรองเท้าให้กับผู้ป่วยให้เขาใส่รองเท้าสวย แต่ถูกต้องตามรูปเท้า

 

SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ Gemio 

อภิกษณา : ความท้าทายคือการทำรองเท้าที่ค่อนข้างยาก เพราะมันเป็นเรื่องฟิตแอนด์เฟิร์ม เป็นเรื่องของคน ตัวแพรเอง พี่ชาย และอาจารย์ ก็พยายามทำรองเท้าสุขภาพตรงนี้ขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าของเราใช้แล้วตอบโจทย์อะไรบ้าง 

อีกความท้าทาย คือจะทำอย่างไรให้คนเชื่อถือ เพราะ Gemio เราพัฒนาจาก Comfortable มา Health Care แล้วในเรื่องของการตอบโจทย์กลุ่มสุขภาพ ลูกค้ามีทางเลือกเยอะมาก ในท้องตลาดตอนนี้รองเท้าสุขภาพเยอะมาก แต่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ อันนี้ก็แล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายค่อนข้างมากเหมือนกันว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเชื่อใจเรา ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายที่ทำให้ทางแพรเองก็ต้องศึกษาให้มากขึ้น

 

SME ONE : อยากให้คุณอภิกษณาให้คำแนะนำคนที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจแบบ SMEs

อภิกษณา : แพรมองว่าการทำธุรกิจไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซะทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือความตั้งมั่น และความทุ่มเทในการทำ แพรเองมองว่าไม่จำเป็นต้องทำให้มันใหม่ ต้องโตหรือต้องตามใคร แต่เราทำในสิ่งที่เราพอใจและมีความสมดุลของเรา เพื่อที่เราจะมีความเข้มแข็งที่เราจะค่อย ๆ เดินและพัฒนาต่อไป 

 

บทสรุป

ความสำเร็จของ Gemio อยู่ที่มุมมองในการทำธุรกิจของคุณอภิกษณา ที่เชื่อในเรื่องของการสร้างแบรนด์ โดยอาศัยการต่อยอดจากธุรกิจครอบครัวเดิมที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าป้อนตลาด Mass และรับจ้างผลิตแบบ OEM มาก่อน

การสร้าง Brand Value ของ Gemio คุณอภิกษณามีการมองหา Unique Selling Point ใหม่ให้กับตัวสินค้า เพื่อสร้างเอกลักษณ์โดดเด่น มีจุดยืน ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เช่น ยาง Eco 2 Surface ซึ่งเป็นวัสดุที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นมาเอง และการเลือกใช้วัสดุอย่างผ้าทอพื้นเมือง ที่มีลวดลายการทอที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รองเท้า Gemio มีทั้งความสวยงาม และคุณสมบัติของรองเท้าเพื่อสุขภาพ

 

บทความแนะนำ

กรมโรงงานอุตสาหกรรม

กรมโรงงานอุตสาหกรรม เร่งเดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมสีเขียวยุค 4.0

จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจ BCG Model หรือเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการขับเคลื่อนในมิติต่างๆ คือ (1) สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และยกระดับรายได้ของประชากร (2) สร้างความมั่นคงทางสังคม สร้างความมั่งคงทางอาหาร สุขภาพ และพลังงานในทุกระดับ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต (3) สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดของเสียและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และ (4) ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs 14 ใน 17 เป้าหมาย

โดยภาครัฐมีภารกิจสำคัญที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อน Green Economy หลายด้าน ประกอบด้วย (1) การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก Smart Factory (2) เงินทุน สิทธิประโยชน์และรางวัล ได้รับ Prime Minister’s Award ด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านความรับผิดต่อสังคม ด้านบริหารความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์ผู้ได้รับ GI 4-5 (3) การพัฒนากำลังคนและความสามารถ จาก Third Party การพัฒนาบุคลากรภาครัฐ/เอกชน และการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน (4) บ่มเพาะ สร้าง ยกระดับผู้ประกอบการและรูปแบบธุรกิจใหม่จาก Green Industry, Eco-industrial Estate/Town, CSR-DIW, CSR-DPIM (5) มาตรฐาน กฎหมาย กฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนา BCG มาตรฐานผลิตภัณฑ์ มาตรฐานระบบ พ.ร.บ.โรงงาน และ (6) การสร้างและพัฒนาตลาดด้วย i-mall แพลตฟอร์มตลาดอุตสาหกรรมออนไลน์

 

ปีแห่งความเปลี่ยนแปลง

คุณอำนาจ เหมะสถล ผู้อำนวยการสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวสู่ความยั่งยืน และจะมีการใช้กฎระเบียบเรื่องสิ่งแวดล้อมในการผลิตสินค้าอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับความกดดันจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ธุรกิจลดการปล่อยมลพิษ ส่งผลต่อเนื่องมายังธุรกิจ MSME ที่ทำงานร่วมกับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

การปรับตัวและเตรียมความพร้อมในปี 2567 ธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด โดยการใช้ประโยชน์จากพลังงานหมุนเวียน การลดปริมาณการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำของเสียมาแปรสภาพใช้ใหม่ (Recycle) หรือใช้ผลิตใหม่ (Remanufacture) หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Car ในประเทศไทยมีพัฒนาการการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จะเห็นได้จากปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (BEV หรือรถไฟฟ้าแบตเตอรี่) ที่จดทะเบียนใหม่ในช่วง มกราคม - กันยายน 2566 เฉลี่ยเดือนละ 7,399 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่เฉลี่ยเดือนละ 2,673 คัน เกือบ 3 เท่าตัว (อิงข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก) ในส่วนผู้ประกอบการได้ให้ความสนใจในด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น และมีความต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

“การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการขยายโอกาสการลงทุนกำลังเติบโตขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิตและอุตสาหกรรมที่ในช่วงปี 2565-2567 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อน BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโต แต่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนประชากรวัยทำงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้น ภาครัฐจึงมีนโยบายนำเทคโนโลยีด้านไอทีเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและบำรุงรักษาที่สามารถตรวจสอบและประเมินได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น หนุนโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและความสามารถทางการแข่งขันได้” 

 

Disruption ของผู้ประกอบการไทย

โดยสิ่งที่ถือเป็น Disruption ที่ผู้ประกอบการไทยในภาคการผลิตกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ 

1) ความท้าทายของภาคธุรกิจจากการขาดแคลนแรงงานในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนกำลังแรงงานของไทย (อายุ 15-59 ปี) ต่อประชากรทั้งหมดจะลดลงจาก 62% ในปี 2566 เหลือเพียง 50% ในปี 2593 หากพิจารณาโครงสร้างตลาดแรงงานไทยพบว่า แรงงานทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วนราว 82% (แรงงานภาคเกษตร แรงงานก่อสร้าง แรงงานในโรงงาน)

2) ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยและอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ประเด็นเหล่านี้ทำให้สินค้าราคาถูก รวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ  MSME ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

“แนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เกิดขึ้น เช่น  การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation) เข้ามาใช้ในภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน คาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติภายใน 1- 3 ปี ในสัดส่วน 50% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางจะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติภายใน 3- 5 ปี และกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็กจะมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติใช้เวลามากกว่า 5 ปี”

คุณอำนาจ กล่าวเสริมว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีจุดแข็งหลายประการ อาทิ ทำเลที่ตั้งและแหล่งพลังงาน มีฝีมือแรงงานที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่ง มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ เป็นต้น แต่ยังมีจุดอ่อนในเรื่องการขาดเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนค่อนข้างยากสำหรับผู้ประกอบรายเล็กหรือผู้เริ่มต้นประกอบกิจการ และอุปสรรคด้านผังเมืองที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ อีก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง ราคาพลังงานและอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนลดลง ปัญหาสินค้าราคาถูกในตลาดอีคอมเมิร์ช การเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากร และข้อจำกัดของกฎหมายในการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop)

ขณะที่แนวทางการแก้ปัญหา ได้มีการเสนอแนะให้มีการแก้ไขข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อคณะทำงานผังเมือง พร้อมสนับสนุนและมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายปลดล็อกให้การติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีจำนวนมาก

รวมถึงการให้ความรู้และคำแนะนำผู้ประกอบการเรื่องการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน และสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานอื่นๆ เช่น ผู้ประกอบการสามารถนำ Solar Rooftop เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อกับธนาคารกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยในปี 2566 มีการนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร จำนวน 169 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในปี 2567 คาดว่าจะมีการนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรเพิ่มขึ้นกว่า 100%

 

เดินหน้าสู่ Green Economy

ที่ผ่านมา กรอ. เล็งเห็นถึงปัญหาในภาคอุตสาหกรรม จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ดังนี้

(1) การจัดทำโครงการ “เร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจ และให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรให้กับผู้ประกอบการ MSMEทั่วประเทศ ทั้งในด้านการเพิ่มการผลิต การลดต้นทุนด้านพลังงาน การลดต้นทุนในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงเครื่องจักรเดิม หรือการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ทดแทน โดยมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 2,998 ราย และมีเครื่องจักรที่ได้รับการตรวจสอบปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนแล้วไม่น้อยกว่า 12,500 เครื่อง

(2) การเพิ่มช่องทางการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรผ่านระบบจดทะเบียนเครื่องจักรออนไลน์ (Online Machinery Registration) https://omr.diw.go.th/OMR/ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ โดยสามารถยื่นคำขอฯได้ทั้งรูปแบบเอกสารด้วยตนเอง หรือผ่านระบบออนไลน์

(3) สนับสนุนให้โรงงานในกำกับเข้ามาใช้แบบประเมินออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup ด้วยตนเอง ทำให้ผู้ประกอบการทราบระดับอุตสาหกรรมของตนและสามารถรับคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อยกระดับโรงงานของตนไปสู่ระดับอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup ภายใต้การลงนามความร่วมมือระหว่างกรมโรงงานฯ กับ สวทช. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567

(4) สนับสนุนให้มีการนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ ผ่านการวิจัยและพัฒนาสู่การเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเป็นวัตถุดิบในอีกอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย (End of Waste) รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสำหรับวัตถุดิบทุติยภูมิเพื่อให้เกิดการเลือกใช้วัสดุทดแทน (Circular Supplies) เพื่อรักษาต้นทุนของธรรมชาติ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และลดการเกิดของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

โดย กรอ.จะให้ความช่วยเหลือ หรือให้การสนับสนุนผ่านทางช่องทางต่าง ๆ คือ 1) Single Window (One Stop Service) ศูนย์สารพันทันใจที่เปิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการดำเนินการและตอบข้อหารือสถานประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.จดทะเบียนเครื่องจักร และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2) ระบบการขออนุญาตผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขออนุญาตตามกฎหมาย ทั้ง 3 ฉบับ ภายในอำนาจหน้าที่ของกรมรงงาน คือ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.จดทะเบียนเครื่องจักร และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย 

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการเร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำปีงบประมาณ 2567 สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www5.diw.go.th/mac/ หรือสอบถามสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง โทร. 02-430-6317 ต่อ 2600  

สำหรับการทำงานภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy : GE) เพื่อสร้างการเติบโตให้กับสังคมอย่างยั่งยืน กรอ.มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในทุก ๆ อุตสาหกรรม 

“ปีนี้ กรอ. ได้กำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry : GI) 90% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยในปี 2570 โรงงานจะเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) 100% และมากกว่า 50% จะได้รับเครื่องหมายอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) ระดับ 3 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”

บทความแนะนำ