แฟรนไชส์อาหาร ขายอะไรยังไปต่อได้ในช่วงวิกฤติ

หัวข้อ : 10 แฟรนไชส์อาหาร ที่ยังไปได้ดีแม้เศรษฐกิจผันผวน
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/franchise-food-investment

 

การขายอาหารการกินไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีตกยุค ยิ่งเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและมีธุรกิจตัวกลางคอยเชื่อมโยงร้านอาหารกับกลุ่มลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การเติบโตทางการตลาดจึงเป็นไปอย่างดี โดย Euromonitor รายงานว่าในช่วงปี 2013-2018 ยอดขายธุรกิจบริการอาหาร (Food service) ของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 4% ต่อปี 

สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจอาหาร แฟรนไชส์อาหารเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ จากแนวโน้มของตลาดที่ให้การตอบรับดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจอย่าลืมที่จะพิจารณาถึงผลเสียและความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ที่จะได้รับอย่างรอบคอบ เพื่อวางแผนรับมือกับสิ่งที่จะตามมาในอนาคตได้

ผู้ที่สนใจเแฟรนไชส์อาหาร นี่คือ 10 แฟรนไชส์ที่ยังไปได้ดีในยุคนี้

 

1. แฟรนไชส์น้ำปลาหวาน จิ้มแกล้มกับผลไม้

  • ราคาเริ่มต้นแฟรนไชส์เพียง 10,000 บาท
  • งบประมาณอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับทุนและการจัดการร้านตามที่มี เช่น การตกแต่งร้าน การเลือกผลไม้กินแกล้มน้ำปลาหวาน

 

2. เนื้อย่างเสียบไม้ มีแนวคิดมาจากความนิยมทานเนื้อแบบปิ้งย่างของคนไทย เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการทานแบบสะดวก พออิ่มท้อง และไม่อยากจ่ายเยอะ

  • ปัจจุบันมีให้เลือกร่วมทุนหลายเจ้าด้วยกัน 
  • งบในการดำเนินการประมาณ 3,000 – 15,000 บาท

 

3. เครป ขนมทานเล่นยอดนิยมมานานยังคงไปได้ดี

  • มีหลายแบรนด์แฟรนไชส์ให้เลือกหลากหลายแล้วแต่จุดขายที่สนใจ 
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 15,900 – 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์และอุปกรณ์ส่งเสริมการขายของแบรนด์นั้นๆ 

 

4. หม่าล่า อาหารปิ้งย่างเคลือบน้ำจิ้มรสเผ็ด ได้รับความนิยมมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

  • วัตถุดิบที่นำมาปิ้งย่าง เช่น เนื้อ ไก่ เอ็น ไส้กรอก ฯลฯ
  • แต่ละแบรนด์แตกต่างกันตรงที่เทคนิคการหม่าให้ได้ที่และรสชาติน้ำจิ้ม
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 1,200 -30,000 บาท

 

5. เฟรนช์ฟรายส์ อาหารทานเล่นที่บริหารจัดการได้ไม่ยาก

  • ปัจจุบันมีหลายรสชาติ และหลายแบรนด์แฟรนไชส์ให้เลือกลงทุน 
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 25,000 – 200,000 บาท

 

6. ซูชิ อาหารจากญี่ปุ่นที่ถูกปากคนไทยมานาน

  • มีตั้งแต่สเกลเล็ก ๆ เป็นซุ้มหน้าร้าน ไปจนถึงร้านนั่ง เน้นขายความสดใหม่
  • คิดราคาเป็นคำ 
  • หลายเจ้าให้เลือกลงทุน ความอร่อยจะแตกต่างกันตรงการปรุงรสข้าว
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 4,000 – 35,000 บาท 

 

7. ก๋วยเตี๋ยว ยังไปได้ในทุกยุคเศรษฐกิจ

  • มีให้เลือกลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ 
  • แต่ละแบรนด์ล้วนมีเอกลักษณ์ที่วัตถุดิบ เช่น น้ำซุป เส้น การตุ๋นเนื้อ เครื่องปรุง รสชาติลูกชิ้น ฯลฯ ที่แตกต่างกัน
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 50,000 – 150,000 บาท 

 

8. ส้มตำ ยำแซ่บ อีสานยกชุด อาหารที่คนไทยทานได้ไม่เบื่อ

  • มีตั้งแต่เมนูส้มตำที่หลากหลาย ยำรสจัดจ้าน แจ่ว อ่อม ไก่ทอด ไกย่าง ฯลฯ
  • เริ่มต้นลงทุนแฟรนไชส์ได้ตั้งแต่ 19,000 – 70,000 บาท

 

9. สเต๊ก สามารถคืนทุนได้เร็ว หากทำเลดีและเลือกลงทุนแฟรนไชส์ดี

  • งบในการดำเนินการแตกต่างกันแต่ละแบรนด์

 

10. ชาบู มีทั้งแบบจัดเป็นชุดบุฟเฟต์ หรือเสียบไม้

  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 7,500 – 2,000,000 บาท

 

ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารเป็นสินค้าที่มีผลกำไรต่อหน่วยน้อย ต้องอาศัยการขายในจำนวนมาก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกเหนือไปจากทุน จุดคุ้มทุน และผลกำไรแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ผู้ประกอกการต้องใส่ใจด้วย เช่น

– การพิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้ง เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจไปได้ไกล

– วัตถุดิบอาหารต้องสดใหม่และมีอายุในการเก็บรักษา จำต้องหมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายทุกวัน

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

ทำธุรกิจความงามพลาดไม่ได้ เทรนด์ผู้ชายใส่ใจตัวเอง

หัวข้อ : เทรนด์ชายต้องหล่อมาแรง ดันตลาดความงามโต
อ่านฉบับเต็มเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/TrendMan.pdf

 

ตลาดความงามโดยรวมกำลังเติบโต จากพฤติกรรมคนไทยที่หันมาดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันผู้ชายก็หันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดูแลภาพลักษณ์และบุคคลิกมากขึ้น กลุ่มลูกค้าผู้ชายจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้า บริการ หรือต่อยอดธุรกิจความงามจากเดิมสินค้ายอดฮิตของตลาดความงามผู้ชาย เป็นสินค้าที่เกี่ยวกับการดูแลร่างกาย (Men’s Grooming) เติบโตเฉลี่ยประมาณ 6.4% ต่อปี ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น และมีอัตราเติบโตสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

  1. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำและหลังการอาบน้ำ มีสัดส่วนประมาณ 75.2% ของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามผู้ชาย เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โดยตลาดนี้มีการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี
  2. ผลิตภัณฑ์โกนหนวด มีสัดส่วนประมาณ 14.5% และมีการเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปี
  3. ผลิตภัณฑ์น้ำหอม มีสัดส่วนประมาณ 10.3% และมีการเติบโตเฉลี่ย 4.9% ต่อปี

 

 

โดยตลาดความงามผู้ชายส่วนใหญ่เติบโตจากกลุ่มผู้ชายอายุระหว่าง 20-39 ปี หรือกลุ่มมิลเลนเนียลส์ (Millennials) ที่เริ่มสนใจดูแลบุคลิกภาพของตนเอง และเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเกี่ยวกับความงามค่อนข้างสูง โดยพฤติกรรมของกลุ่มมิลเลนเนียลส์ที่สำคัญ มีดังนี้

ไม่ยึดติดกับตราสินค้า และไม่ได้ยึดปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก

  • ผู้ชายกลุ่มมิลเลนเนียลส์ชอบที่จะทดลองและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการ หรือไลฟ์สไตล์ของตนเอง
  • มีความคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดีทางด้านคุณภาพและการบริการ
  • ถ้าเป็นคลินิกความงาม ผู้ใช้บริการทั่วไปอาจตัดสินจากความเชื่อถือในตัวแพทย์ผู้ให้บริการ แต่กลุ่มนี้ก็พร้อมจะไปลองใช้บริการในสถานที่ใหม่ ตามคำแนะนำของญาติ เพื่อน หรือที่มีการกล่าวถึงในโลกโซเชียล
  • หากเกิดความประทับใจในสินค้าหรือบริการ ก็อาจปรับเปลี่ยนไปใช้ของแบรนด์ใหม่ได้
  • หากสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่ใช้อยู่ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ก็อาจเปลี่ยนใจได้เช่นกัน

สืบค้นข้อมูลก่อนตัดสินใจ

  • จะมีการหาข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวสินค้า
  • มีการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้า รวมถึงติดตามการรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้น

สนใจสินค้าที่มีนวัตกรรม

  • สนใจในสินค้าดูแลร่างกายที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีหรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหลายด้านในหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อลดขั้นตอนการใช้ และต้องเห็นผลเร็ว แต่ก็ต้องมีความปลอดภัยได้มาตรฐานตามที่กำหนด
  • บรรจุภัณฑ์ควรแสดงความเป็นตัวตนของผู้ชาย หรือตามเทรนด์ที่นิยม

ราคาที่สมเหตุสมผล

  • แม้จะมีความกล้าที่จะใช้จ่าย แต่จะจ่ายในสิ่งที่เห็นว่ามีความคุ้มค่า
  • สำหรับสินค้าที่มีส่วนผสมพิเศษ ที่มีการรับรองถึงประสิทธิภาพ ถึงจะมีราคาสูงก็ได้รับความสนใจ
  • การรักษาคุณภาพสินค้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญต่อความน่าเชื่อถือ และการซื้อครั้งต่อไป

 

ตลาดสินค้าความงามสำหรับกลุ่มผู้ชายในไทยเริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น เพื่อลดการแข่งขันตลาดในประเทศ ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจกับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่แม้ว่ามูลค่าตลาดความงามสำหรับผู้ชายอาจยังไม่สูงมากนัก แต่ก็มีการเติบโตต่อเนื่อง และยังมีเรื่องของข้อได้เปรียบที่สำคัญของสินค้าและบริการของไทยก็คือ ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านต่างมีการติดตามเทรนด์ทางด้านความงามของไทย และมีความเชื่อถือในคุณภาพรวมถึงความคุ้มค่าของสินค้าและบริการจากไทยค่อนข้างสูง

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

จับเทรนด์อาหารยุคใหม่ ทางเลือกเพื่อเพิ่มรายได้

หัวข้อ : SME จับเทรนด์อาหารอนาคตสร้างรายได้
อ่านเพิ่มเติม : https://kasikornbank.com/th/business/sme/SME_Analysis_FutureFood.pdf

 

อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตความมั่นคงด้านอาหาร การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโลก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ส่งผลต่อเทรนด์การบริโภคในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอาหารเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตมากขึ้น

 

 

เทรนด์อาหารในอนาคตที่น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่

1. อาหารพืชแบบธรรมชาติ (Plant-Based Food)

เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ โดยไม่ผ่านการขัดสีหรือกระบวนการเก็บถนอมอาหารใดๆ ทั้งผักผลไม้ รวมไปถึงวัถุดิบอื่นๆ คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้สูงอายุ กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Vegan) รวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการบริโภคอาหารบางกลุ่ม เช่น ไขมัน น้ำตาล เป็นต้น

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารพืชแบบธรรมชาติ

– ควรมุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าพืชเกษตรในรูปแบบออร์แกนิค (ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต) ธัญพืชกลุ่มที่มีประโยชน์สูงต่อสุขภาพ หรือ Super Food

– ต้องมีการพัฒนาและมองหาวิธีการนำเมล็ดพันธุ์พืชมาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสกัดเป็นน้ำมัน/ผง ตลอดจนนำมาแปรรูปเพื่อทดแทนอาหารแบบเดิม ซึ่งนอกจากจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศแล้ว ยังสามารถขยายกิจการสู่การส่งออกได้อีกด้วย

– กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ คือ กลุ่มผู้บริโภค Vegan และกลุ่มร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

 

2. อาหารจากแมลง (Insect Food)

ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติ (UN) ประกาศให้แมลงเป็น Super Food ที่มีประโยชน์และสารอาหารสูง โดยในหลายประเทศเริ่มยอมรับการใช้แมลงเป็นอาหารโปรตีนสำรอง และมีประชากรโลกราว 2,000 ล้านคนที่รับประทานแมลงเป็นอาหาร แมลงจึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าในกลุ่มอาหารศักยภาพที่น่าสนใจในการเจาะตลาดผู้บริโภค การส่งออกแมลงไปจำหน่ายทั่วโลก สามารถผลิตได้ง่ายในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังสามารถแปรรูปเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงได้อีกด้วย

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารจากแมลง

– นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาทำฟาร์มเพาะเลี้ยงในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีอากาศที่เหมาะสม

– แมลงที่ตลาดมีความต้องการสูง ได้แก่ จิ้งหรีด รถด่วน ตั๊กแตน ดักแด้ ฯลฯ

– ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม คือ กลุ่มแมลงทอดหรืออบ แมลงแช่แข็ง

– ช่องทางการจำหน่ายที่มีศักยภาพในระยะต่อไป คือ ตลาดส่งออก โดยตลาดที่มีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้สูงได้แก่ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

 

3. อาหารจากท้องถิ่น (Localisation)

คืออาหารที่มาจากท้องถิ่น หรืออาหารที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ ส่งจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง ใช้กำลังการผลิตในปริมาณไม่มาก และมีเรื่องราวที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ โดยอาหารกลุ่มนี้เริ่มมีความต้องการจากตลาดผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นในต่างประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารรายใหญ่เริ่มหันมานำเสนอสินค้าที่มีความเป็นท้องถิ่นพิเศษ ซึ่งจะเลือกผลิตหรือจำหน่ายในช่วงเวลาและปริมาณที่จำกัด เพื่อนำเสนอให้ผู้บริโภคเห็นถึงความพิเศษและมีคุณภาพสูงของสินค้า

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารท้องถิ่น

– วัตถุดิบอาหารและอาหารในไทยค่อนข้างได้เปรียบ เพราะประเทศไทยมีเอกลักษณ์และความเป็นพื้นถิ่นสูง ช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น

– กลุ่มสินค้าที่ตลาดต้องการ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยได้ขึ้นทะเบียนตราสัญลักษณ์ GI เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ทุเรียนนนท์ สับปะรดภูแล มะขามหวานเพชรบูรณ์ ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน ฯลฯ

– ผลิตภัณฑ์จากผลไม้และสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน้ำหอม ทุเรียน/ขนุนแปรรูป (ทอดกรอบ) น้ำผึ้งดอกลำไย รวมถึงเครื่องแกงหรือเครื่องปรุงรสไทย

– การเพิ่มนวัตกรรมอาหารเข้าไปในผลิตภัณฑ์ หรือสร้างเรื่องราวของสินค้าให้น่าดึงดูดหรือให้แบรนด์ดูมีคุณค่ามากขึ้นด้วย

 

 

จากเทรนด์อาหารในอนาคตและโอกาสทางการตลาด ที่ได้กล่าวไป ผู้ประกอบการควรหันมาให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมอาหารมาปรับใช้ในการผลิตให้มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการรักษาคุณภาพด้านการผลิต และที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ก็คือ การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ (Traceability) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค

 

การปรับธุรกิจให้ทันเทรนด์อาหารยุคใหม่นี้อาจไม่ใช้เรื่องง่าย เพราะเป็นการผลิตอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง มีความสลับซับซ้อน ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาหาข้อมูลและมองหาลู่ทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือหาแนวร่วมจากองค์กรภาครัฐที่สนับสนุน เช่น

– เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ที่ส่งเสริมหรือเชื่อมโยงความช่วยเหลือเกี่ยวกับเครือข่ายผู้ประกอบการ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ http://foodinnopolis.or.th/

– สถาบันอาหาร (National Food Institute) บริการด้านการตรวจ วิเคราะห์การทดสอบ และการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการ

– อาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการในธุรกิจ-ต่างธุรกิจ สถาบันวิจัยหรือสถาบันการศึกษาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาผลิตภัณฑ์

 

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

ธุรกิจเครื่องสำอาง รับมืออย่างไรหลัง COVID-19

หัวข้อ : SME รับมืออย่างไร เมื่อโควิด – 19 เขย่าตลาดเครื่องสำอาง
อ่านฉบับเต็มเพิ่มเติม : https://kasikornbank.com/th/business/sme/cosmetic_market_covid.pdf

 

จากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการเครื่องสำอางในไทยเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะมีเรื่องของการส่งออกเครื่องสำอางที่จะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของประเทศเท่านั้น แต่การผลิตและการบรรจุเครื่องสำอางก็อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของทางการที่เข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางสามารถฟื้นฟูกิจการให้อยู่รอดในช่วงนี้คือ


การประคองธุรกิจช่วงโควิด-19 ในระยะสั้น

ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในองค์กร เช่น การบริหารจัดการสภาพคล่อง การบริหารสต็อกวัตถุดิบ รวมถึงผลกระทบในส่วนของพนักงาน ตลอดจนการตรวจสอบกับพันธมิตรคู่ค้าในต่างประเทศ ถึงสถานการณ์ด้านการตลาด และอุปสรรคที่อาจมีในด้านการขนส่งสินค้า เพื่อวางแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์

 

การนำเสนอสินค้าที่มีขนาดแตกต่างกันเพื่อเป็นทางเลือก

เช่น การผลิตสินค้าขนาดเล็ก นอกจากจะเหมาะกับกลุ่มลูกค้ารายเดิมที่กำลังซื้อมีจำกัดแล้ว ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังมีรายได้ไม่สูง แต่สนใจอยากทดลองใช้สินค้า

 

การปรับช่องทางการจัดจำหน่าย

เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ เพราะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 สินค้าเครื่องสำอางได้รับความสนใจสั่งซื้อผ่าน ช่องทางนี้สูง โดยเฉพาะสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากผู้ซื้อต้องการความหลากหลายของสินค้า ขณะเดียวกับที่ผู้บริโภคเองต่างมีการแบ่งปันข้อมูลสินค้ากันในสังคมออนไลน์เช่นกัน

 

การเร่งจัดกิจกรรมการขายหลังการระบาดของโรคคลี่คลาย

เนื่องจากไทยถือเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางในภูมิภาคอาเซียน หากสถานการณ์ระบาดของโรคคลี่คลายเป็นปกติ  จะทำให้คู่ค้าได้เข้ามาพบปะผู้ประกอบการเครื่องสำอาง รวมถึงติดตามความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเครื่องสำอางรูปแบบใหม่ๆ อีกทั้งการร่วมมือกับภาครัฐวางแผนจัดงานแสดงสินค้า เพื่อให้ยอดขายกลับมาปกติเร็วที่สุด

 

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอาง ที่กำลังมองหาช่องทางการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ หลังจากที่วิกฤติทั่วโลกคลี่คลายนั้น ตลาดส่งออกที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ตลาดส่งออกที่สำคัญคือ ตลาดในเอเชียที่มีสัดส่วนสูงถึง 82.8% (ตลาดหลัก ได้แก่ อาเซียน 38.9% ญี่ปุ่น 12.7% จีน 10.7% เกาหลีใต้ 3.7%)
  • รองลงมาคือ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และตลาดสหภาพยุโรป
  • ประเภทเครื่องสำอางที่ส่งออกสูง ได้แก่ เมคอัพที่ใช้แต่งหน้าหรือสกินแคร์บำรุงผิว และสิ่งปรุงแต่งที่ใช้กับผม ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 52.9% รองลงมาคือวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องสำอางสัดส่วน 18.7%

 

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเครื่องสำอางควรเรียนรู้เทรนด์ที่เกี่ยวข้องที่กำลังเป็นที่สนใจ รวมถึงตลาดที่จะกลับมาเติบโตภายหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง โดยเทรนด์เครื่องสำอางที่เติบโตสูงและกำลังเป็นที่สนใจในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่

 

  • เครื่องสำอางสำหรับเด็ก

 ซึ่งต้องมีความปลอดภัย และไม่เกิดการแพ้ เนื่องจากผิวเด็กมีความบอบบาง และไวต่อเครื่องสำอาง

 

  • เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและดูแลเส้นผม ได้รับความสนใจสูง โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้  โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาด เครื่องสำอางผู้ชายจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 ของตลาดเครื่องสำอางในปัจจุบัน

 

  • เครื่องสำอางหรับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมีจำนวนประชากร เกือบ 1 พันล้านคนทั่วโลก และบางส่วนยังคงให้ ความสนใจกับบุคลิกตนเองจึงต้องการผลิตภัณฑ์ดูแล ผิว ต่อต้านริ้วรอยให้ดูอ่อนกว่าวัย และผลิตภัณฑ์ดูแล เส้นผม

 

  • เครื่องสำอางสำหรับตลาดมุสลิม

คาดว่าจะมี มูลค่า 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศที่มีชาวมุสลิมจำนวนมาก เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี มาเลเซีย โดยประเภทของเครื่องสำอางที่น่าสนใจได้แก่ เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย และเด็ก เป็นต้น

 

  • เครื่องสำอางไซส์มินิ

สำหรับผู้ที่ต้องการสินค้า ที่พกพาสะดวก รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่สูงมากนัก และกลุ่มที่ต้องการทดลองใช้สินค้าก่อนใช้จริง

 

  • สินค้าที่ผลิตมาเฉพาะบุคคล (Customization)

เป็นการผสานเทคโนโลยี เช่น  AI และ Big Data สำหรับ วิเคราะห์และผลิตเครื่องสำอางสำหรับผู้มีสภาพผิวที่แตกต่างกัน

 

  • การห้ามใช้เม็ดพลาสติกไมโครบีดส์

ซึ่งผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ชำระล้างต่างๆ เช่น สบู่ โฟม แชมพู ซึ่งหลายๆ ประเทศ ทั้งจีน ไต้หวัน รวมถึงไทย ได้ห้ามผลิตหรือ จำหน่ายตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

 

  • เครื่องสำอางที่ใช้สารปรุงแต่งน้อย

โดยเน้น วัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือออร์แกนิก รวมถึงที่สามารถ ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech)

 

เห็นได้ชัดว่า ปี 2563 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการเครื่องสำอางในไทยไม่น้อย ที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อผลประกอบการ แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการทำได้ คือการผลักดันธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป การระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการเครื่องสำอางใช้โอกาสนี้ ปรับกลยุทธ์ด้วยการบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาช่องทาง การขายสินค้าจากช่องทางหน้าร้าน (Offline) ที่เคยเป็นตลาดหลัก ขยายไปสู่ช่องทางออนไลน์ (Online) ให้มากขึ้น  ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเครื่องสำอางสามารถขยายโอกาสการส่งออก ภายหลังการระบาดของโรคคลี่คลายเป็นปกติได้กว้างขวางมากขึ้น

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

 

บทความแนะนำ

C-commerce ทางเลือกสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์

หัวข้อ : C-commerce ทางเลือกใหม่ของธุรกิจออนไลน์
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/c-commerce-online-business-options

 

 

C – Commerce เป็นการซื้อขายผ่านช่องทางแชทเป็นหลัก ย่อมาจาก Conversational Commerce ซึ่งก็คือ การแชทคุยกันเพื่อซื้อขายนั่นเอง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการซื้อขาย การปิดการขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย

 

เหตุผลที่ผู้ประกอบการชื่นชอบ C – Commerce ?

  • เป็นรูปแบบการขายแบบใหม่ที่เน้นความง่าย สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้ซื้อในทุกเรื่องราวที่ต้องการ
  • ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น หากได้พูดคุยกับผู้ขายโดยตรง เพราะได้ความใกล้ชิด ความเป็นกันเอง ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดแบรนด์มากขึ้น
  • ลูกค้าเกิดความเชื่อใจ และรู้สึกดีต่อแบรนด์ เพราะสามารถเห็นภาพ สินค้าจริงๆ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
  • ผู้ขายปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เพราะสามารถบอกข้อมูลสินค้า รวมถึงกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ด้วยตัวเอง

 

ทำไม C-commerce ถึงน่าสนใจในประเทศไทย ?

จากผลสำรวจ คนไทยใช้งานร้านค้าออนไลน์มากที่สุด (ใน 9 ประเทศ) ซึ่งคนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงถึงวันละ 9 ชั่วโมง คนไทยนิยมใช้งานแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการแชทในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นไลน์ (Line) หรือ แมสเซ็นเจอร์ (Messenger) ส่งผลให้ติดพฤติกรรมการแชท และกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำสิ่งต่าง ๆ ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า

 

การติดต่อแบบสองช่องทาง (Two way communication)

ทำให้คนไทยกล้าที่จะเปิดใจใช้บริการต่างๆ ง่ายขึ้น เพราะเรื่องของอีคอมเมิร์ช  ( E-Commerce) ในประเทศไทยนับเป็นเรื่องที่ใหม่ เพราะคนไทยพร้อมที่จะเรียนรู้ใช้งานสิ่งใหม่ ๆ ขอแค่มีคนให้คำแนะนำ การแชทจึงทำให้เชื่อมั่นในระบบได้มากขึ้นกว่าเดิม และเกิดการซื้อสินค้าอย่างง่ายดาย

 

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องใช้กลยุทธ์การซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) ให้ได้ประสิทธิภาพ สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

– กำหนดบุคลิกแบรนด์ว่าต้องการให้แบรนด์ของเรามีลักษณะอย่างไร เช่น สุภาพทางการ หรือ สนุกสนานเป็นกันเอง เป็นต้น

– คิดชุดคำตอบสำรองไว้สำหรับคำถามทั่วไป ที่ลูกค้ามักถามเข้ามาบ่อย เช่น หากลูกค้าถามเกี่ยวกับราคา ผู้ประกอบการควรมีชุดคำตอบสำหรับราคาเตรียมไว้ เพื่อการตอบได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำ

– ตอบแชทให้เร็วที่สุด จะทำให้ลูกค้าชื่นชอบ และผู้ประกอบการสามารถที่จะปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหากไม่สามารถตอบแชทได้ตลอด 24 ชั่วโมง ควรตั้งค่าการตอบแบบอัตโนมัติ ระบุเวลาทำการของร้าน ให้ลูกค้าได้ทราบไว้ล่วงหน้า

– ตอบคำถามให้ละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจและช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

– สุดท้ายการซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) จะอยู่คู่กับชาวออนไลน์ไปอีกนาน โดยเฉพาะกับคนยุคใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนและการแชท

ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักการตลาดควรเน้นการซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) ในธุรกิจตนเอง เพราะข้อดีมีมากทีเดียว ทั้งการเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้โดยไม่รู้ตัว

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ