เปิดสูตรสำเร็จ 3 SMEs ไทยในร้านเซเว่นฯ… เติบโตนานกว่าทศวรรษ

 

การสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจ SMEs ก็เปรียบเสมือนการสร้างความแข็งแรงทางเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมแข่งขันในตลาดโลก แต่ด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ SMEs ต้องเร่งปรับตัว เพื่อก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ หนึ่งในผู้นำที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SMEs มาตลอด จึงได้นำเรื่องราวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดของ 3 SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จสามารถสร้างยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าทศวรรษ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ต่อยอดธุรกิจสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน

 

เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม “ปุ้น&เปา” : เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ลดความผิดพลาด

นับเป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพและอยู่เคียงข้างเป็นบริษัทคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น มาโดยตลอด จนในวันนี้แบรนด์ “ปุ้น&เปา” ได้ถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการและยังคงเดินทางร่วมกับซีพี ออลล์ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภคทุกวัน

ชลกุล ชลกิจปทานผล หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.ชลกิจปทานผล เล่าย้อนความให้ฟังว่า เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม “ปุ้น&เปา” เป็นสินค้าตัวที่ 3 ที่บริษัทส่งขายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น จากเดิมเคยทำวุ้นกะทิและวุ้นน้ำมะพร้าวในน้ำเชื่อม แต่ด้วยความไม่แน่นอนในเรื่องของราคาวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าว จึงทำให้คุณพ่อมองหาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งก็คือ “เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม” โดยใช้แบรนด์ “ปุ้น&เปา” ในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบถ้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบการจำหน่ายสู่แบบถุงภายใต้แบรนด์ “บางช้าง” ในราคาเพียง 8-12 บาทเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างยอดขายสูงสุด 100,000 ถ้วยต่อวัน

“แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้เพียง 3 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมักสอนเสมอก็คือ เราจะต้องเป็น SME ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้นิยามใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเอง SME (Small Micro Enterprises) นั่นคือพยายามทำให้องค์กรเล็กที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อลดความผิดพลาดในส่วนต่างๆ เพราะการเป็นคู่ค้ากับซีพี ออลล์ สิ่งสำคัญคือเราต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้วันนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ถ้วยต่อวันในปี 2545 เป็น 120,000 ถ้วยต่อวัน ด้วยคนจำนวนเท่ากันคือ 15 คน” ชลกุล กล่าว

 

แม่ละมาย : แบ่งปันโอกาส ส่งต่อความยั่งยืน

คงไม่มีใครไม่รู้จัก หากเอ่ยถึงชื่อแบรนด์ “แม่ละมาย” เพราะมีสินค้าครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่นนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นส่งในเซเว่น อีเลฟเว่นเพียงแค่ 20 สาขา กระทั่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้ามากกว่า 10 ตัว อาทิ วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง,ลูกตาลลอยแก้ว,วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลักในน้ำใบเตย,เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง,น้ำขิงผสมวุ้นมะพร้าว,น้ำใบเตยผสมวุ้นมะพร้าว และยังมีสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, เต้าทึง ซึ่งได้สร้างยอดขายให้บริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

วีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ผลิตขนมหวานตรา “แม่ละมาย” เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ “แม่ละมาย” เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คือ การได้แบ่งปันโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเหล่าซัพพลายเออร์ ด้วยการมอบความรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องการเพาะปลูก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งต่อให้กับผู้บริโภค ตลอดจนรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในรูปแบบประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นวุ้นน้ำมะพร้าว,เม็ดแมงลัก,ลำไยอบแห้ง,ลูกตาล,สัปปะรด คิดเป็นปริมาณการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนคิดเป็นจำนวนเงินราว 12-14 ล้านบาทต่อปี

 

 

“การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องรู้จักแบ่งปันโอกาสการเติบโตให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของเรามองว่า เกษตรกร ถือเป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” วีระ กล่าว

นอกจากการให้โอกาสแล้ว ในฐานะที่เป็น SME สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ การพัฒนาตัวเองและสินค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำ แห้ว ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี มาใช้เป็นส่วนประกอบในวุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง และได้ทีม ซีพี ออลล์ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ให้มีความสวยงามทันสมัย สะดวกต่อการบริโภค รวมถึงมาตรฐานการผลิต เนื่องจากมองว่ายิ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ยิ่งต้องพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด

 

 

ขนมตาล EZY SWEET : ขนมไทย เน้นใช้เทคโนโลยี

อีกหนึ่ง SME ที่ต้องจับตามองเพราะเตรียมจะก้าวสู่ปีที่ 10 กับการเป็นคู่ค้าของเซเว่น อีเลฟเว่นอย่างบริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเติบโตจนเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ “แม่สุนีย์ ขนมไทย” ปัจจุบันได้ผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ให้กับ ซีพี ออลล์เนื่องจากเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดขนมไทยรวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้อย่างรอบด้านจากซีพี ออลล์ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และด้านการตลาด

ก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า จากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ แม่สุนีย์ ขนมไทย ทำให้บริษัทมีความคิดที่จะต่อยอดโอกาสไปสู่ขนมไทยประเภทอื่นๆ จึงได้ร่วมปรึกษากับซีพี ออลล์ ในการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ทดลองผลิตขนมตาล ภายใต้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ขนมตาลยังคงนุ่ม หอม น่ารับประทานเหมือนเพิ่งนึ่งมาใหม่ มีเนื้อสัมผัสและรสสัมผัสไม่เปลี่ยนแปลงแม้นำไปอุ่น โดยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี จนได้มาเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบริษัท สามารถผลิตได้ในปริมาณมากถึง 6,000 ชิ้นต่อวัน และมีอายุการเก็บรักษา (Shelf  Life) ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยจำหน่ายรูปแบบแพ็ค 4 ชิ้น ในราคาเพียง 25 บาท 

“การผลิตขนมไทยแบบเดิมๆ จะใช้ภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อช่วยยืดอายุขนมและรักษารสชาติให้คงเดิม สำหรับตัวขนมตาลถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะปัญหาคือเนื้อขนมจะแข็งหากทิ้งไว้นาน หรือแฉะเมื่อนำไปอุ่น ทำให้รสชาติเปลี่ยนได้ แต่จากการแนะนำด้านเทคโนโลยีของซีพี ออลล์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บวกกับวัตถุดิบตาลพันธุ์ดีที่เรารับซื้อจากเกษตรกร จ.เพชรบุรี ทำให้เมื่อออกวางจำหน่ายจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดถึงวันละประมาณ 10,000 ชิ้นต่อวัน จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทในสินค้าทุกประเภทที่วางจำหน่ายในปัจจุบันร่วม 9 รายการ ทั้งในส่วนของแบรนด์แม่สุนีย์ ขนมไทย และ EZY SWEET ที่มียอดขาย 650,000 ชิ้นต่อวัน การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือพันธมิตรและคู่คิดที่ดี” ก้องปพัฒน์ กล่าว

 

การเติบโตที่แข็งแกร่ง เกิดจากการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเอง โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

 


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ บริษัท อเกต คอมมิวนิเคชั่น จำกัด

คุณสาวิตรี เกลี้ยงเกิด (ก้อย) 092-292-4624, คุณตะวัน หวังเจริญวงศ์ (ปุ๊ย) 083 074 2230,

คุณดวงจันทร์ สอดสุข (บี) 085-059-5981   Email : agatepr@agatethai.com

สำนักบริหารการสื่อสารองค์กร บมจ.ซีพี ออลล์

คุณธนิกานต์ สงฤทธิ์ (เปิ้น) 096-164-2998 Email : thanikarnson@cpall.co.th

บทความแนะนำ

ส่อง 4 สินค้า SME ไทยหลากสไตล์ที่ชั้นวางสินค้าร้านเซเว่นฯ

 

ต้องยอมรับว่าตอนนี้มาตรฐานของสินค้า SME ไทย พัฒนาไปไกลมาก สินค้าหลายๆ ชิ้น ถ้าไม่บอกก็นึกว่าเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้า SME จาก 4 ราย ที่เราจะพาไปทำความรู้จักกันในวันนี้ ได้แก่ ข้าวโพดหวานพันธุ์ฮอกไกโด, บะหมี่ถ้วยร้อน, ต๊อกบกกี และน้ำส้มคั้นสด 100% ตรา ShinSen (ชินเซน) ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ต่างก็มีสไตล์และความโดดเด่น แปลกตาไม่เหมือนใคร ผ่านการพัฒนาจนมีมาตรฐานระดับพร้อมโกอินเตอร์

 

เริ่มกันที่ “ข้าวโพดหวานพันธุ์ฮอกไกโด” แม้ว่าชื่อจะเป็นญี่ปุ่น แต่ปลูกจากสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ไทยแท้ 100% รสชาติไม่แพ้แหล่งต้นกำเนิด ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นคือ ทานสดได้ ไม่ต้องนึ่งหรือต้ม ทานแล้วไม่อืดท้อง เนื่องจากมีปริมาณน้ำสูงถึง 75-80% และมีปริมาณแป้งเพียง 10-20% เท่านั้น เมล็ดโตแน่นเต็มฝัก เนื้อกรอบ รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมละมุนแบบธรรมชาติ มีให้ตามล่าได้ในเซเว่น กว่า 7,000 สาขาทั่วประเทศ และช่องทาง 7-Delivery

ศุภธนิศร์ ภูเวียงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเวียงเวจแอนด์ฟรุ๊ต จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าข้าวโพดหวานพันธุ์ฮอกไกโด กล่าวว่าข้าวโพดหวานพันธุ์ฮอกไกโดเริ่มวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี 2564 ด้วยยอดจัดส่งเพียง 4,000 ฝักต่อวัน ปัจจุบันยอดจัดส่งอยู่ที่ 8,000-9,000 ฝักต่อวัน ราคาขายอยู่ที่ 35 บาทต่อฝัก โดยมีซีพี ออลล์ เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลในเรื่องการรักษาและควบคุมคุณภาพสินค้าแพ็คเก็จจิ้ง

“สินค้า SME จะเติบโตได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องการควบคุมคุณภาพและการทำการตลาด หากสินค้าไม่มีคุณภาพ หรือคุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐานเดียวกัน ก็จะไม่เกิดการซื้อซ้ำ หรือทำการตลาดไม่ถูกวิธี ก็ไม่ก่อให้เกิดยอดขายใหม่ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาทั้ง 2 เรื่องนี้ได้ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”ศุภธนิศร์ กล่าว

ในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มประเภทสินค้า สู่ข้าวโพดหวาน 2 สี (ขาว-เหลือง) ข้าวโพดหวานแดงข้าวโพดหวาน 3 สี (แดง-เหลือง-ม่วง) พร้อมทั้งหาช่องทางขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีลูกค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศออสเตรเลียให้ความสนใจอย่างมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา

 

สินค้าลำดับถัดมาที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันคือ “ถ้วยร้อน” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อนเองได้ ไม่ต้องต้ม ไม่ต้องเวฟ แค่เติมน้ำเปล่า เจ้าแรกในประเทศไทย ที่เติบโตในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว และมาพร้อมกับหลากหลายรสชาติทั้งสไตล์ไทยและจีน อาทิ หม่าล่า แจ่วฮ้อนแซ่บ ชาบูน้ำดำ แต่ด้วยตัวสินค้าที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดของสินค้ากระแสมาไวไปไว ไม่สามารถสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนได้ กิตติพงษ์ สุขเคหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท เบสท์ ฟู๊ด จำกัด เจ้าของแบรนด์ “ถ้วยร้อน” จึงตัดสินใจนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น

“การได้เข้ามาจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ทำให้เราได้ทราบความต้องการซื้อจริงของตลาด วันนี้เรามียอดขายจากเซเว่น อีเลฟเว่น อยู่ที่ประมาณกว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปลายเดือน ก.ค.นี้คาดว่าจะมีสินค้าเพิ่มอีก 1 รสชาติ และจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองอย่างต่อเนื่อง” กิตติพงษ์ กล่าว

 

อีกหนึ่งสินค้าดาวเด่นที่ฮิตติดกระแสรีวิวคือ “ต๊อกบกกี” ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัท แฮปปี้เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด โดยสินค้าไฮไลท์ก็คือ “ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส” ที่ไม่ว่าใครได้ลองลิ้มชิมรส ก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รสชาติเหมือนนั่งทานที่เกาหลีเลยทีเดียว เพราะไส้กรอกสูตรเฉพาะที่ผสมผสานกับเส้นต๊อกบกกีเนื้อนุ่ม หนึบ นำเข้าจากประเทศเกาหลี ราดด้วยซอสเกาหลีเข้มข้น มอสซาเรลล่าชีสเกรดพรีเมี่ยมมาจากอังกฤษ มีขายในราคาเพียง 39 บาท เท่านั้น รัชดา บุญ-หลง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากกระแสความนิยมของคนไทยต่ออาหารเกาหลีที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหารอยู่แล้ว มีแนวคิดที่จะผลิตอาหารเกาหลีออกจำหน่าย จึงเข้าไปขอรับคำปรึกษากับทางซีพี ออลล์และร่วมกันพัฒนา จนได้มาเป็น “ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส” และสินค้าอื่นๆ อาทิ ต๊อกบกกีฮอตซอส ,ไส้กรอก ต๊อกบอกกีชีส สูตรเผ็ดX3 , ไก่ซอสบลูดักชีส แฮปปี้เชฟ ตลอดจนยังช่วยโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรวมสินค้าในกลุ่มนี้จากเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15,000 -25,000 ซองต่อวัน สามารถตามล่าได้ทั้งที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ และช่องทาง 7-Delivery

 

นอกจากสินค้าในกลุ่มอาหารแล้ว สินค้าประเภทเครื่องดื่มอย่าง น้ำส้มคั้นสด 100% ตรา ShinSen (ชินเซน) น้ำส้มพาสเจอร์ไรส์รายแรกของประเทศที่ได้รับเครื่องหมาย อย. เป็นอีกหนึ่งแรร์ไอเท็มห้ามพลาด เรียกว่าวางปุ๊บหมดปั๊บ ยุทธ จึงสวนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูชิ เอฟ แอนด์ บี จำกัด ผู้ผลิตน้ำส้มคั้นสด 100% ตรา ShinSen กล่าวว่า จุดเด่นของ ShinSen คืออายุ shelf life นานถึง 2 สัปดาห์ ไม่ใส่วัตุกันเสีย แต่ยังสามารถคงรสชาติเดิมได้ไม่เปลี่ยนแปลง ในราคาขวดละ 39 บาท ซึ่งหลายคนมองว่ามีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับน้ำสัมคั้นทั่วไป ทางซีพี ออลล์ จึงเข้ามาให้การสนับสนุนและให้ความรู้ด้านการตลาดทำให้สินค้ามียอดขายมากกว่า 10,000 ขวดต่อวัน แม้จะอยู่ในภาวะโควิด-19 ก็ตาม

 

ความมุ่งมั่นในการพัฒนามาตรฐานอย่างต่อเนื่องของสินค้าเอสเอ็มอีไทย ประกอบกับการมีพี่เลี้ยงที่คอยให้สนับสนุนอย่างซีพี ออลล์ นับเป็นเรื่องที่ดีและเรื่องน่าส่งเสริม ใครอยากอุดหนุน 4 สินค้าเก๋ๆ หลากสไตล์ รวมถึงอุดหนุนสินค้าเอสเอ็มอีอื่นๆ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยยังคงมีรายได้อย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 ก็เตรียมไปตามหากันที่เซเว่นได้เลย หรือจะสั่งสินค้าผ่าน 7-Delivery ในแอป 7-Eleven เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงนี้ก็ได้เช่นกัน

 


 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ บริษัท อเกต คอมมิวนิเคชั่น จำกัด  หรือ สำนักบริหารการสื่อสารองค์กร บมจ.ซีพี ออลล์

คุณจิรากุล เขียวพะวงศ์ (ตาล) 093 942 9442                                     คุณธนิกานต์ สงฤทธิ์ (เปิ้น) 096 164 2998

คุณสาวิตรี เกลี้ยงเกิด (ก้อย) 092 292 4624

คุณทิพย์รัตน์ พรหมอินทร์ (แป้ง) 094 559 6536

Email: agatepr@agatethai.com

 

 

บทความแนะนำ

เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกไทย ส่วนอัตราเงินเฟ้อโลกที่เร่งตัวขึ้นนั้น คาดว่าจะปรับชะลอลงในระยะข้างหน้า

 

· เศรษฐกิจโลกโดยรวมฟื้นตัวได้แข็งแกร่งแต่ไม่เท่าเทียม โดยยังคงมีความแตกต่างกันในรายประเทศและภาคส่วนขึ้นอยู่กับอัตราการฉีดวัคซีนรวมทั้งขนาดและประสิทธิภาพของมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ โดยกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและจีนจะฟื้นตัวได้ดีกว่ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) อื่น ๆ

 

· ภาคการผลิตโลกในภาพรวมฟื้นตัวได้ดี โดยได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ (pent-up demand) และเงินออมส่วนเกิน (excess savings) ที่ปรับสูงขึ้นหลังจากการปิดเมืองมานาน อีกทั้ง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ผลิตที่ปรับดีขึ้นตามความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน รวมถึงการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงวิกฤติ COVID-19 อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดที่รุนแรงและยืดเยื้อในบางกลุ่มประเทศ ส่งผลให้ภาคการผลิตในเดือนพฤษภาคมเริ่มขยายตัวชะลอลงบ้าง จึงจำเป็นต้องจับตามองสัญญาณของ supply chain disruption ต่อภาคการผลิตในระยะต่อไป

 

· นอกจากนี้ ดัชนี PMI โลกรายอุตสาหกรรมยังบ่งชี้ว่า กลุ่มสินค้าคงทนโดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ดีกว่ากลุ่มสินค้าอื่น ตามอุปสงค์ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เพิ่มขึ้นภายใต้ความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น อีกทั้ง การบริการที่ยังมีจำกัด ทำให้ประชาชนหันมาบริโภคสินค้าคงทนมากขึ้น ประกอบกับที่ผ่านมาความกังวลต่อโรคระบาดทำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและมีความต้องการสินค้าเพื่อการทำงานที่บ้าน (work-from-home) และการเรียนออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้สินค้ากลุ่มเหล่านี้ฟื้นตัวได้ดีกว่าสินค้ากลุ่มอื่น ๆ

 

· สำหรับภาคบริการในภาพรวมยังคงฟื้นตัวช้ากว่าจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่า ภาคบริการจะมีบทบาทในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น จากการแจกจ่ายวัคซีนที่มีความคืบหน้าทำให้มีการเปิดเมืองเป็นวงกว้างมากขึ้นโดยเริ่มจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วก่อน

 

· การกลับมาระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ไม่ส่งผลต่อแนวโน้มการค้าโลกโดยรวมนัก โดยการส่งออกของหลาย ๆ ประเทศรวมถึงไทยยังคงขยายตัวได้ดี ทั้งนี้พบว่าภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีนและสหรัฐฯ สามารถขยายตัวได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น สำหรับภาคการส่งออกไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิมเช่นกัน โดยล่าสุด EIC ปรับประมาณการขึ้นมาอยู่ที่ 15.0%YOY ในปี 2021 จากประมาณการเดิมที่ 8.6%YOY

 

· ในช่วงที่ผ่านมาอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่อุปทานบางกลุ่มยังคงมีข้อจำกัดในการผลิต ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้นเร็ว นอกจากนี้ การขยายตัวต่อเนื่องของตลาดที่อยู่อาศัยโลกในช่วงไตรมาสที่ผ่านมายังส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น ด้านตลาดแรงงานในบางประเทศก็ปรับตึงตัวขึ้นเนื่องจากกำลังแรงงานบางส่วนยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานเต็มที่ ทำให้อัตราค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศจึงปรับสูงขึ้นเร็ว

 

· ในช่วงครึ่งหลังของปี คาดว่าแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ต่อสินค้าบางชนิด เช่น medical supply จะทยอยลดลงตามการฉีดวัคซีนที่คืบหน้า ประกอบกับการขยายตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางกลุ่มอาจปรับชะลอลงหลังจากอุปทานในระยะถัดไปจะเริ่มปรับขึ้นตามราคา ด้านแรงกดดันค่าจ้างจะลดลงหลังแรงงานกลับเข้าตลาดมากขึ้น ขณะที่ Base Effect จากฐานที่ต่ำก็จะเริ่มลดลงในช่วงปลายปี 2021

· อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นเร็วในหลาย ๆ ประเทศ ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางหลักได้เข้าดูแลภาวะการเงินผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ EIC คาดว่า ธนาคารกลางหลักจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีหน้า อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีโอกาสที่ Fed จะส่งสัญญาณชะลอการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (ลดการทำ QE) และเริ่มลดปริมาณการเข้าซื้อในช่วงต้นปีหน้า ส่วน ECB มีโอกาสที่จะปรับลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินผ่านโครงการ PEPP ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

 

มาเตรียมความพร้อมธุรกิจ ลดต้นทุนการเงิน เพิ่มโอกาสนำเข้า-ส่งออก ด้วย SCB Global Solution คลิก! https://bit.ly/3k9TV4D

 

บทความแนะนำ

19 หน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม

 

ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมและต่อยอดการพัฒนาเพื่อการขยายธุรกิจสู่สากล (SME SCALE UP) ปี 2564 สสว. มีการประสานกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน 19 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5 ด้าน เพื่อส่งเสริม SMEs ให้ได้รับการต่อยอดการพัฒนาโดยการนำงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ไปต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสากล และการขยายธุรกิจในอนาคต

 

ผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการกับหน่วยงานเครือข่ายข้างต้น สามารถดูรายละเอียดบริการและเงื่อนไขรวมทั้งสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก สสว. ได้ตามลิ้งด้านล่างนี้

#คลิก https://1drv.ms/u/s!ArAkyDFJf8I-mxcGgL18HJsrR_9P?e=DxRaIe

 

 

โครงการส่งเสริมและต่อยอดการพัฒนาเพื่อการขยายธุรกิจสู่สากล (SME SCALE UP) ประจำปี 2564

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการนำงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจในการแข่งขัน  ภายใต้โครงการ “โครงการส่งเสริมและต่อยอดการพัฒนาเพื่อการขยายธุรกิจสู่สากล (SME SCALE UP) ประจำปี 2564” ให้ได้รับการต่อยอดการพัฒนาโดยการนำงานวิจัย หรือเทคโนโลยี หรือนวัตกรรม หรือแนวทางการพัฒนาต่าง ๆ ที่ได้รับการยอมรับ  ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย ในการแข่งขันในตลาดสากล และเพื่อการขยายธุรกิจในอนาคต  อีกทั้งเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Collaboration Networking) ระหว่างหน่วยงานวิจัยภาครัฐ สถาบันการศึกษา สถาบันเฉพาะทาง และภาคเอกชน ในการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม หรือแนวทางการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่เชิงพาณิชย์

 

หน่วยงานดำเนินงาน

สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED)

  1. นพวรรณ จันทมาศ โทรศัพท์ 02-1054778 ต่อ 3003 มือถือ 089 1555965 E mail : smescaleup2021@gmail.com
  2. ธีรโชติ ไหลสกุล โทรศัพท์ 02-1054778 ต่อ 3012 มือถือ  082-450-2626  E mail : smescaleup2021@gmail.com
  3. วรรณภาพร พรมลาย โทรศัพท์  02-1054778 ต่อ 3000 มือถือ 082-450-2619 E mail smescaleup2021@gmail

 

 

บทความแนะนำ

Novel Food อาหารนวัตกรรมใหม่ โอกาสทองของเอสเอ็มอีไทย

 

Novel Food หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า ‘อาหารใหม่’ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักและยอมรับในสังคมโลกมากขึ้น แล้วอาหารใหม่คืออะไร? กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความหมายของอาหารใหม่ไว้ 3 ข้อ คือ

  1. อาหารใหม่ หมายถึง อาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร ที่ปรากฏหลักฐานทางวิชาการ ว่ามีประวัติการบริโภคเป็นอาหารน้อยกว่า 15 ปี
  2. อาหารใหม่ หมายถึง อาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร ที่ได้จากกระบวนการผลิตที่มิใช่กระบวนการผลิตโดยทั่วไปของอาหารนั้น ๆ ที่ทำให้ส่วนประกอบ โครงสร้างของอาหาร รูปแบบของอาหารนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อคุณค่าทางโภชนาการ กระบวนการทางเคมีภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต หรือระดับของสารที่ไม่พึงประสงค์
  3. อาหารใหม่ หมายถึง ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวัตถุตามข้อ 1) และ ข้อ 2) เป็นส่วนประกอบ

 

อธิบายแบบให้เข้าใจง่าย ๆ Novel Food ก็คือ 

  • เป็นอาหารชนิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการผลิต
  • เป็นอาหารพื้นเมืองแปลก ๆ ที่ไม่เคยถูกนำมาเป็นอาหารมาก่อน 
  • ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มเท่านั้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนใกล้ตัวเรา เช่น แมลง รถด่วน (หนอน) ตั๊กแตน จิ้งหรีด ที่กลายเป็นแหล่งอาหารใหม่ นอกจากนี้ก็มีตัวอย่างเช่น เค้กจากแป้งข้าวจ้าว ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะปกติเค้กจะทำจากแป้งสาลี หรือสินค้าประเภทน้ำพริกกะปิผงซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อความสะดวก หรือส้มตำอบแห้ง

 

สนใจขอขึ้นทะเบียนเป็นอาหารใหม่ทำไรอย่างไร

ธุรกิจอาหารใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะผลิตส่งออกหรือจะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ แต่เนื่องจากอาหารประเภทนี้เป็นของใหม่จึงยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการบริโภค จึงจำเป็นจะต้องผ่านการประเมินในด้านต่าง ๆ ก่อนและต้องส่งมอบฉลากให้ ‘สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา’ อนุมัติก่อนนำไปใช้ โดยการประเมินความปลอดภัยนั้น ต้องยื่นผลการประเมินความปลอดภัยจากหน่วยงานที่อย.ให้การยอมรับ และหลักฐานอื่น ๆ เช่น

  • ประวัติการใช้เป็นอาหาร 
  • ข้อมูลความปลอดภัย 
  • ข้อมูลคุณภาพหรือมาตรฐาน 
  • ผลการตรวจวิเคราะห์ 
  • วิธีการบริโภคหรือคำแนะนำการบริโภค ซึ่งประกอบด้วยหลักฐานทางพิษวิทยาในสัตว์ทดลองหรือในมนุษย์ 
  • ข้อมูลด้านโภชนาการ 
  • รายงานผลการพิจารณาความปลอดภัยจากหน่วยงานสากลหรือต่างประเทศ
  • ข้อมูลการอนุญาตให้จำหน่ายเป็นอาหารในต่างประเทศ
  • อื่น ๆ

 

สำหรับหน่วยประเมินความปลอดภัยของอาหารใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้การยอมรับ มี 3 หน่วยงาน คือ  

1) สำนักงานคุณภาพและ ความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

2) สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม

3) ศูนย์ประเมินความเสี่ยงประเทศไทย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า Novel Food เป็นเมกะเทรนด์อาหารที่น่าสนใจอย่างไร และมิติด้านความยั่งยืนของอาหารสอดคล้องกันอย่างไร ในปัจจุบันเริ่มบริโภคแมลงทดแทนโปรตีนในรูปแบบปกติ แมลงสามารถเพาะเลี้ยงได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ น้อยกว่าการทำปศุสัตว์ในรูปแบบปกติ แถมแมลงยังสามารถเพาะเลี้ยงไปเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้จึงสอดรับกับเมกะเทรนด์ด้านอาหารยั่งยืน

ขณะที่อาหารใหม่อื่น ๆ เช่น สาหร่าย เห็ดรา วัตถุดิบท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ใช้ต้นทุนน้อย ก็ถือเป็นโอกาสในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยมีพื้นฐานด้านชีวภาพที่มีความหลากหลาย ก็มีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดในด้านนี้ได้อีกมาก

 


 

หัวข้อ : Novel Food โอกาสอุตสาหกรรมอาหาร
อ่านเพิ่มเติม : www.bangkokbanksme.com/en/novel-food-industry และ www.bangkokbanksme.com/en/novel-food-innovation-world-food-trend

 

Published on 19 July 2021
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ