ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารทานเล่นเครื่องดื่มประเภทที่มีสีสันรสชาติตามเทรนด์ตามกระแส มักถูกมองเป็นสินค้าแฟชั่น มีช่วงระยะเวลาในการเติบโตและดำรงอยู่ค่อนข้างสั้น แต่นั่นไม่สามารถใช้ได้กับแบรนด์ เครื่องดื่ม อย่าง คามุ คามุ ที่ถือกำเนิดขึ้น ภายใต้การบริหารโดย คุณแทน-ทินกฤต สินทัตตโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คามุ คามุ จำกัด และเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ Kamu Tea ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่เคยมีประสบการณ์การทำงานสายไอทีจากต่างประเทศ และการ บริหารงานบริษัท ซอร์ฟแวร์ ที่มีลูกทีมหลายร้อยชีวิตในเมืองไทย ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเอง
ย้อนกลับไปเกือบ 10 ปีที่แล้ว ตลาดอาหารทานเล่นเครื่องดื่มประเภทที่มีสีสันรสชาติตามเทรนด์ตามกระแส กำลังเป็นที่โด่งดัง เรียกได้ว่ามีแบรนด์ใหม่ๆ แจ้งเกิดขึ้นมาทุกสัปดาห์และพร้อมที่จะจากลาไปในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี หากแต่ ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรงนั้น ยังมีแบรนด์ แบรนด์หนึ่งที่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน และมีการเตรียมการวางแผนเป็นอย่างดี จนทำให้แบรนด์ชานมไข่มุกที่ชื่อว่า คามุ คามุ นี้มีวิวัฒนาการตามตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสอดคล้องลงตัว จนเติบใหญ่กลายเป็นธุรกิจเครื่องดื่มชา ที่มีสาขามากมาย และผู้ติดต่อขอร่วมลงทุนเปิดเฟรนด์ไซน์อีกเพียบ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คามุ คามุ ได้ยึดถือหลักสำคัญในการวางรากฐานธุรกิจ ทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมของสินค้าและบริการ การศึกษาและทำความเข้าใจทิศทางของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงด้านการฝึกอบรมพนักงานบุคลากร ทำให้แบรนด์ คามุ คามุ ยังคงความสดใหม่และมีเสน่ห์เย้ายวนใจแฟนคลับลูกค้าที่พร้อมเต็มใจจะเป็นผู้บอกต่อเชิญชวนคนให้มาเป็นลูกค้า ตามๆ กันไป ด้วยความที่ติดใจในรสชาติและมั่นใจในคุณภาพของแบรนด์ ที่เจ้าของใส่ใจและมีความละเมียดละไมในการคิดสรรอยู่อย่างตลอดเวลา
ไปที่ จุดเริ่มต้น แนวคิด และไอเดียของธุรกิจ
ไปที่ ปัญหาที่เจอ หรืออุปสรรค ที่พบระหว่างทางของการทำธุรกิจ
ไปที่ Key Success ของธุรกิจ
ไปที่ คำแนะนำที่มีต่อ SME หรือผู้ประกอบการที่สนใจอยากทำธุรกิจด้านนี้
SME ONE : ช่วยเล่าประวัติความเป็นมา กว่าจะมาเป็นแบรนด์ คามุ คามุ ทุกวันนี้ ให้ฟังได้ไหมครับ
คุณแทน-ทินกฤต : ผมเองเรียนสายวิศวะจบวิศวะจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และก็ไปศึกษาต่อทางด้านวิทยาศาตร์คอมพิวเตอร์ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งในระหว่างนั้นก็เรียนไปด้วยทำงานหารายได้เสริมไปด้วยจนกระทั่งได้รับโอกาสทาบทามจากบริษัท อีคอมเมริซ ซอฟต์แวร์ สัญชาติอังกฤษ ให้กลับมาบริหารงานที่เมืองไทยได้ร่วมบุกเบิกงานด้าน ซอฟต์แวร์ อี-คอมเมิร์ซ และสร้างทีมจนมีทีมงานกว่า 200 ชีวิต จนเริ่มรู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัวของสายงานที่เราดูแลมาตลอดเกือบ 10 ปีแล้ว จึงคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่เราน่าจะหาความท้าทายใหม่ๆ ให้กับตนเองโดยการมีธุรกิจเล็กๆ อารมณ์เหมือนงานอดิเรก ที่เริ่มต้นจากตัวตน น้ำพักน้ำแรงของเราเองจริงๆ จึงได้เริ่มปรึกษากับครอบครัวเพื่อมองหาธุรกิจที่จะทำ ซึ่งผมเองก็มีญาติ มีเพื่อนสนิทหลายๆ คนที่พักอาศัยอยู่ละแวกประเทศแถบๆ เอเชีย ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ก็เลยติดต่อพูดคุยกับเขาไปและก็ได้รับคำแนะนำจากญาติๆเกี่ยวกับสินค้าพวกชาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องขอเรียนตามตรงว่า ตัวผมเองไม่ได้เป็นคนที่ชอบดื่มชานมไข่มุก แต่ในมุมมองของผม เราไม่ต้องจำเป็นต้องชอบอะไรแล้วทำแบบนั้น เพราะถ้าสิ่งที่เราชอบมันไม่ได้ตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้ มันก็อาจจะไม่ได้กลายมาเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ เพราะมันจะมีคนที่ทั้งชอบเหมือนเราและก็ชอบไม่เหมือนเรา “ดังนั้นเป้าหมายของผมเองคือไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ต้องทำในสิ่งที่ลูกค้าชอบ เพราะถ้าเราจับสิ่งที่คนทั่วไปชอบหรือคนทั้งโลกชอบได้ แน่นอนว่ามันก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง”
SME ONE : เรามีวิธีการอย่างไรทำให้ สินค้าได้รับการตอบรับที่ดีอยู่คู่กับตลาดมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
คุณแทน-ทินกฤต : ตั้งแต่เริ่มแรกเลยผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่มองการทำธุรกิจชานมไข่มุกนี้เป็นทางธุรกิจแฟชั่น คือไม่ต้องการทำธุรกิจที่มาไวไปไว เพราะผมเชื่อว่าเสน่ห์ของชาและการดื่มชาที่เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่อายุเป็น 1000 ปีนั้น มีคุณค่าสิ่งดีๆ แฝงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางสุขภาพ ลดไขมัน ช่วยเรื่องการหมุนเวียนของระบบเลือด รวมถึงการตอบสนองความรู้สึกทางอารมณ์ ช่วยสร้างความผ่อนคลายและเพลิดเพลินให้กับคนได้
แรกเริ่มเลยที่เปิดร้าน เราได้พื้นที่มาแค่ 2x2 เมตรเท่านั้นเองซึ่งถือว่าเล็กมาก ต้องทำทุกอย่างเองหมด ต้มชาและวัตถุดิบเอง คั้นน้ำผลไม้เอง ขนของเอง ชงเอง ขายเอง โดยเราใช้ชื่อว่า คามุ มาโดยตลอดตั้งแต่วันแรก ด้วยเหตุผลที่เราต้องการให้คนจนจำชื่อเราได้ง่ายและมีความหมายสื่อถึงอัตลักษณ์ของสินค้าเราได้อย่างชัดเจน ซึ่งคามุ ในภาษา ญี่ปุ่นแปลว่า การเคี้ยว โดยใช้สัญลักษณ์เป็นมาสคอตน้องคามุซัง ที่เป็นรูปกลมๆ แทนตัวท๊อปปิ้งต่าง ๆ ที่เราใส่ผสมในเครื่องดื่มชา ที่ให้สัมผัสการดื่มชาที่แตกต่างสร้างความรู้สึกเพลิดเพลินสนุกสนาน ช่วยผ่อนคลาย ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเราต้องการทำให้แบรนด์เครื่องดื่มชาของเรามีความเฟรนลี่เข้าถึงได้ง่ายและไม่น่าเบื่อ เพื่อเป็นสื่อเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่นให้เขากับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ง่ายและลงตัว
ประกอบกับผมเองเป็นคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมการคิดของคนญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่น เวลาเขาคิดสิ่งใดหรือทำอะไรก็ตามมักพิถีพิถัน ละเมียดละไมในการทำสิ่งต่างๆ มีความน้อยแต่ให้คุณค่ามาก อย่างพวกแพคเกจจิ้งต่าง ๆ นี่เขาสุดยอดมาก มีการเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญของสินค้า เพราะชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าอุดมคติของความสวยงามคือความสวยงามโดยธรรมชาติ ผมจึงอยากให้แบรนด์ ของผมมีกลิ่นอาย วัฒนธรรมแนวคิดนี้ผสมผสานลงไปด้วย
ประการที่สองเลย แบรนด์ คามุ เราให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าเรามีการพัฒนาสูตร คิดค้น รสชาติ ส่วนผสมแปลก ใหม่ ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาตามวิธีทางของตลาดและกระแสความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ที่คามุ จะมีสินค้าประจำที่ขายดีติดอันดับยอดฮิตตลอดกาลอยู่ประมาณ 10-12 เมนู และจะมีการเสริมเมนู ที่เป็น seasonal เข้าไปอยู่ในเมนูหลัก ทุกๆ 3-4 เดือน เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างความรู้สึกใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในใจผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา
อย่าง ชานมรสชีส เราเองก็เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่นำมาเปิดตัวให้คนไทยได้ลองกัน เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลย ณ ขณะนั้น ร้านไหน ๆ ก็ต้องทำ ชาชีส ที่เรานำเสนอกันแทบทั้งสิ้น รสชาติไมโลไดโนเสาร์ ก็เป็นอะไรที่สร้างสีสันและเสียงตอบรับได้ดีจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งรสนี้เอง เราก็ได้แรงบันดาลใจมาจากที่เราได้เห็นคนพูดถึงรสไมโลเราว่ามีความอร่อยไม่แพ้นมไมโลที่เคยทานตอนเด็ก ๆ เราเลยเกิดปิ้งไอเดียอยากจะทำ seasonal product เพื่อให้คนได้รำลึกถึงความสุขในการทานไมโลตอนเด็ก ๆ ขึ้นมา
อย่างกลุ่มสินค้าชาผลไม้ของเรา Secret of Orchard เราก็มีวิธีการคิดที่แตกต่าง คือต้องการมอบประสบการณ์สัมผัสทั้ง 5 ให้กับผู้บริโภคได้อย่างลงตัว เริ่มจากรสชาติเราใช้วัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติเรียกได้ว่าถ้าไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ก็เรียกว่าใกล้เคียงมาก มีการทำรูปแบบแพคเกจจิ้งให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย มีลูกเล่นสามารถเลื่อนกระดาษที่หุ้มตรงแก้วเพื่อเปลี่ยนภาพที่ปรากฎให้ได้ตามรสขาติของเครื่องดื่ม ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี เพราะทั้งรูปรสกลิ่นสีสัมผัส และวิธีการนำเสนอเป็นประสบการณ์รวม ๆ ที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจและอยากทดลองจนเกิดการบอกต่อ ซึ่งนวัตกรรมการคิดค้นสินค้าใหม่ ดังตัวอย่างที่ว่ามานี้ ได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เติบโตและมีการพูดถึงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดแม้ปัจจุบันจะมีอายุเกือบ 10 ปีแล้วก็ตาม
หรือแม้แต่ในแง่การทำการตลาดประชาสัมพันธ์ เราก็ได้มีการคิดรูปแบบโปรโมชั่นที่เข้าใจความต้องการของกลุ่มแฟนๆ ฐานลูกค้าของเราเสมอมา มีการใช้กลยุทธ์ทั้งในส่วนของ Online การสร้าง Brand Awareness และการแจ้งข่าวสินค้าใหม่รวมถึงโปรโมชั่นต่างๆ และ offline การมีกิจกรรมส่งเสริมการขายหน้าร้าน ที่อยู่ตามตึกอาคารสำนักงานที่มีสาขาของเราอยู่ (Point of Purchase) ควบคู่กัน เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์และเพื่อกระตุ้นความรู้สึกอยากทดลองชิม ในรสชาติ ใหม่ๆ ที่เรามีมานำเสนอให้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
โดยส่วนตัวผมเองมีความเชื่อว่าทุกๆ ธุรกิจมันจะมีวงจรอายุของมัน อย่างชานมไข่มุก ที่ผมเริ่มทำเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เราเข้ามาในช่วงที่ตลาดกำลังได้รับความนิยม มีแบรนด์ชานมไข่มุก เข้ามาร่วมในตลาดอีกมากมาย และมันก็ค่อยๆ ดร๊อปลง มีสินค้าอาหารทานเล่นเครื่องดื่มอื่นๆ เกิดขึ้นมา มีวัฒนธรรมคาเฟ่เกิดขึ้น และมีสินค้าแฟชั่นอื่นๆ ทั้งบิงซู เบเกอรี่ และพวกชีสต่างๆ ทำให้บางสินค้าบางแบรนด์ก็หายไปจากตลาดโดยที่ไม่หวนกลับมาอีกเลยก็มีมาก แต่สำหรับชานมไข่มุก อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า ผมเชื่อว่ามันมีคุณค่าที่ตอบสนองผู้บริโภคได้มากกว่าการเป็นสินค้าแฟชั่น และสิ่งที่สำคัญเลยคือเรามีวิวัฒนาการที่ปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้สูงตามเทรนด์ตามความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้เรามีพื้นที่ในตลาดได้อย่างยาวนาน
SME ONE : อยากให้เล่าถึงอุปสรรค ปัญหา ที่พบเจอระหว่างการดำเนินธุรกิจนี้
คุณแทน-ทินกฤต : ช่วง 3 ปีแรก ช่วงวันแรกเลยที่เปิดขาย คือ สิ่งที่ท้าท้ายที่สุดของเรา เราจะทำอย่างไรเพื่อทำให้แบรนด์เราเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของผู้คน และรสชาติเหมาะกับคนไทย เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของสินค้า ถ้ารสชาติเราไม่ผ่าน บริการไม่ดี เราก็จบเลย ซึ่งผมมองโดยส่วนตัวว่าเรื่องรสชาติกับบริการนี้ต้องถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของทุกแบรนด์ไม่ใช่จุดต่างจุดเด่นด้วยซ้ำ ซึ่งในเรื่องของรสชาติหรือคุณลักษณะของสินค้าเองก็เป็นความท้าทาย
ในช่วงเริ่มต้นของเราที่จะสร้างมาตรฐานให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อดีของการเป็นแบรนด์ที่เลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ มีความสดใหม่ ใช้ส่วนผสมที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง และที่สำคัญคำนึงถึงรสชาติมากกว่ากำไร อย่างรสไมโลไดโนเสาร์ เราใช้ผงไมโล ถึง 4-5 ช้อน ต่อ ขนาด 1 แก้ว ซึ่งทำให้ต้นทุนเราสูงขึ้น เพราะเราเชื่อว่า ถ้ารสชาติดี ลูกค้าจะบอกต่อ ๆ กัน ปากต่อปาก ทำให้เกิดการมาทดลองจากลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงเริ่มแรกสำหรับธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเรา
ในระยะต่อมาเมื่อแบรนด์เราเริ่มตั้งไข่ได้แล้ว เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นและเราต้องการขยายธุรกิจ โดยการหาพื้นที่วางขายเพิ่มขึ้น เราก็ได้พบกับอุปสรรคถัดมาคือการทำให้ พันธมิตรทางธุรกิจเจ้าของพื้นที่ในห้างร้านต่าง ๆ เชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นช่วงที่ผ่านประสบการณ์หนักหนาสาหัสมาไม่น้อย เพราะทุก ๆ คนมักจะตั้งคำถามกับตัวเรา ด้วยความที่อาจจะยังไม่เข้าถึงหรือเข้าใจความเป็นตัวเราได้ดีนัก ชื่ออาจจะยังไม่คุ้นหูพอ พอเราบอกว่าเราเป็นแบรนด์สัญชาติไทยแท้ เขาก็มักจะปิดประตูทันที
เคยมีอยู่เหตุการณ์ครั้งหนึ่งผมไปรอพบกับทางห้างสรรพสินค้าอยู่แห่งหนึ่ง โดยรอพบเพื่อคุณเจรจาขอพื้นที่เช่าเปิดร้าน ผมรออยู่เกือบสองชั่วโมง เตรียมตัวไปอย่างดี ชงชาไปอย่างตั้งใจเพื่อสร้างความประทับใจแต่ก็ได้รับคำปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่ารสชาติยังไม่ถูกใจ ซึ่งไปเป็น 10 แห่งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้ทำให้ผมท้อถอย แต่ทำให้เรายิ่งเพิ่มความมุมานะพยายามมากขึ้นเป็นพิเศษ โดยเราได้ปรับกลยุทธ์ใหม่โดยวิธีการขยายตลาดเข้าไปยังพื้นที่เช่าสำนักงานตามตึกต่าง ๆ และพื้นที่รอบนอกก่อน เพราะเห็นแล้วว่าทางห้างยังไม่สนใจแบรนด์ไทยอย่างเรามากนัก
ซึ่งในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ เราได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีมาก แม้ในความเป็นจริง การทำแบรนด์กับกลุ่มพนักงานออฟฟิศจะค่อนข้างมีความยากลำบาก เพราะถ้าลูกค้าตามตึกออฟฟิศเหล่านั้นไปทดลองแล้วเกิดไม่ได้ประทับใจขึ้นมา พูดต่อๆ กันไปว่าไม่อร่อย โอกาสที่เราจะเติบโตในแถบนั้นต่อไปแทบเป็นศูนย์ในทันที ซึ่งสำหรับ คามุ เราเองถือว่าได้รับเสียงตอบรับตั้งแต่แรกเป็นอย่างดี มีคนพูดถึงและแนะนำแบรนด์เราแบบปากต่อปาก จนทำให้เกิดการทดลองและการกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง
SME ONE : ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคความผันผวนมามากมาย อะไรทำให้ คามุ ยังอยู่ได้และกลายเป็นแบรนด์ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นดังทุกวันนี้
คุณแทน-ทินกฤต : เรามีหลักวิธีคิดในการสร้างแบรนด์ อยู่ 4 ประการ หลักการแรกคือ ปรัชญาการมองชีวิต การทำธุรกิจแบบคนญี่ปุ่น โดยที่ให้ความสำคัญกับการใส่ใจ และต้องการที่จะเป็นเลิศในสิ่งที่ทำ การคิดให้มากแต่ทำให้เรียบง่าย และตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง อย่างปัจจุบันทางแบรนด์ คามุ ของเราเองได้ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยเริ่มเปลี่ยนหรือลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติดไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งยังคงไว้ซึ่งรูปแบบที่ดึงดูด สนุกสนานทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย อย่างกลุ่มสินค้าที่เป็นชาผลไม้ของทางร้าน ซึ่งจะมีการเลือกรสชาติที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาผลัดเปลี่ยนนำเสนออยู่ตลอดเวลา เรามีการออกแบบแพคเกจจิ้งให้มีลูกเล่นและสีสันสนุกสนานชวนให้คนซื้อได้ถ่ายภาพไปเล่าเรื่องแบ่งปันประสบการณ์ความรู้สึกดี ๆ ของตนเองผ่านแก้วชาและรสชาติ
ประการที่สอง คือ เรื่องของวัตถุดิบที่เราใช้ต้องมาจากธรรมชาติ ชนิดที่เรียกว่าถ้าไม่ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องให้ได้ในระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ หรือเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด อย่างเลมอนที่เราใช้เราก็เลือกแบบที่คั้นสด ชนิดที่ครั้งหนึ่งเราเคยให้พนักงานหน้าร้านคั้นสดๆ ตอนที่ลูกค้าสั่งสินค้าเลยเพื่อรับประกันว่า เราใช้เลมอนจริง ๆ ไม่มีผสม เพื่อให้ได้สัมผัสในรูป รส กลิ่น เสียง กันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจุดนี้เองก็คือการคงไว้ซึ่งมาตรฐานและคุณภาพของรสชาติของสินค้าเรา
ประการที่สามคือในเรื่องของนวัตกรรม หรือการครีเอทสิ่งแปลกใหม่ โดยในยุคแรกเริ่มเลยเราคิดสูตรใหม่ตลอดเวลา มีเกือบ 100 เมนู ซึ่งก็สร้างภาระให้กับแบรนด์ไม่น้อย จนท้ายที่สุดเราก็ได้มีการศึกษาและค้นพบว่าลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่มักจะเลือกเมนูเดิม ๆ ที่เขาชื่นชอบ ซึ่งจะอยู่ในกลุ่ม 10-20 เมนูยอดฮิตตลอดกาลของทางร้าน เราจึงมีการปรับเปลี่ยน ลดทอนจนกระทั่งกลายเป็นเมนูมาตรฐานของทางร้านที่มีขายประจำทุกสาขาตลอดทั้งปี โดยที่ยังมีการเพิ่มเมนูที่เป็น Special เข้าไปเป็น seasonal เพื่อคงไว้ซึ่งความรู้สึกแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราถือได้ว่าเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชานมไข่มุกที่ ใช้กลวิธีในการสร้างแบรนด์ awareness ผ่านนวัตกรรมสินค้า product innovation เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งสถานะความเป็นผู้นำหรือ trend setter แทนที่จะเป็นผู้ตาม
ประการสุดท้าย คือการเล็งเห็นในคุณค่าในบทบาทการเป็นผู้สร้างความสุข ความเพลิดเพลินสบายใจ ให้กับคนไทย อย่างที่เรามองตัวเราเองเป็นเครื่องดื่มสำหรับ Every day inspiration ที่พร้อมมอบความสุข รอยยิ้มและสีสันให้กับลูกค้าในทุกวัน ผมบอกน้องน้องทีมงานในบริษัทเสมอว่า เราไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่มชานมเท่านั้น แต่เราขายความรู้สึกดีๆ อารมณ์ดี ๆ ความประทับใจดี ๆ ให้กับลูกค้า ดังนั้นบริการที่เราส่งมอบไปสู่ลูกค้าต้องสร้างรอยยิ้มและความประทับใจอยู่เสมอ
คุณแทน-ทินกฤต : เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดจะทำธุรกิจ ปัญหาคือสิ่งที่มาคู่กัน มันมาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ อย่างบ้านเราถ้าวันใดฝนตกยอดขายก็ตก ช่วงน้ำท่วมก็จะเจอกับปัญหาการบริหารจัดการคลังสินค้า ช่วงการปิดพื้นที่ในเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ซึ่งต่างต้องอาศัยความอดทน ไม่ท้อถอย และพยายามเข้าไปจัดการปัญหาให้ดีที่สุดอย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยค้างสะสมไว้
รวมถึงปัญหาที่เกิดจากการแข่งขันของคู่แข่งต่าง ๆ ในตลาด แต่สิ่งหนึ่งเลยที่อยากจะบอกคือเราต้องมีความหนักแน่นและชัดเจนในบทบาทที่เราทำ ซึ่งอย่างแบรนด์คามุ หัวใจสำคัญของแบรนด์คือในเรื่องของนวัตกรรม innovation จุดนี้เองที่ทำให้เราไม่ได้เป็นผู้ตาม
สิ่งที่คามุทำมาเสมอคือ คิดล่วงหน้าก่อนที่ตลาดจะเป็น เพราะความสำเร็จในวันนี้ไม่อาจการันตีความสำเร็จในวันข้างหน้าได้ตลอดไป เราจึงมุ่งคิดค้นสิ่งต่างต่าง ๆ ผ่านทีมงานที่มีหน้าที่ศึกษาและสร้างนวัตกรรมสำหรับเครื่องดื่มที่เราทำ มีการทำโปรดักส์เทสติ้ง อยู่ตลอดเวลา โดยที่ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดค้นและหาไอเดียสินค้าต่าง ๆ เหล่านั้นร่วมกับทีมงาน ดังนั้นการที่เราเป็น Trend setter นี่แหละที่จะทำให้เราไม่ได้มองคู่แข่งเป็นคู่แข่ง แต่เรามองคู่แข่งเป็นเพื่อนบ้าน โดยที่เรามีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนของเราเองมาอยู่ในน่านน้ำของบลูโอเชี่ยน ที่ไม่ได้ต้องไปฟาดฟันแข่งขันในเรื่องของราคาเป็นหลัก แต่เราเลือกที่จะแข่งขันในด้านนวัตกรรมเป็นสำคัญ
สำหรับคนที่สนใจธุรกิจประเภทเครื่องดื่มหรืออาหารทานเล่น ผมมองว่าอยากให้ใส่ใจในเรื่องของรสชาติและคุณภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ ก่อน พยายามทำเครื่องดื่มที่มีรสชาติที่ดี อร่อยถูกปากได้คุณภาพ เพราะสำหรับผมแล้วเชื่อว่าคุณภาพและบริการเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะถ้าคุณภาพและรสชาติคุณไม่ผ่านคุณก็ตายตั้งแต่ต้น ควบคู่ไปกับการรักษาและคงไว้ซึ่งมาตรฐานของตนเองให้ลูกค้าได้รับสินค้าบริการที่ดีเช่นเดิมอยู่ตลอดเวลา ส่วนสิ่งที่จะมาต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้าต่อไป ก็คือการพัฒนาแบรนด์และการทำการตลาดอย่างจริงใจ และคำนึงถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อที่จะสร้างคุณค่าที่เรามีให้ยั่งยืนสืบทอดต่อไป
สิ่งสำคัญประการสุดท้ายที่อยากทิ้งท้ายไว้ หากแต่ความหมายและความสำคัญไม่ได้น้อยเลย คือการเชื่อมั่นในพลังของทีมงาน สำหรับผมทุกๆ คนในครอบครัว คามุ ส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ทีมงานทุกคนคือเจ้าของแบรนด์ เจ้าของความสำเร็จตัวจริงของคามุ ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียว ดังนั้นธุรกิจจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ ต้องเกิดจากพลังความสามัคคีของคนในองค์กร
Published on 25 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : Trust ผูกใจลูกค้าด้วยประสบการณ์ขั้นกว่า
อ่านเพิ่มเติม : www.kasikornbank.com/th/Inspired-Feb-2020.aspx
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ การมีช่องทางรับเงินที่หลากหลายนอกจากจะเป็นทางเลือกให้ลูกค้าแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย และนี่เป็นช่องทางการชำระเงินที่นิยมใช้กันในตอนนี้
ลูกค้าหลายคนชอบทางเลือกนี้ เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าแน่นอน ในขณะที่ผู้ขายจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง กรณีส่งสินค้าไปแล้วแต่ลูกค้าไม่รับสินค้าและถูกส่งกลับ ปัจจุบันช่องทางการขายของออนไลน์หลายรายบังคับให้มีช่องทางเก็บเงินปลายทางไว้ให้ลูกค้า ผู้ประกอบการที่จึงควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ไว้ด้วย
เป็นวิธีชำระเงินที่หลายคนคุ้นเคย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนจะชอบวิธีการนี้ เพราะเป็นการได้รับเงินสดก่อนที่จะส่งสินค้าไป
เป็นวิธีที่สะดวกทั้งต่อผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ผู้ขายอาจต้องเสียค่าธรรมเนียม หากลงขายสินค้าตามช่องทางต่าง ๆ อย่าง ช้อปปี้ (Shopee) หรือ ลาซาด้า (Lazada) จะมีระบบรับบัตรเครดิตเตรียมไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณสร้างเว็บไซต์ของตัวเองอาจต้องทำ ระบบชำระเงินออนไลน์ที่ชำระผ่านระบบของธนาคาร (Payment Gateway) ด้วยตัวเอง ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง
ปัจจุบันยังมีช่องทางอย่าง กระเป๋าเงินออนไลน์ (e-Wallet) ที่เริ่มมีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น เช่น TrueMoney, Rabbit Line Pay และ Airpay
เมื่อธุรกิจออนไลน์มีช่องทางการรับเงินมากกว่าหนึ่ง การจะบริหารจัดการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ วิธีการจัดการเบื้องต้น ดังนี้
– จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียด พร้อมเก็บหลักฐานเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน ใบเสร็จต่างๆ ฯลฯ จะทำให้เห็นว่าธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุน หรือรายได้แต่ละเดือนเป็นอย่างไร
– ต้องมีเงินสำรองเพื่อสภาพคล่องธุรกิจ โดยหลักกว้าง ๆ อาจสำรองเงินไว้ที่ 6 เท่าของรายจ่ายแต่ละเดือน หรือสามารถประเมินได้จากมูลค่าของสต็อกสินค้าเทียบกับระยะเวลาขายออกไป จะทำให้ทราบว่าควรมีเงินสำรองไว้มากน้อยเท่าไร
– ต้องแยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าเงินที่เข้ามาเป็นเงินของธุรกิจหรือไม่
– แบ่งบัญชีโดยยึดบัญชีธนาคารเดียวเป็นบัญชีจ่ายออก ส่วนบัญชีรับเงินสามารถมีกี่บัญชีธนาคารก็ได้
Published on 25 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : The Next Challenger ท้าทายให้สุด สนุกที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจ
อ่านเพิ่มเติม : www.kasikornbank.com/th/Inspired-Jul-2020.aspx
การไม่มี “หนี้” คือลาภอันประเสริฐ แต่ในแง่ของการทำธุรกิจนั้น การเป็นหนี้อาจไม่ใช่เรื่องร้ายเท่าที่คิด นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจของการเป็นหนี้จากการกู้สินเชื่อธนาคาร ที่เอสเอ็มอีต้องรู้
1. เป็นหนี้ แล้วหักภาษีได้
ดอกเบี้ยที่เกิดจากสินเชื่อต่าง ๆ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่นำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ในขณะที่การใช้เงินทุนของตัวเองไม่สามารถทำได้
2. เป็นหนี้ ช่วยรักษาความเป็นเจ้าของกิจการได้
เฉพาะในกรณีของธุรกิจที่มีหลายหุ้นส่วน หลายคนอาจคิดว่าดอกเบี้ยสินเชื่อแพงจึงอยากใช้เงินส่วนตัว แต่หุ้นส่วนคุณอาจไม่ได้มีเงินลงทุนพร้อมกัน เช่น มีหุ้นส่วน 4 คน แต่มีคนที่พร้อมลงทุน 2-3 คน แบบนี้สัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนทันที แต่ถ้าลงทุนโดยใช้สินเชื่อจากธนาคาร จะยังคงสถานะสัดส่วนกรรมสิทธิ์ของบริษัทได้เช่นเดิม
3. เป็นหนี้ แต่มีสภาพคล่องสำรอง
หากคุณมีเงินไม่มากพอ และนำเงินส่วนตัวมาใช้ลงทุนธุรกิจ อาจทำให้ไม่เหลือเงินไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือเร่งด่วนได้
4. เป็นหนี้ ช่วยเพิ่มโอกาสโตให้ธุรกิจ
เพราะบางครั้งโอกาสอาจเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น มีออร์เดอร์ใหญ่เข้ามา หากมีเงินทุนไม่มากพออาจพลาดโอกาสนั้นได้ การกู้สินเชื่อจึงเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
5. เป็นหนี้ อาจให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า
ยกตัวอย่าง หากคุณมีเงินทุนอยู่ 30 ล้านบาท แทนที่จะนำมาลงทุนธุรกิจ แต่ใช้การขอสินเชื่อมาลงทุนแทน อาจจะเสียดอกเบี้ยที่ 6-7% แล้วนำเงินส่วนตัวไปลงทุนประเภทอื่นที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ผลตอบแทน 8-9% แสดงว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายกับผลตอบจากการลงทุนลงทุนประเภทอื่นนั้น มีส่วนต่างที่คุณจะได้รับผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การลงทุนและผลตอบแทนของแต่ละคนหรือแต่ละบริษัทจะได้ไม่เท่ากันด้วย
– ต้องใช้สินเชื่อให้ถูกวัตถุประสงค์การกู้ยืม ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาทางธุรกิจได้ ยกตัวอย่าง
– ต้องชำระหนี้ให้ตรงเวลา เพราะนั่นจะกลายเป็นเครดิตทางการเงินให้ตัวคุณเอง เนื่องจากเวลาธนาคารอนุมัติสินเชื่อหากเป็นลูกค้าเก่าจะดูจากประวัติการชำระเงิน หากเป็นลูกค้าใหม่จะดูจากเครดิตบูโร การที่มีประวัติการชำระเงินดี จะช่วยเพิ่มโอกาสการขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และอาจได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษกว่าด้วย
– ต้องพิจารณาเลือกใช้ธนาคารมากว่า 1 แห่ง เพราะแต่ละธนาคารมีนโยบายการปล่อยสินเชื่อและคิดดอกเบี้ยแตกต่างกัน จะทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสการกู้ผ่านและได้รับดอกเบี้ยที่เหมาะสม
– ทบทวนแผนธุรกิจ โดยประเมินรายได้และรายจ่ายในปัจจุบัน เพื่อดูว่ามีเงินพอชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน
– ขอเจรจากับธนาคาร เพื่อขอปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ที่เหมาะกับธุรกิจช่วงวิกฤต
– เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้ธนาคารสามารถช่วยวางแผนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
Published on 25 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : เช็กสุขภาพกระแสเงินสำหรับ e-commerce
อ่านเพิ่มเติม : https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/e-commerce-money-flow-checkup.html
การทำธุรกิจไม่ว่าจะประเภทใดต้องมีการดูแลบัญชีเบื้องต้น ธุรกิจที่ทำผ่านออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซก็เช่นกัน หากจัดการเงินไม่ดีพอ ทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง นั่นอาจทำให้ธุรกิจล้มได้ มาเช็กสุขภาพทางการเงินของกิจการผ่าน “งบดุล” โดยสามารถดูตัวเลขดังต่อไปนี้เพื่อประกอบการพิจารณาได้
กิจการที่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและดีพอ ย่อมสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ สินทรัพย์ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้แก่
ยกตัวอย่างเช่น
กิจการที่ทำอีคอมเมิร์ซแห่งหนึ่ง มีสินทรัพย์รวมแล้ว 10 ล้านบาท และมีหนี้สินทั้งหมด 5 ล้านบาทจากการกู้ยืมเงินจากธนาคาร เท่ากับว่า
บริษัทนี้จะมีทุน = 10 – 5 = 5 ล้านบาท
ในขณะที่มีหนี้สิน 5 ล้านบาท
ทำให้หนี้สินต่อส่วนของทุน = 5/5 = 1 เท่า นั่นเอง
หมายความว่า กิจการแห่งนี้ถ้ามีรายได้สม่ำเสมอ มีเครดิตที่ดีพอ ยังสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้อีก 5 ล้านบาท หรือกว่าเท่าตัวเพื่อมาเสริมสภาพคล่องได้
การดูแลในส่วนของหนี้สินเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างรอบคอบ การก่อหนี้ที่มากเกินไปถ้าอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำคงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากสภาพเศรษฐกิจนั้นกดดันให้เกิดภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น จะทำให้ “ดอกเบี้ย” ที่กิจการต้องจ่ายให้กับธนาคารสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาไม่มีเงินจ่ายหนี้ หรือจ่ายดอกเบี้ยมีให้เห็นมาแล้วในช่วงภาวะวิกฤติต่าง ๆ ดังนั้นการบริหารจัดการหนี้สินในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
คือ การหักลบระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินของกิจการ กิจการที่ดีมีแนวโน้มเติบโต สินทรัพย์จะมีเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนี้สินอาจจะลดลง ทำให้ส่วนของทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วยเช่นกัน และเริ่มมีเงินสดกองไว้ในบริษัทมากขึ้น นั่นคือกิจการที่เติบโต
ในทางกลับกัน กิจการที่ไม่ดี หนี้สินอาจมีมากกว่าสินทรัพย์ ปัญหาอาจเกิดจากการขายของไม่ได้ ขาดสภาพคล่อง เก็บเงินลูกค้าไม่ได้ ทำให้ต้องกู้เงินมากขึ้นเพื่อมาเสริมสภาพคล่อง หากประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาณอันตราย เจ้าของกิจการต้องรีบหาทางแก้ไขโดยเร็ว
การบริหารจัดการเรื่องเงินถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรประมาท หลายคนอาจคิดว่ายุ่งยาก แต่หากใช้เวลาเรียนรู้สักนิด เมื่อพบปัญหาอย่าง กิจการขาดสภาพคล่อง จะสามารถแก้ไขได้ทันการณ์
Published on 25 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
ในวันที่คุณมารุต ชุ่มขุนทด ผู้ก่อตั้งร้านกาแฟ Class Cafe ตัดสินใจเริ่มต้นในธุรกิจ Hospitality อย่างร้านกาแฟนั้น เขาไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย เพราะตลอดชีวิตการทำงาน มารุตเติบโตมาในสายงานด้านเทคโนโลยีคมนาคม มารุตคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจ Non Voice เมื่อสิบกว่าปีก่อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น AIS, Hutch, Nokia
วันหนึ่งมารุตตัดสินใจหันหลังให้กับธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อกลับไปเปิดร้านกาแฟที่บ้านเกิดจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างธุรกิจแบบสตาร์ทอัพที่เรียกว่า Open Coffee Platform
จากวันนั้นถึงวันนี้ Class Cafe ได้รับการยอมรับจากวงการสตาร์ทอัพว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการทำธุรกิจ Food Tech ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในเมืองไทย วิธีคิดและการบริการงาน Class Cafe ของมารุต ชุ่มขุนทด ที่ถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์นี้ จึงเป็นประโยชน์กับสตาร์ทอัพและ SME ทุกคน
ไปที่ จุดเริ่มต้น แนวคิด และไอเดียของธุรกิจ
ไปที่ ปัญหาที่เจอ หรืออุปสรรค ที่พบระหว่างทางของการทำธุรกิจ
ไปที่ Key Success ของธุรกิจ
ไปที่ คำแนะนำที่มีต่อ SME หรือผู้ประกอบการที่สนใจอยากทำธุรกิจด้านนี้
SME ONE : เส้นทางธุรกิจ Class Cafe จากคนในวงการโทรคมนาคมมาจบที่ร้านกาแฟได้อย่างไร
คุณมารุต : ผมเริ่มต้นทำงานในธุรกิจมือถือ ทำแบรนด์ AIS, Hutch, Nokia เพราะฉะนั้นเราเป็นคนสายเทคโนโลยีมาตลอด แต่ช่วงนั้นที่กรุงเทพมีการประท้วงเยอะมาก ส่วนตัวมองว่าไม่รอดแน่ถ้ายังทนอยู่กรุงเทพฯ ก็เลยตัดสินใจกลับไปเปิดร้านกาแฟที่โคราชบ้านเกิด พอได้ทำจริงปรากฏว่าโคราชมันมีพลังบางอย่างที่เราเข้าใจผิดมาตลอด คนแถวนี้บางคนรวยแบบบ้าคลั่งเป็นเจ้าของโรงสี เป็นเจ้าของโรงงานยางพารา บางคนรวยเป็นพันล้าน โดยที่เราไม่เคยรู้ คือเราอยู่กรุงเทพ Ego สูง อยู่บริษัทชั้นนำ เราจะคิดคนละอย่าง เราคิดว่าเราเจ๋งแล้ว แต่ที่จริงไม่เลย
วันที่ตัดสินใจมาโคราช ผมมองว่าผมเป็น Tech Company 100% Ego มาก ธุรกิจร้านกาแฟนี่หมูสับ แต่พอลงมาทำจริงเหนื่อยมาก คือไม่เหมือนกับโลกที่เราอยู่แม้แต่น้อย แทบไม่ได้เปิด PowerPoint เลย ปีแรกเปิด PowerPoint วันเดียว ที่เหลือต้องมาถูพื้น ล้างจาน หัดทำทุกอย่าง แต่รู้สึกสนุกเพราะว่าเหมือนกับเป็นคน Digital มาทำ Analog ตื่นเต้นไปหมด พอลงมาทำจริงๆ ก็อยากไปให้สุด ผมไปเรียนคั่วกาแฟเอง ไปขึ้นไร่ขึ้นดอย ไปคองโก ไปรวันดา ที่ไหนกาแฟดีไปหมด เพราะอยากรู้จริงทุกเรื่องตั้งแต่ปีแรก ๆ นั่นคือเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
SME ONE : วันที่เริ่มธุรกิจ เรา Definition ตัวเองเป็นอะไร
คุณมารุต : ร้านกาแฟ เริ่มต้นเป็นร้านกาแฟก่อน ชงกาแฟล้วน ๆ อยู่ 2 ปี พอ 2 ปีเริ่มเห็นแล้วว่าแข่งเหนื่อย แข่งกับร้านใหญ่ ยังไงก็ถูกทุบตาย ก็เริ่มคิดว่า ถ้าแบบนี้ขอไปเล่นเกมที่เราถนัดดีกว่า ตอนนั้นกระแสสตาร์ทอัพกำลังมาประมาณ 5 ปีที่แล้ว เราก็มานั่งนึก เรามี CEO ที่เป็นคน Tech ที่คู่แข่งไม่มี ทำไม Starbucks เมืองนอกถึงเปลี่ยน CTO เอาคนจาก Adobe มา เพราะเก่งเรื่อง Data ทำไมสุดท้าย Starbucks ถึงเปลี่ยน CEO เป็นคน Microsoft จนเข้าใจว่ามาถูกทางแล้ว นี่คือของฟรีที่ Class Cafe มี เรามีคน Tech ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Tech Platform ทุกอย่าง เราต้อง Raise Fund ได้ เราต้องเป็นสตาร์ทอัพก็เลยเริ่มเบนเลย จับ Class Cafe เปลี่ยนเป็น Co-Working Space
SME ONE : วันที่ตัดสินใจเปลี่ยนจากร้านกาแฟเป็นสตาร์ทอัพ Class Cafe ปัจจุบันมีอยู่กี่สาขาแล้ว
คุณมารุต : ช่วงก่อนโควิด-19 จะมีทั้งหมด 28 สาขา แต่พอเกิดโควิด-19 เราปิดไปครึ่งนึง ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยกลับมาเปิดใหม่ เพราะสถานการณ์ที่เริ่มดีขึ้น ก็เลยอยู่ประมาณ 26 สาขาในตอนนี้
ในช่วงโควิด-19 เราทดลองทำระบบ Delivery ด้วย ทำรถพุ่มพวงออกไปต่างอำเภอ เครื่องดื่มเปลี่ยนจากแก้วไปเป็นขวด โยเกิร์ตก็ไปเข้าโรงงานผลิตออกมา ทำทุกอย่างใหม่หมดทั้งกระบวนการ Product ใหม่ ช่องทางสื่อสารใหม่ LINE, Facebook, IG ทุกช่องทางที่ลูกค้าอยู่ พอทำแบบนี้ เราได้ Digital Landscape ใหม่ ทำให้การที่เราต้องปิด 14 สาขาเพราะโควิด-19 กลายเป็นจุดแข็ง เพราะเราไม่ต้องมีสาขาให้ปวดหัว แล้วกรุงเทพเดือดร้อนเรื่องโควิด-19 มาก เราปิดทุกสาขาใน 2 อาทิตย์แล้วย้ายคนไปโคราชหมด ของที่มีวันหมดอายุ เราขาย Clearance ทำใส่ขวดขาย 1 แถม 1 ล้าง Stock เพื่อกำเงินสดตามสูตร Cash is king
SME ONE : เมื่อตัดสินใจกลับไปพัฒนาสาขาที่โคราช และปรับตัวสู่ระบบ Delivery ผลเป็นอย่างไร?
คุณมารุต : ใช่ไปรวมศูนย์ เราเอา Stock กลับไปขายที่โคราช ยอดขายที่โคราชขึ้น 4 เท่าจากช่วงไม่มีโควิด-19 สาขาโคราช, ขอนแก่นขายดีขึ้นเยอะ เพราะทำ Delivery ได้ แล้วแบรนด์แข็งแรง คนในเมืองก็มาซื้อไปตุน กลายเป็นว่าเรากลับไปอยู่ในโหมด Digital เพียว ๆ เลย Class Cafe เป็น Digital Platform ที่ชัดเจน แข็งแรง ทาง SCB ก็หนุนทุกอย่างชำระเงินด้วย QR Code แม่มณี ทุกอย่างเป็น Digital หมดเลย เราก็เลยกลายเป็นโมเดลในการโชว์ว่า SME ถ้าอยากจะรอดจากโควิด-19 ต้องทำแบบนี้ เราสนุกกับการทำงาน เราไม่ได้เน้นยอดขาย เราเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง แบรนด์ก็เลยแข็งแรงขึ้น ตอนที่เราพูดเยอะขึ้นว่าแบบ Class Cafe เป็นแรงบันดาลใจ คุณไปทำน้ำส้มขวดนี้ขายที่กรุงเทพสิ เราทำแล้วสำเร็จนะที่โคราช คนก็แห่กันไปทำ Class Cafe ก็เลยกลายเป็นคนที่ Inspire คน แบรนด์ก็เริ่มกลายเป็นแหล่งของคนทำงาน คนอยากมานั่ง Class Cafe
SME ONE : เคยไปสำรวจกลุ่มลูกค้าที่มานั่งในร้านไหม ว่ามาเพราะว่า Environment หรือมาเพราะกาแฟ
คุณมารุต : เขาไม่ได้มาเพราะกาแฟ แต่มาเพราะว่าต้องการใช้ชีวิตอยู่กับแบรนด์ เพราะเราสร้าง Environment ให้คนรู้สึกว่า Class café คือจุดเริ่มต้นดีๆ ของวันก่อนที่จะออกไปบู๊กับงาน ออกไปสัมภาษณ์งาน ออกไปขายของ หรืออะไร ขอมาเริ่มต้นที่ Class Cafe ก่อนแล้วพื้นที่บริเวณภาคอีสานที่มี Class Cafe อยู่ มันกลายเป็นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเมืองที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับเราจริง ๆ
ตอนเกิดเหตุการณ์ที่ Terminal เราเห็นภาพคนโคราชเศร้าหมอง Class Cafe ก็ออกมารณรงค์สร้างโคราชสตรองกลับมา คือ Class Cafe ยึดมั่นในเรื่องของเมือง คือเราเป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำอยู่กับเมือง คนก็เลยมาใช้ชีวิตอยู่กับเรา อย่างล่าสุดเราทำแก้วดูดวง Horoscope เพราะ Insight คนตอนนี้ต้องการแรงบันดาลใจ ต้องการความสมหวัง ต้องการคนสนับสนุนและคอยช่วยเหลือ พอหยิบกาแฟมาแก้วหนึ่งแล้วได้อ่านดวง โห ใจมันได้แล้ว
SME ONE : ฟังดูแล้ว Class Cafe เป็นเหมือนกับห้องทดลองขนาดใหญ่
คุณมารุต : โคราชเป็น Sandbox ขนาดใหญ่ของเราที่เราเอาเทคโนโลยีไปปรับใช้ เราเปิดตัวแม่มณีคนก็ใช้ 60 - 70 เปอร์เซ็นต์ อยู่มาวันนึงบอกว่าไม่มีโปรโมชั่นตามปกติในสาขาต้องจ่ายผ่านแอปเท่านั้นถึงจะได้ Promotion คนก็ใช้แอปกันอีรุงตุงนังกันทั้งเมือง อยู่ดี ๆ สาขาในมหาวิทยาลัยบอกไม่รับแล้วเงินสด แรกๆ ก็วุ่นวายแต่ลูกค้าก็จ่ายผ่าน Cashless คือเรื่องพวกนี้มันกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่เราสนุกกับมัน แล้วลูกค้าก็สนุกด้วย ลูกค้าก็รู้สึกว่า Class Cafe ไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์ของ Product แต่เป็นเรื่องของความพยายามของคนที่จะดีขึ้นทุกวันให้ได้ อันนี้คือสิ่งหนึ่งที่เราเล่าให้ทุกคนฟังเสมอ แล้วคนจะเสพ Story ของเราตลอด 120,000 คนที่อยู่ใน Facebook ที่ Active ก็คืออยู่ประมาณ 30,000 คน เวลามีอะไรก็จะ Like กันแบบเป็นหลักหมื่น มันกลายเป็นเราสนุกกับเรื่องพวกนี้ อย่างตอนนี้ฉันชอบกล้องฟิล์ม น้องๆ มารวมกันถ่ายกล้องฟิล์มกันเถอะ Class ถ่ายกล้องฟิล์ม หรือน้องๆ อยากทำสตาร์ทอัพใช่ไหม เราก็เอาคนมาสอน ช่วงนี้คนตกงาน Class Cafe จะช่วยอะไรได้บ้าง เราก็ทำ Platform หางานกันเถอะ ชวน Seekster มาเปิด Platform ที่โคราช
SME ONE : ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง Class Café กับร้านกาแฟทั่วไป มีอะไรที่คู่แข่งมีแล้วเราไม่มี
คุณมารุต : เราไม่มีมุม Private เราไม่มีความขมเข้มของกาแฟ เราไม่มีเพลงแบบ Bossa Nova เบา ๆ เราไม่มีสวน เราไม่มีสิ่งที่เขามีทั้งหมด เราพยายามไม่มีด้วย เพราะเราคือคนที่จะมาเปลี่ยนแปลง เราเป็น Disruptor เราต้องไม่มีสิ่งสำคัญที่สุดของคู่แข่ง เพราะเขามีทุนมากกว่าเรา คู่แข่งเราดีดนิ้วอยากมี Co-Working Space ทำได้เลย ธุรกิจกาแฟเป็น Red Ocean มาก แต่สิ่งที่เรามีแล้วเราแข็งแรงที่สุด คือวัฒนธรรมองค์กร ถ้าไปที่สำนักงานใหญ่ทีมเราเป็นทีม Digital หมดเลย ทีม Barista เราเป็นคนนั่งวิเคราะห์ Data Science ทำ User Experience Design App เหมือน Agency นั่งทำเรื่องพวกนี้ นั่งทำ Content
สิ่งที่คู่แข่งไม่มีคือ Mindset แบบเรา ไม่ใช่ Technical Product ที่ว่าใครมีเงินก็ซื้อเทคโนโลยีมาใส่ได้ ที่ร้านเราสอนพนักงานว่า อย่าไปเก็บแก้วกาแฟเขานะ อยู่เป็นเพื่อนเขานะ อย่ารบกวนลูกค้านะ อย่าเดินออกมาเพ่นพ่านให้เขารู้สึกอึดอัด อย่าไปถูพื้นตอนที่เขานั่งประชุม เพราะเขาคุยเรื่อง Private ของเค้า
SME ONE : ในส่วนของกาแฟที่ Class Café ใช้เป็น Standard หรือว่าเป็น Specialty
คุณมารุต : กาแฟต้องเป็น Specialty ที่ดีที่สุดเสมอ เรามีโรงคั่วของตัวเอง ที่โคราช 2 โรง และที่เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ก็คั่วของเราเอง เป็นเครื่อง Probat ที่ดีที่สุดในโลก โคราชใช้เครื่อง Giesen ที่ดีที่สุดในโลก ทุกอย่างต้องดีที่สุดเสมอ ต้องเกิดมาจากแหล่งกาแฟชั้นดี เราใช้กาแฟนอกทั้งหมดตั้งแต่เปิดร้าน นำเข้ามาจากแหล่งปลูกหลายประเทศ เช่น เคนย่า เราได้กาแฟที่ดีที่สุดในโลกมาทุกปี
SME ONE : กลับไปตอนที่เราบอกว่าเราจะเป็น Startup เราจะต้องไป Raise Fund ตอนนั้นคนคาดหวังอะไรจากร้านกาแฟ
คุณมารุต : Coffee Tech เราอธิบาย Present เต็มรูปแบบเรื่องของ Spot Data Analysis การเก็บข้อมูล เครื่อง POS Link กับแอปพลิเคชัน ทำเรื่องนี้แบบ Hardcore เรื่องการประมวลผล การเอาข้อมูลเข้ามาใช้งาน เราเก็บตำแหน่งที่นั่งของลูกค้ามา Plot Graph Plot Match วิเคราะห์ Furniture ทำมันทุกอย่างเพราะเป็น Coffee Tech
Class Cafe เป็น Coffee Technology สิ่งที่เราทำทั้งหมด เราทำเพื่อให้เราสเกลตัวเอง ขยายไปเรื่อย ๆ ได้ อันนี้คือสิ่งที่ชัดเจน แต่เราก็บอกว่า คุณเดินเข้ามาในสาขา คุณก็ไม่ต้องมาสนใจหรอกว่า LED Display จะปรับเปลี่ยนตามตัวคุณ เพราะเป็น Server ที่ Feed Advertising อัตโนมัติ คุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้างหลังของ Cashier คือคนทำ UI ไม่ต้องสนใจว่าเทคโนโลยีคืออะไร สนใจว่าคุณจะได้เครื่องดื่มที่คุณอยากได้และมีที่นั่งที่คุณพอใจไหม และมีสิ่งแวดล้อมที่คุณแฮปปี้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ลูกค้า Value แต่สิ่งที่คนทำ Tech Value คืออยากเห็นจอ Pop Graph ขึ้น ไม่ใช่หัวใจ เรามองที่การ Sustain และการใช้ชีวิตมากกว่า นี้คือสิ่งที่เปลี่ยนวิธีคิด
SME ONE : กำลังซื้อของต่างจังหวัดกับกรุงเทพมีความแตกต่างกัน จุดนี้เป็นอุปสรรคไหม
คุณมารุต : เราขายกาแฟ Premium Grade แต่ราคาเพียง 70 บาท สิ่งหนึ่งที่คนต่างจังหวัดให้เราได้ คือ Loyalty พอ Loyalty สูงมาก ๆ ใน Quality นี้ เขากินกาแฟอื่นไม่ได้แล้ว เขาก็อยู่กับเราทุกวัน เพราะฉะนั้น เราต้องตอบคำถามว่า Class Cafe อยากเป็นกาแฟที่เป็น Self Reward ที่สัปดาห์หนึ่งกินครั้งหนึ่ง Class Cafe อยากเป็นกาแฟที่อยู่กับเขาทุกวัน พอเราชัดเจนเรื่อง Price Point เราต้อง Friendly กับเขา เราต้องมีช่วงเวลาที่ถูกกว่า 70 บาทได้ไหม ถ้าอยู่ใกล้โรงพยาบาลแล้ว 70 บาทนี่พยาบาลมาซื้อไม่ไหวนะ แล้วถ้าสวิงมา 50 กว่าบาทล่ะ ลด 25% Happy Hour อะ พยาบาลซื้อไหม ซื้อ เอา จัดเลย คนออเต็มหน้าร้าน
เรื่องพวกนี้สำคัญ แล้ว Fly High ของ Class Cafe คือการเคลมจำนวนคนที่อยู่บน Platform ไม่ใช่เคลมยอดขาย แต่การเข้าตลาด ต้องการยอดขาย เพราะฉะนั้นเราก็บอกว่าเราทำตลาด เราทำ Balance เรื่องพวกนี้ให้ไปคู่กันให้ได้ เราโต Double ไปเรื่อย ๆ สัก 2-3 รอบ เราก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว เพราะวันนี้ยอดขายเราอยู่ประมาณ 80 ล้านบาทต่อปี ถ้า Double ไปก็ 180 ล้านบาท Double อีกครั้งก็ 360 ล้านบาทแล้ว เราตั้งเป้าจะเข้าตลาด MAI ปลายปี 2021 หรือต้นปี 2022
SME ONE : ถ้าจะไปให้ถึง 320 ล้าน ต้องขยายไปต่างประเทศหรือไม่
คุณมารุต : : ไม่ต้อง อันนี้คือจุดที่แตกต่างระหว่าง Class Cafe และเด็ก ๆ ที่ทำสตาร์ทอัพ เราไม่ต้องพยามไปให้ไกลมากที่สุด เราอยู่ใกล้กันให้มากที่สุด ผมอะพยายามเปิดสาขาให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ อย่างสยามกับสามย่านใกล้กันมากแต่ไม่กวนกัน ที่โคราช ผมคั่น Class Cafe เปิดให้ใกล้ที่สุดเพื่อจะครอบคลุมตลาดและอยู่กับคนให้มากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเปิดไกล ผมว่าอีสานพอกับเป้าหมาย 320 ล้านบาท เพราะฉะนั้นวีธีคิดเราจะต่างกับสตาร์ทอัพ ที่ปกติต้องไปอินโดนีเซีย ต้องไปฟิลิปปินส์ ต้องไปประเทศนู้นประเทศนี้ แต่ไปแล้วขาดทุน
ผมถึงบอกว่ายังไม่จำเป็น ผมกำลังบอกว่าวันนี้เราคิดว่าเราจะเป็นบริษัท 1,000 ล้านด้วยการ Cover Asia เพื่ออะไร ทำไมเราไม่ทำ 1,000 ล้านได้ตั้งแต่เมืองไทย ในเมื่อต้นทุนก็ต่ำกว่า ความเสี่ยงก็น้อยกว่า นี่คือแนวคิดที่ทำให้ Class Cafe เป็น Hybrid ทำไมเราถึงเป็น SME เพราะเราคิดแค่นี้ว่าเราทำแค่นี้เราก็ถึงเป้าได้แล้ว แล้วถ้าเราครอบคลุมเมืองไทยทั้งหมดก็หลายพันล้านแล้ว เราเอา 1,000 ล้านตรงนี้ก่อน Good Enough แล้ว Class Cafe จะคิดคนละอย่าง
SME ONE : พอเราเป็นสตาร์ทอัพ เราอยากได้สเกล เราคิดจะทำแฟรนไชส์บ้างหรือไม่
คุณมารุต : Class Cafe ไม่คิดจะทำแฟรนไชส์ เพราะว่าเราเปลี่ยนเทคโนโลยีตลอด เทคโนโลยีที่อยู่ด้านหลัง คือสิ่งที่เราเปลี่ยนตลอด Application เป็นสิ่งที่เรา Centralize เราคุมปลายทางไม่ได้ ถ้าเราทำแฟรนไชส์จะทะเลาะกันมั่วไปหมด ผมเห็น Gen ใหม่ ๆ ที่ทำร้านกาแฟแล้วไปทำแฟรนไชส์เนี่ย ทะเลาะฟ้องร้องกันเยอะ ระบบแฟรนไชส์เหมาะกับธุรกิจร้านอาหารที่นิ่งแล้ว แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการ Innovation คุณจะแชร์ค่า R&D อย่างไร คุณจะบอกเขา เดี๋ยวเปลี่ยนเครื่องคิดเงินใหม่เพราะมีเทคโนโลยีใหม่อย่างไรในเมื่อเขาเพิ่งลงทุนไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว มันทำไม่ได้ นี่คือสิ่งที่อธิบายว่าโมเดล Class Cafe ไม่เหมาะกับแฟรนไชส์ เราเหมาะกับการเติบโตแบบ Organic ไปเรื่อย ๆ
SME ONE : อะไรคือ Key Success ของ Class Cafe
คุณมารุต : ผมมองว่า Key Success คือ Staff ของเรา ช่วงโควิด-19 ทำให้เราเห็น กาแฟเราขายไม่ได้ กาแฟเป็นขวดขายไม่ได้ เราไปขายน้ำส้มแทนในร้านเลย ที่นั่งไม่มี เราไปขายออนไลน์ เอา Staff มานั่งทำออนไลน์หมดเลย เราไม่มีทั้ง Space Cafe เราไม่มีทั้งเครื่องดื่มกาแฟที่เราถนัด แต่ทำไมเรารอดมาได้ ทีมงานอย่างเดียวเลย คน คือ Asset Value ของ Class Cafe ที่ดีที่สุดของเรา เรามีพนักงานที่อายุงาน 7 ปีแล้ว ที่ทำ Class ตั้งแต่ปี 1 จนเรียนจบ แล้วก็กลับมาทำงานที่ Class Cafe แต่ไม่ได้กลับมาเป็น Barista กลับมาเป็น Engineer กลับมาเป็น Legal กลับมาเป็น HR ล่าสุดมีกลับมาเป็น Food Science คนกลุ่มนี้คือสิ่งที่เรามีความสุขกับการสร้างเขาขึ้นมาแล้วเราอิ่มใจมาก วันนี้มันมาไกลเกินกว่าที่คิด
ผมมีความสุขแบบไหน ผมแฮปปี้กับจุดที่ว่า ผมไปโรงพยาบาลเพราะปวดหลังแบบขับรถเยอะ เลยไปทำกายภาพ แล้วนักกายภาพบำบัดบอกว่า พี่ทำ Class Cafe หรอ เพราะเห็นพี่ใส่เสื้อ Class Cafe หนูอะจบมาได้เพราะว่าไปนั่งอ่านหนังสือที่ Class Cafe โห แบบเฮ่ย... นี่มันเป็นความสุขที่สุดแล้ว เพราะว่าลูกค้าเรากลับมารักษาเรา เราไม่ต้องทำบุญแล้วรอถึงชาติหน้า สำหรับการทำธุรกิจ นี่คือรางวัลชิ้นใหญ่
อีกหนึ่ง Key Success ก็คือโมเดลกับวิธีคิดของ Class Cafe เป็นเรื่องของการตี Context ที่เราคิด แล้วพอเราคิดแบบนี้ทำให้เราได้รับความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา อย่างสาขาสามย่านนี่เราไม่มีค่าเช่า เราอยู่ฟรี เพราะว่าจุฬาลงกรณ์สนับสนุน Class Cafe ตอนนี้เราทำงานกับหลายมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มศว., มหิดล ทุกคนให้ Space เราหมด เราเปิดพื้นที่ให้ บริหารคนให้ เอากิจกรรมมาลง ทำสร้างสรรค์สังคมให้ ทางมหาวิทยาลัยก็อยากสร้างสตาร์ทอัพแบบนี้ให้เกิดเยอะ ๆ เราก็ร่วมแรงร่วมมือทำ โดยที่พนักงานสาขาสามย่านก็เอานิสิตจุฬามาทำ เพราะเราร่วมมือกับคณะศิลปกรรม
SME ONE : ในตลาดภูมิภาคจะมีความแตกต่างระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองธรรมดา Class Cafe สามารถขยายธุรกิจไปได้ขนาดไหน
คุณมารุต : ตอนนี้เรายังอยู่ในเมือง เราอยู่กับเมือง เราถนัดเมือง เราเป็น Daily เป็นกาแฟที่คนต้องมากินทุกวัน ถ้าไปอยู่เมืองที่เหงา ๆ อาจจะไม่เหมาะ แต่ Class Cafe ใช้วิธีการสร้างเอเย่นต์ ทุกวันนี้เรามีเอเย่นต์ที่เอาเครื่องดื่มเราไปขายในแต่ละอำเภอ วันนี้เราทดลองไปแล้ว 30 อำเภอ เอเย่นต์ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าเรามาก่อน แล้วเรา Convert ให้กลายเป็นคู่ค้ารับสินค้าเราไปขาย คนซื้อก็สั่งผ่านแอปพลิเคชัน แล้วเขาไปส่ง เราเรียกโมเดลนี้ว่า Class Agent ตอนนี้เรามีเอเย่นต์ 14 คน ซึ่งสร้างยอดขายให้เยอะมาก เยอะจนแบบเรา เฮ่ย...ไม่เห็นต้องเปิดสาขาเลย
เพราะฉะนั้น Class Cafe ก็เลยไปทำเรื่องนวัตกรรม ทำยังไงให้ยืดอายุสินค้าได้เป็น 15 วัน 30 วันได้ไหม Class Cafe ทำเรื่องพวกนี้ เราทำ Food Innovation เพราะ Founder อีก 2 ท่านเป็น Food Science เราพยายามพัฒนาเพื่อที่จะยืดอายุสินค้าให้นานขึ้น ทำ Lab ทำ Test กาแฟไป Delivery แล้วรสชาติยังดีอยู่ไหม ความเข้มข้นอยู่ไหม
SME ONE : มีวิธีการคัดเลือกคนที่จะเข้ามาเป็น Agent อย่างไร เผื่อคนอ่านสนใจ
คุณมารุต : ก็ดูความเข้าใจธุรกิจ เพราะในอนาคตพวกนี้จะเป็น Digital Service อนาคตอาจจะมี Service อื่น ๆ เช่น จ่ายบิลได้ไหม จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟได้ไหม เพราะเป็น Digital Service เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็น Digital มาก่อนมี Digital Background สั่งของผ่านออนไลน์นะ รับลูกค้าผ่านทางออนไลน์ เพราะเราไม่ได้มีแบบเป็น Analog แต่เราแบ่งกำไรที่ทำให้เอเย่นต์อยู่ได้ และเราก็ยังมีกำไร ตอนนี้ Class Cafe เป็นโรงงานหมดแล้ว เรามีโรงงานพาสเจอร์ไรซ์ เรามีโรงงานทำกาแฟ โรงคั่วกาแฟ เรามีโรงงานนมบรรจุขวด เรามีฟาร์มปิด
นอกจากนี้เราร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทำ Research ด้วย พวกนี้เป็นการลงทุนที่แลกเปลี่ยนความรู้กัน เราร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสุรนารีทำฟาร์มวัวแบบปิดเพื่อทดลองเรื่องนม มหาลัยได้ความรู้ น้อง ๆ คณะ Food Science มาเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มาทำงานที่ Class Cafe เราจ้างคุณ มหาวิทยาลัยก็สนับสนุน เราก็มี Product ไปขาย เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ใช่การลงทุนที่มากมายมหาศาล
SME ONE : ถามจริง ๆ เราหวงโมเดลไหม ถ้าใครจะเลียนแบบ Class Cafe
คุณมารุต : ทำเลย นี่คือโลกยุคใหม่ คน Collaboration กันเยอะมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ หนึ่ง เรา Open ได้แค่ไหน เรา Control ได้แค่ไหน เรามีมาตรฐานแค่ไหน Class Cafe จะยึดหลัก 60-40 เสมอ คือ 60 เปอร์เซ็นต์เป็นเอกลักษณ์ความเป็นเรา 40 เปอร์เซ็นต์เป็นเขา อย่างเราไปเปิดสาขาในศิลปากร เราเปิด Audition รับ 10 คน แต่มีคนมาสมัคร 300 คน ยิ่งกว่า The Voice เราเปิดที่ธรรมศาสตร์ ที่ขอนแก่นก็เหมือนกัน
อย่างสาขาขอนแก่น สิ่งที่ Amazing ก็คือ เราทำกับ SCG ทาง SCG เอางานสถาปัตมาลง มูลค่าโปรเจกต์สาขานั้น 80 ล้านบาท อยู่ใจกลางขอนแก่นเลย แค่ Sculpture ก็หลายล้านแล้ว พอคอนเซ็ปต์ร้านชัดเจน เราเปิดรับ Audition ปรากฏว่าคนที่มา Audition เป็นเด็กคณะสถาปัตหมดเลย มีทั้งเรียนปริญญาโท ปริญญาตรี เราก็งงว่าน้องรู้ได้ไงว่าสาขานี้มันจะเป็นแนวดีไซน์ น้องเขาบอกว่า Class Cafe จะมีเรื่องงาน Design
Class Café แต่ละสาขาที่ไปเปิดเราจะได้ Partner ที่เป็นบริบทของย่านนั้นจริง ๆ อย่างสาขามหิดล เราก็ได้คนเรียนแพทย์มาเป็น Partner กับเรา หรือที่จังหวัดขอนแก่นสาขาที่ 2 เราอยู่ตรงข้ามศูนย์แพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พอสาขาที่ 3 กลายเป็นเด็กเรียนหมอมาทำงานกับเรา บางทีเรายังคิดเลย เรียนหมอก็หนักอยู่แล้วยังมาชงกาแฟอีกหรือ
SME ONE : สมมติว่าถ้ามีพนักงานออฟฟิศที่โดนลดเงินเดือน หรือลังเลว่าจะออกมาทำธุรกิจร้านกาแฟดีไหม เรามีคำแนะนำอะไรให้บ้าง
คุณมารุต : ตอนนี้วิกฤตน่ากลัวเหลือเกิน เรื่องที่ต้องลงทุนยังไม่อยากให้ลงทุน ไปลงทุนทำร้าน เดี๋ยวเจ๊ง คือเราควรจะเริ่มจากสิ่งที่ไม่ต้องลงทุน เช่น ขายออนไลน์ก่อนได้ไหม ขายผ่าน Platform คนอื่นก่อนได้ไหม ทำร้านที่ไม่ต้องมี Furniture ได้ไหม ทำ Delivery อย่างเดียวได้ไหม เปลี่ยนวิธีคิดที่จะต้องลงทุน เป็นการไม่ลงทุนก่อน แล้วเริ่มต้นให้ได้เร็วที่สุด ทดลองให้เร็วที่สุด อย่าจมอยู่กับความเสียใจ ผิดหวัง โควิด-19 มันกินเราแน่ ๆ แล้วโควิดไม่ได้ทำอะไรเราคนเดียวมันทำกับทุกคน มันเสมอภาคมาก วิกฤตธรรมชาติครั้งนี้ทำให้เราเท่าเทียมกันมาก เพราะฉะนั้นอย่าไปเศร้า แล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ มองหาพลังบวกจากเรา ลุกขึ้นมาทำ ลุกขึ้นมาสู้
อันนี้คือสิ่งที่อยากบอกทุกคน แล้วก็อยากแชร์ทุกคน เหมือนกับสิ่งที่ Class Cafe ทำวันนี้ Class Cafe ไม่ได้รวย Class Cafe ยังเล็กมากนะ แต่ Class Cafe ออกมาทำ Platform เพื่อช่วยคนและคิดที่จะช่วยคนตลอดเวลาได้
SME ONE : ถ้าเป็นสภาวะปกติ แล้วคนอยากจะทำร้านกาแฟพอจะมีคำแนะนำไหม
คุณมารุต : ไม่แนะนำให้ทำร้านกาแฟ คือมันจะมีธุรกิจอะไรที่มีคู่แข่งเกิดได้ทุก 2 ชั่วโมงก็ร้านกาแฟนี่แหละ เดินเข้าร้านขายเครื่องกาแฟ อีก 2 ชั่วโมงมาพร้อมอาวุธครบมือ เพราะฉะนั้นธุรกิจนี้เป็น Red Ocean เปิดแล้วโอกาสเจ๊งมันสูงมาก อย่าทำเลย ไปลองคิดขายอย่างอื่น ขาย Bakery ขายชานมไข่มุก ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่กาแฟ ร้านกาแฟมันถูกลงทุนโดยไม่ได้คิด ROI ลงทุนโดยที่เราเห็นร้านแบบแพง ๆ ขาย 90 บาท 40 บาท วันนี้เห็นเครื่องแพง ๆ เอารุ่น Black Eagle ล้านกว่าบาทมาลงในร้าน แล้วจะอยู่ยังไง คืออยู่ไม่ได้ แถมยังมีประเภทคนหน้าตาดี หล่อ นายแบบ ดารามาทำร้านกาแฟอีก แล้วคุณจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา ร้านกาแฟมีคน Success ไม่เยอะ
ร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ถ้าดูดีๆ จะมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นมากมาย ตลอดเวลาบางร้านเปลี่ยนเจ้าของไปไม่รู้กี่รอบ เจ้าของเดิมไม่อยู่แล้ว เพราะว่าถ้าดีจริงมันต้องทำต่อ
การทำธุรกิจในปัจจุบัน ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องทำคนเดียวเสมอไป แต่สามารถหาพาร์ทเนอร์ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมาทำงานร่วมกัน หรือที่เรียกว่า Collaboration วิธีนี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการมีโฟกัสทางธุรกิจในสิ่งที่ตนเองถนัด ในขณะเดียวกันก็สามารถพัฒนาธุรกิจไปยังพื้นที่อื่นที่ไม่มีความถนัดได้ แต่การพัฒนาธุรกิจในรูปแบบนี้ สิ่งที่ต้องคำนึง ก็คือทุกความร่วมมือจะต้องรักษาความเป็นตัวตนของแบรนด์ (Brand Positioning) ไว้ให้อยู่คงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
Published on 25 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย