เจ๊เตียงข้าวเหนียวมะม่วง ต่อยอดกิจการครอบครัวอย่างไรให้กลายเป็นจุดเปลี่ยน

ต่อยอดกิจการครอบครัวอย่างไรให้กลายเป็นจุดเปลี่ยน

เคยสังเกตไหมว่ากิจการครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่เราเห็นๆ กัน เปิดมา 50-60 ปี เปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่นแล้วก็ยังดำเนินธุรกิจกันแบบเดิมๆ ด้วยความเคยชิน แล้วก็อยู่กันแบบนั้น ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนต้นไม้ที่แคระแกรน รอวันร่วงโรยไปตามกาลเวลา

ในทางกลับกัน เราจะเห็นว่ากิจการครอบครัวที่เติบโตงอกเงยแผ่กิ่งก้านสาขาจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ปัจจัยสำคัญมาจากการสร้างจุดเปลี่ยนให้กับธุรกิจ โดยอาศัยความได้เปรียบจากการวางฐานธุรกิจจากรุ่นพ่อ เสมือนระบบรากใต้ดินที่แข็งแรง มาต่อยอดในช่วงเปลี่ยนผ่านของรุ่นลูก โดยนำเอาโนว์ฮาวความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

เหมือนอย่าง คุณสุภลัคน์ พูลเสถียร หรือนุ่น ทายาทรุ่นที่ 3 ของ “ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียง” ที่ทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงที่บุกเบิกมาจากรุ่นปู่ในจังหวัดชุมพรเมื่อ 40 ปีก่อน มาไกลกว่าเดิมในฐานะข้าวเหนียวมะม่วงที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ 

จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มาจาก “ความตั้งใจ” ที่อยากจะยกระดับให้ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงในรุ่นพ่อที่ขายตามตลาดนัด ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ด้วยการเข้าสู่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีตั้งแต่ปี 2558 โดยในตอนแรกนั้นยังไม่มีสาขาหน้าร้าน 

คุณนุ่นรู้ดีว่า การเป็นข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกขายในช่องทางดังกล่าว จำเป็นต้องหารูปแบบการขายที่เหมาะกับการสั่ง และการจัดส่ง ซึ่งประสบการณ์การตระเวนขายข้าวเหนียวมูล และปอกมะม่วงขายด้วยตัวเองตามตลาดนัดออฟฟิศทั่วกรุงเทพฯ ทำให้คุณนุ่น มองเห็นพฤติกรรมลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองว่าชอบหรือไม่ชอบมีอะไร นิยมปริมาณการกินแบบไหน นั่นจึงเป็นที่มาของการออกแบบเซ็ตของข้าวเหนียวมะม่วงออกเป็นไซส์ เป็นเจ้าแรกของตลาด โดยแบ่งออกเป็น 3 ไซส์ S M L ตามประเภทของลูกค้า

S ข้าวเหนียว 1 ขีด มะม่วงครึ่งลูก ราคา 50 บาท จับกลุ่มผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียว หรืออยู่ในออฟฟิศต้องการกินมะม่วง แต่กลัวอ้วน   

M ข้าวเหนียว 2 ขีด มะม่วง 1 ลูก ราคา  80 บาท จับกลุ่มลูกค้าทั่วไปจำนวน 1-2 คน

L ข้าวเหนียว 4 ขีด มะม่วง 2 ลูก ราคา 150 บาท จับกลุ่มครอบครัว

ในเวลาเดียวกัน ก็ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า พร้อมสร้างคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยในช่วงแรกจะแนะนำว่าแต่ละไซส์เหมาะกับการกินแบบไหน หรือเหมาะกับใคร เรียกได้ว่าเป็นการ Educate ตลาดเพื่อให้ลูกค้าสั่งซื้อได้อย่างเหมาะสม และชี้ให้เห็นถึงความสะดวกสบาย สั่งซื้อได้จากบ้านหรือออฟฟิศได้เลย 

ปรากฏว่าไซส์ S เป็นไซส์ที่ขายดีที่สุด เพราะนอกจากจะรองรับกลุ่มลูกค้าคนเดียวแล้ว ยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่นำไปจัดอาหารว่างในงานประชุมสัมมนา งานเลี้ยง หรือถวายพระ

ไม่เพียงเท่านั้น คุณนุ่นยังมองหา “ความแตกต่าง” ให้กับธุรกิจของเธอต่อไป ด้วยการใช้แพ็กเกจจิ้งกระดาษ เจาะกลุ่มตลาดที่ให้ความสำคัญกับโลกร้อน หากลูกค้าสั่งในปริมาณมากก็ยิ่งมีส่วนช่วยลดการใช้พลาสติก

แต่ลำพังแค่ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นเซ็ต S M L และกล่องรักษ์โลกคงไม่สามารถเรียกความสนใจจากลูกค้าได้มากพอ ต่อมาไม่นาน จุดเปลี่ยนของกิจการครอบครัวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากสายท่องเที่ยวและโรงแรม นำมาต่อยอดจนสร้างความแตกต่างให้กับข้าวเหนียวมะม่วงทั่วไป ด้วยการการแกะสลักมะม่วงให้กลายเป็นโปรดักท์ใหม่ “เค้กข้าวเหนียวมะม่วง” เป็นเจ้าแรกของตลาด และกลายเป็นแบรนด์ที่โด่งดังมากในโลกโซเชียล 

เพราะเค้กข้าวเหนียวมะม่วงเป็นการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ซื้อไปจัดงานเลี้ยง และด้วยรูปลักษณ์ของสินค้าที่ใช้ข้าวเหนียวมูลรองเป็นฐานเหมือนเค้กก้อนกลมๆ และมีมะม่วงรูปดอกกุหลาบอยู่ข้างบน ความแปลกใหม่ดังกล่าวทำให้ลูกค้านำไปโพสต์ลงโซเชียล และส่งผลให้แบรนด์ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม

และปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เค้กมะม่วงของข้าวเหนียวเจ๊เตียงแจ้งเกิดตลาดได้อย่างรวดเร็ว มาจากการตั้งราคาที่ไม่แตกต่างจากเค้กขนมปังทั่วไป นั่นคือ 1 ปอนด์ 350 บาท 2 ปอนด์ 450 บาท และ 3 ปอนด์ 580 บาท

เสียงตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้คุณนุ่นตัดสินใจเปิดร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงในย่านสุทธิสาร ต่อมาได้ขยายสาขาเพิ่มเติมในย่านรังสิต และในปี 2564 คุณนุ่น มีแผนที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ โดยในปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเซ็ตระบบเพื่อรักษามาตรฐานข้าวเหนียวเจ๊เตียงให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกับสาขาใหญ่


มาถึงอีกตัวอย่างหนึ่ง “ร้านแม่นงนุช” ซึ่งเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงเหมือนกัน และสามารถต่อยอดกิจการครอบครัวให้เติบโตขึ้นได้เช่นเดียวกัน
โดยชูจุดขายความเป็นสินค้าโฮมเมดจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายมาเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังของหัวหิน ที่ใครมาเยือนต้องแวะเช็คอินทุกครั้ง โดยมีคุณอัจนิริยา ศิลปะสุนทร์ ซึ่งผันตัวเองจากงานพีอาร์ ออแกไนซ์มาสานต่อกิจการของคุณย่าเป็นเจ้าของกิจการร้านแม่นงนุชในรุ่นที่ 3

คุณอัจนิริยา กล่าวว่าวิธีที่จะต่อยอดกิจการครอบครัวให้เติบโตมากกว่าเดิมได้นั้น เธอเริ่มต้นจากการรักษาคุณภาพความอร่อยให้ได้ก่อน เพื่อให้ลูกค้ายอมรับว่าแม้จะเปลี่ยนมือมาสู่ทายาทรุ่นใหม่แล้ว แต่รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นบุกเบิก ถือเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีกับแบรนด์ เป็นจุดตั้งต้นให้ธุรกิจต่อยอดไปทำอะไรอื่นได้อีกมากมายในอนาคต โดยต่อมาได้ขยายโปรดักท์ขนมหวานอื่นๆ และอาหารคาว อาทิ น้ำพริกมะยม น้ำพริกมะขามสด ม้าฮ่อ และข้าวตัง เป็นต้น

สิ่งที่ทำให้ร้านแม่นงนุชสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่องนั้น การทำตลาดก็เป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ โดยในระยะแรกคุณอัจนิริยา นำประสบการณ์ด้านการทำพีอาร์มาสร้างแบรนด์ร้านแม่นงนุช ด้วยการเปลี่ยนถุง จากเดิมเป็นถุงกระดาษสีชมพูที่ใช้ใส่ขนมหม้อแกง มาเป็นถุงสีน้ำตาล พร้อมเปลี่ยนโลโก้ตัวอักษรแม่นงนุชให้เป็นฟ้อนท์ลายมือเพื่อสะท้อนความเป็นสินค้าโฮมเมด ต่อมาได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับลูกค้า นอกจากแนะนำเมนูต่างๆ แล้วยังสร้างคอนเทนต์ที่บ่งบอกถึงสตอรีของร้านแม่นงนุชว่าเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วง 80 ปีในตำนานคู่เมืองหัวหิน

การรักษามาตรฐานด้านรสชาติและความอร่อยจนกลายเป็นร้านขนมในตำนานของหัวหินนี่เอง ทำให้ในระยะหลังมานี้มีพันธมิตรหลายรายอย่างดีแทค และแสนสิริ เข้ามาร่วมทำกิจกรรมการตลาดกับร้านแม่นงนุช เท่ากับเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างออกไปจากเดิม

แต่จำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นนั้น คุณอัจนิริยา กล่าวว่ายังไม่มีแผนเพิ่มสาขา เพราะต้องการให้ร้านแม่นงนุชแห่งนี้ยังคงเป็นร้านโฮมเมดต่อไป 

อย่างไรก็ดี ในฐานะทายาทรุ่น 3 ของร้านแม่นงนุช ทิ้งท้ายว่าการสานต่อกิจการครอบครัวนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็สามารถสร้างจุดเปลี่ยนให้เติบโตได้ หากทายาทรุ่นปัจจุบันหาจุดแข็งของคนรุ่นก่อนให้เจอแล้วนำมารักษาให้ได้ตามมาตรฐานเดิม จากนั้นพยายามหาอะไรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปในธุรกิจ อย่าหยุดพัฒนาสิ่งที่ดีให้ดีขึ้นไป ก็จะทำให้กิจการขยายตัวต่อไปได้ไม่ยาก 

 

 

Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

ศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ

"มาตรวิทยา" เสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วยการวัด

"มาตรวิทยา" เสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วยการวัด

มาตรวิทยา เป็นเรื่องของการวัดและการกำหนดมาตรฐานการวัด โดยประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ทุกแขนงเพื่อให้สามารถทำการวัดได้อย่างแม่นยำ และถูกต้อง นอกจากนี้ยังสามารถประเมินค่าความไม่แน่นอนของการวัด ส่งผลให้ผลการวัดเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ผลการวัดเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ

ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและ นวัตกรรมในการยกระดับธุรกิจ
1) วิจัย/พัฒนานวัตกรรมการวัด เครื่องมือวัด มาตรฐานอ้างอิง และซอฟท์แวร์ ที่เหมาะสม และจำเพาะกับธุรกิจท่าน
2) ให้คำปรึกษา ข้อแนะนำ เพื่อการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการวัด ให้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
3) ศูนย์เครื่องมือวัดขั้นสูงเพื่อการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เพื่อรับรองลักษณะเฉพาะ ติดต่อขอใช้บริการได้ที่ https://forms.gle/mo2ztxCoYBkYPnuS8
4) ให้คำปรึกษา ข้อแนะนำ เพื่อการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยีมาตรวิทยา
5) ประเมินความคุ้มค่า และให้คำแนะนำในการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการ

อ่านเพิ่มเติม : http://smes.nimt.or.th/

Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

5 เทคนิคกระตุ้นลูกค้าให้รีวิวสินค้า

หัวข้อ : Customer Journey สร้างจับจุดจับใจ ให้ลูกค้ายอมจ่าย
อ่านเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/k-sme-inspired/Inspired/Inspired-Aug-2018.aspx

 

 

การรีวิวสินค้า หมายถึง คำชมสั้น ๆ แต่มีคุณค่าจากลูกค้าที่เขียนถึงประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เป็นคำชมที่มาจากลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปใช้ ต่อให้คุณจะตะโกนว่าของคุณดีแค่ไหน ก็ดังไม่เท่าเสียงกระซิบว่า “แย่” ที่ลูกค้าบอกกันเอง ในทางตรงข้ามแค่ลูกค้ากระซิบกันเองว่า “เยี่ยม” ยอดขายของคุณก็เพิ่มขึ้นได้ 

ในเชิงจิตวิทยา เมื่อนักชอปได้อ่านหรือเห็นรีวิวจากลูกค้า “ตัวจริง” ที่ซื้อสินค้าไปใช้จากบนเว็บไซต์ของคุณ พวกเขารู้สึกว่า เขาสามารถไว้ใจแบรนด์ของคุณได้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการขายพื้นฐานที่ว่า “เมื่อผู้คนชอบคุณ เขาจะคุยกับคุณ และเมื่อเขาเชื่อคุณ เขาจะซื้อของคุณ” 

รายงานวิจัยทางการตลาดส่วนใหญ่ยังให้ผลลัพธ์ตรงกันว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อจากรีวิวที่พวกเขาอ่าน  ถ้าธุรกิจออนไลน์ของคุณได้รับ รีวิวเชิงบวกจากลูกค้า = ยอดขายที่เพิ่มขึ้น ประเด็นคือ ทำอย่างไรถึงจะได้รีวิวดี ๆ จากลูกค้า? เพราะนั่นหมายถึง การทำให้ลูกค้าลุกขึ้นมาช่วยทำการตลาดให้กับธุรกิจ

 

1. ขอให้ลูกค้าช่วยรีวิวผลิตภัณฑ์ของคุณ

การขอลูกค้าตรง ๆ ให้ช่วยแสดงความคิดเห็นต่อผลิตภัณฑ์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการที่จะได้รีวิว ซึ่งข้อมูลระบุว่า 70% ของลูกค้าจะให้รีวิวเมื่อได้รับการร้องขอ

  • ขอร้องลูกค้าอย่างจริงใจว่า “รีวิวของคุณลูกค้าสำคัญมาก ขอบคุณค่ะ” พวกเขาจะเข้าใจ และหากพวกเขาพอใจในคุณภาพสินค้าของเรา มีโอกาสที่เขาจะช่วยรีวิวให้คุณ
  • ควรร้องขอรีวิวหลังจากลูกค้าได้รับสินค้าทิ้งระยะเวลาไม่นานนัก เพราะหากคุณร้องขอช้าไป เช่น 1 เดือนไปแล้ว ลูกค้าอาจจะไม่ตื่นเต้นกับสินค้าของคุณเหมือนวันแรก ๆ (ขึ้นอยู่กับสินค้า เช่น ใช้ให้ผลเร็วแค่ไหน) 
  • อาจกระตุ้นให้พวกเขาให้รีวิวเร็วขึ้นได้ด้วยของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ส่วนลดในการซื้อครั้งหน้า เป็นต้น

 

2. เพิ่มภาพรีวิวสินค้าจากลูกค้า

ภาพถ่ายจากลูกค้าที่กำลังมีความสุขกับการใช้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าทางการตลาดมาก

  • หากลูกค้าโพสต์ภาพกำลังใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณบนโซเชียลมีเดีย ให้คุณรีบติดต่อพวกเขา และขออนุญาตนำภาพของเขาไปใช้บนช่องทางโซเชียลมีเดียของคุณทันที มันเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด 
  • แนะนำให้ลองค้นหาและรวบรวมคอนเทนต์ หรือภาพที่มีการพูดถึงผลิตภัณฑ์ของเราบนอินสตาแกรม แล้วขออนุญาตจากเจ้าของเพื่อขอใช้ภาพนั้น เป็นวิธีที่น่าสนใจและได้ผลมาก

 

3. เสนอให้ตัวอย่างไปใช้ฟรี ๆ

เริ่มต้นด้วยการระบุกลุ่มเป้าหมายที่สนใจอยากใช้สินค้ามาก แล้วร้องขอให้พวกเขาถ่ายรูปคู่กับสินค้า พร้อมรีวิว และอย่าลืมที่จะทำการวิจัยตลาดจากผู้ใช้กลุ่มนี้ด้วย เช่น 

  • ถามพวกเขาว่า ชอบไหม รู้สึกอย่างไร 
  • มีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้พวกเขาไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ของเรา 
  • พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันนี้ บ้างหรือไม่?

คำตอบที่ได้จะช่วยให้คุณสามารถนำไปใช้ปรับแต่งหน้าร้านออนไลน์ ตลอดจนโพสต์เฟซบุ๊กที่ช่วยให้ปิดการขายได้มากขึ้นอีกด้วย

 

4. อย่าสร้างรีวิวปลอม

การเขียนรีวิวปลอมเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด ซึ่งต้องขอย้ำว่า มันดูแย่มากและส่งผลกระทบร้ายแรงกับแบรนด์ อีกทั้งยังทำให้ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลดลง หรืออาจจะหายไปพร้อมกับยอดขาย ซ้ำร้ายคือ ธุรกิจอาจไปไม่รอดกันเลยทีเดียว เชื่อว่าพวกเราเองก็สังเกตเห็นอยู่ว่า อันไหนเป็นรีวิวปลอม แต่บ่อยครั้งที่ลูกค้าไม่ทันสังเกตเห็น

 

5. ทำให้การให้รีวิวเป็นเรื่องง่ายที่สุด

ระบบอี-คอมเมิร์ซของคุณควรจะสามารถส่งอีเมลอัตโนมัติ เพื่อขอคอมเมนต์ และถ้าจะให้ง่ายขึ้นไปอีก ควรให้ลูกค้าสามารถคอมเมนต์ผ่านการตอบอีเมลได้เลย (ไม่ต้องคลิกลิงก์มากรอกบนเว็บ) หรือการให้ลูกค้าสามารถอัปโหลดรูปภาพที่รีวิวได้โดยง่าย ดังนั้น การทำระบบให้ลูกค้ารีวิวได้ง่ายเป็นการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม


Published on 28 August 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

ตลาดกลุ่มผู้สูงอายุ ที่เอสเอ็มอีควรจับตามอง

หัวข้อ : Aging Society กับวิถี New Normal
อ่านเพิ่มเติม :https://www.bangkokbanksme.com/en/aging-society-and-the-new-normal

 

 

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของคนทั่วโลกและคนไทยจะเปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิงจนกลายเป็น New Normal หรือ ชีวิตวิถีใหม่ ในทุกด้านของการดำรงชีวิต โดยเฉพาะสังคมกลุ่มผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดมากที่สุด

การเว้นว่างระยะห่างทางสังคมทำให้กลุ่มผู้สูงวัยต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น จากวิถีชีวิตเดิมต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านพบปะเพื่อนฝูงในกลุ่มวัยเดียวกันเพื่อคลายความเหงา แต่หลังจากนี้ความตระหนักด้านสุขอนามัยสำคัญมากขึ้น ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิม

อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจนแทบขาดไม่ได้ ทุกอย่างจะทำงานผ่านระบบดิจิทัลทั้งหมด ทั้งการจ่าย การโอน หรือ การทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องปกติแทนที่การใช้เงินสด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุแต่เดิมถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่องช้าในการเข้าถึงเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันภายหลังล็อกดาวน์กลับปรากฏว่าผู้สูงอายุในเมืองใหญ่มีความสามารถในการเข้าถึง และใช้เทคโนโลยีไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่นเท่าไหร่นัก หรือจะเรียกได้ว่าเป็นวิถีใหม่สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุเลยก็ว่าได้

 

 

ตลาดผู้สูงวัยมีศักยภาพสูง กำลังซื้อสูง

ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยแท้จริง ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 66.5 ล้านคน เป็นประชากรที่สูงอายุเกิน 60 ขึ้นไปจำนวน 9.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 14% ของประชากรทั้งหมด และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน ซึ่งคาดว่าในปี 2568 จะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด นั่นหมายความว่ามูลค่าตลาดกลุ่มผู้สูงวัยจะมีกำลังซื้อขนาดใหญ่และกลุ่มมีกำลังซื้อสูง นักการตลาดและแบรนด์ไม่ควรมองข้าม 

  • สินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย ในช่วงชีวิตเปลี่ยนผ่านจากโควิด เป็นกลุ่มสินค้าที่น่าสนใจอย่างมาก
  • อาหารแปรรูป, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าไลฟ์สไตล์, เครื่องมือที่ใช้ทางการแพทย์ และวัสดุก่อสร้างตกแต่งบ้าน เป็นกลุ่มสินค้าคาดว่าจะขายดีเป็นพิเศษ
  • ผู้สูงอายุจะเน้นการซื้อด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ แต่ก็ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจเป็นหลักด้วย
  • การเจาะเข้าการขายตรงทางโทรทัศน์ โดยใช้กลยุทธ์ของถูกและดี คุ้มค่า ที่สำคัญคือการใช้คำว่า ‘จำเป็น’ สามารถสร้างแรงจูงใจจากกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุได้อย่างมาก
  • ตลาดผู้สูงอายุ มีแนวโน้มการเติบโตในกลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับความต้องการผู้สูงอายุ อาทิ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, ธุรกิจการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮมและโฮมแคร์, ธุรกิจความงาม ธุรกิจการวางแผนทางการเงิน เป็นต้น

นับตั้งแต่ปี 2562 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ และในอีก 20 ปีข้างหน้าสังคมผู้สูงอายุจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของจำนวนประชากร ตลาดผู้สูงอายุในประเทศไทยจึงยังมีโอกาสในการทำธุรกิจได้อีกมากแบบคาดไม่ถึง ผู้ประกอบการจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุในการใช้ชีวิตประจำวันให้ได้

 

Published on 28 August 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ