SME ถ้าเราไม่สูง เราก็ต้องเขย่ง ถ้าเราไม่เก่ง เราก็ต้องขยันขวนขวาย
DEESAWAT เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ออกไปสร้างชื่อเสียงให้กับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทยมาหลายสิบปี จากจุดเริ่มต้นในธุรกิจโรงไม้และผู้ผลิตเฟอร์เนิเจอร์ไม้ฝังมุกในเจนเนอเรชั่นที่ 1 สู่ยุคการสร้างแบรนด์อย่างเต็มตัวในเจนเนอเรชั่นที่ 2
ทุกวันนี้ DEESAWAT ยังคงพัฒนาแบรนด์ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างเอกลักษณ์ของงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ผ่านงานดีไซน์ ภายใต้โจทย์ที่ท้าทายกว่าเดิมเพราะมีเงื่อนไขใหม่อย่าง BCG (Bio-Circular-Green Economy) เข้ามาเกี่ยวข้อง
วันนี้ จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรม ดีสวัสดิ์ จำกัด จะมาอธิบายการทำธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องเข้าใจคำว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว” ให้ฟัง
SME One : ย้อนกลับไปในวันที่ DEESAWAT ทำแบรนด์อย่างจริงจัง เหตุผลมาจากอะไร
จิรวัฒน์ : เราเริ่มสร้างธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จากฟังก์ชัน เนื่องจากธุรกิจครอบครัวขายไม้มาก่อน ทำให้เราสามารถจะเลือกไม้ได้ดี พอเรามาทำแบรนด์เองก็เอาไม้ที่ดีที่สุดที่เรามีมาทำเฟอร์นิเจอร์ เริ่มต้นจาก Core Value ของเรา คือเป็นผู้ผลิตไม้จริง เรามีฝีมือในการทำไม้ที่ดี และมีวัตถุดิบที่คุณภาพดีอยู่เต็มโรงงาน จากนั้นเราก็พยายามตอบโจทย์ความต้องการเรื่องดีไซน์เพิ่มขึ้น พยายามหาดีไซน์ที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันมากขึ้น พัฒนาแบบให้ดีขึ้น เรามีรับจ้างผลิต OEM ให้หลายแบรนด์ ขณะเดียวกันเราก็บอกกับตัวเองว่า เราไม่อยากจะพึ่งจมูกคนอื่นหายใจจึงเริ่มศึกษาเรื่องการสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง
เราใช้เวลาในการพัฒนาแบรนด์ DEESAWAT ขึ้นมาพอสมควร เริ่มจากศึกษา Character เราพยายาม Identify สร้าง Corporate Identity วาง Character ออกมาให้ชัดเจน เพื่อจะพัฒนาแบรนด์ต่อไปเรื่อย ๆ
จนถึงปัจจุบันเรื่องการสร้างแบรนด์ก็ยังถือว่าเป็น Work in Progress เราก็ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จากจุดเริ่มต้นที่เราสร้างขึ้นมาคือ เป็นผู้ชำนาญเรื่องไม้
ไม้สัก คือสินค้าหลักของเรา เพราะสักเป็นไม้ที่ใช้งานภายนอกสนามได้ เป็นไม้ที่มีความมั่นคงสูง ตากแดดตากฝนได้ มีความแข็งแรงทนทาน สีสันสวยงาม ทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี
SME One : การทำธุรกิจในช่วงแรกๆ กับปัจจุบันการทำธุรกิจแตกต่างกันอย่างไร
จิรวัฒน์ : ยุคนึงเราขายฟังก์ชันแล้วก็เปลี่ยนมาเน้นดีไซน์ ตอนนั้นเรามองเห็นว่าโจทย์เรื่องดีไซน์สำคัญ บางช่วงก็เน้นเรื่อง Creative Economy แต่ในยุคปัจจุบันต้องบอกว่าลำพังงานดีไซน์อย่างเดียวไม่พออีกต่อไป เพราะตอนนี้ภาคอุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่ยุค BCG คือเรื่องของ Bio-Circular-Green Economy เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เราทำต้องตอบโจทย์ Sustainable Development โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม
คราวนี้พอพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ทำจากไม้มักจะตกเป็นผู้ร้ายในสายตาคนบางกลุ่ม แต่ในความเป็นจริงไม้ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นสิ่งดี ๆ สำหรับการเอาทรัพยากรมาใช้ ถ้าการได้มานั้นถูกกฏหมาย
เราพยายามตีโจทย์เรื่องของ Sustainable Development ถามว่าตีโจทย์อย่างไร ก็กลับไปที่ตัวไม้ ซึ่งจริงๆ ไม้เป็นอะไรที่ Green เป็นวัตถุดิบที่ Green ที่สุดในโลกอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้เอามาจากพื้นที่ที่มีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และถ้ามีแหล่งที่มาอย่างถูกต้องนะครับ
มาถึงเรื่องพลังงานที่ใช้ในการทำเก้าอี้ 1 ตัว ถ้าเปรียบเทียบ Carbon Footprint ในแต่ละวัสดุ ไม้มีค่า Carbon Emission ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเก้าอี้ที่ทำจากวัสดุอื่นๆ เทียบกับเก้าอี้ที่ทำจากพลาสติก เก้าอี้ที่มีส่วนผสมอื่น ๆ หรืออะลูมิเนียมที่หล่อขึ้นมา
SME One : ดูเหมือนว่าคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร
จิรวัฒน์ : ใช่ครับ ผมยกตัวอย่างความเข้าใจกับสิ่งที่คนเข้าใจ เหมือนกับกัญชาที่คนบางกลุ่มมองกัญชาเป็นยาเสพติด เป็นที่สิ่งที่ไม่ดี แต่กัญชามีสรรพคุณทางยาที่ดีมาก พอเริ่มมีการให้ความรู้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องภาพลักษณ์ของกัญชาก็เปลี่ยนจากผู้ร้ายไป
หนังไทยในอดีต เวลาผู้ร้ายจับนางเอกมาก็ต้องมาขังในโรงไม้ โรงไม้คือมาเฟีย คือธุรกิจผิดกฏหมาย เจ้าของโรงไม้คือผู้ร้าย พอคนจำภาพนี้ในสมองนาน ๆ อะไรที่เกี่ยวข้องกับไม้นี่คือผู้ร้าย ต้องตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจไม้มีเรื่องของ Sustainable Development แล้ว ไม้จากอเมริกา ไม้จากยุโรปนี่มีการพัฒนาอย่างยั่งยื่น ไม้คืออะไรที่ Eco Friendly เพราะปลูกใหม่ได้
เวลาผมประมูลงานงานต่างประเทศ ผมจะนำเสนอในเรื่องของ Green Building ถ้าใช้ไม้สามารถจะตอบโจทย์ Green Building ได้ทันที แต่ในเมืองไทย เฮ่ย...ไม่ได้ Green Building มันทำลายป่า จะ Green ได้อย่างไร คือตรงกันข้ามเลย
ทุกวันนี้เรากำลังตีโจทย์ใหม่ เราเริ่มทำเรื่องของ Social Design เราต้องมองโจทย์ของสังคมกับการพัฒนา โชคดีที่เราเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวนะครับ การที่เราเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว หมายถึงเราสามารถจะเปลี่ยนตัวเองได้ต่อเนื่อง ถ้าเราเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เราจะไม่ Flexible เลย
วันนี้โจทย์ที่สำคัญของอุตสาหกรรม SMEs ก็คือคุณต้อง Flexible พอที่จะตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบันเวลาคุยกันเรื่องเศรษฐกิจ ยุคอุตสาหกรรมก็หนีไม่พ้น BCG เพราะฉะนั้นถ้าคุณตอบโจทย์ตรงนี้ได้ คนก็จะหันมาฟังคุณ ผมหมายถึงทุกอุตสาหกรรมนะ ไม่ใช่เฉพาะเฟอร์นิเจอร์
พอเราเข้าใจเราก็หยิบเอาจุดนี้มาสร้างเป็น Content ทุกวันนี้เราจับมือกับชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่ในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จับมือกับคนในชนบทไกล ๆ จับมือกับ OTOP การจับมือกับคนตัวเล็กในลักษณะนี้ทำให้เราดูใหญ่ขึ้น ทำให้เราดูน่าสนใจขึ้น มี Character ที่ชัดเจนขึ้น
SME One : ทุกวันนี้เวลาผู้บริโภคมอง DEESAWAT เขาเห็น Character อะไรในตัวเรา
จิรวัฒน์ : ความเป็น Craftmanship คือเป็นผู้ผลิตสินค้าคุณภาพของไม้แปรรูปชั้นดี เกรดดีที่สามารถทำเนื้องานได้คุณภาพ งานเนี้ยบ ไม้เกรดสวย ส่วนเรื่องดีไซน์เขาจะมองเป็นดีไซน์ที่เรียบง่าย ตีโจทย์เลย ถ้า DEESAWAT ก็คือ Simple Design
ผมใช้คำว่า Simple Design ไม่อยากจะใช้ว่าเป็นเอเชีย เพราะปัจจุบันคำว่า Simple Design มันเป็นสมบัติของทั้งโลกไปแล้ว ไม่ใช่สมบัติของใครคนหนึ่ง DEESAWAT ไม่ได้ตีโจทย์มาเป็นสัญชาติ
แต่ถ้ามองในภาพรวม เนื่องจากเวลาออกแบบ เราจะเน้นงานค่อนข้างโค้งมน เวลาเราตีโจทย์แบรนด์ของเราเอง เราเหมือนผู้หญิงสวย ๆ เรามองว่า Character ของแบรนด์ DEESAWAT ไม่ใช่คนที่แข็งทื่อ เราออกแบบให้ DEESAWAT เป็นผู้ใหญ่ที่มีดีไซน์ในหัวใจ และมีรสนิยม
SME One : พอ DEESAWAT มีตัวตนที่ชัดเจนแล้ว เราเจอปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบบ้างหรือไม่
จิรวัฒน์ : เป็นเรื่องปกติเลย เราทำได้อย่างเดียวถ้าเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ คือ ทำใจ อย่างที่บอกไป เราเห็นคนทำสินค้าเลียนแบบกระเป๋าหลุยส์ วิตตองออกมามากมาย ถ้าเขาไม่ดีจริงคนจะ Copy ไปทำไม นึกออกไหมครับ ลูกค้าที่อยากซื้อของปลอมก็ไม่ใช่ลูกค้าเราอยู่แล้ว
SME One : ปัญหา COVID-19 เราได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
จิรวัฒน์ : ตั้งแต่โควิดมา Project ในต่างประเทศก็จะ Slow Down แต่ก็ยังมียอดเข้ามาบ้าง ส่วนในเมืองไทยนี่เห็นได้เลยว่าถ้าเราผูกธุรกิจกับโรงแรมตัวเลขก็จะนิ่งเลย ของยังไม่ต้องส่งเลย เพราะว่าโรงแรมก็ยังปิดอยู่ ก็กลายเป็นว่า DEESAWAT ได้รับผลกระทบจากธุรกิจ Hospitality กลุ่มโรงแรม ร้านอาหารที่ต้องใช้เฟอร์นิเจอร์
ต้องยอมรับว่าผลกระทบนี้จะยังคงมีไปอีกระยะหนึ่ง ก็ต้องกลับไปโฟกัสกลุ่มประเทศที่ต้องการใช้งานซึ่งยังมีอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากว่าเราไม่ได้จับตลาดเดียว เราจับหลายตลาดก็หวังว่าหลายตลาดพวกนี้จะช่วยทำให้เรา Balance และอยู่ได้ผ่านจากช่วงโควิดตรงนี้ไปได้
เราก็ยังต้องหาโอกาสออกงาน อย่างตอนนี้ก็เป็น Virtual Exhibition ซึ่งทุกคนก็บอกว่าได้ผลไม่ดีเท่าปกติ คือในตลาด Consumer คนก็ยังไม่ซื้อเฟอร์นิเจอร์ผ่าน Virtual คนอยากซื้อเก้าอี้ก็ยังอยากไปดู อยากไปลองนั่ง แต่เราก็หยุดทำไม่ได้ ทั่วโลกจัดงาน Virtual เราก็ไปแสดง ขณะที่กรมส่งเสริมจัดงานเกี่ยวกับ Virtual เราก็ไปแสดง เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่าเรายังทำธุรกิจอยู่
ในภาพรวมของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในเมืองไทย เรายังเติบโตขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ลดลง
SME One : ทุกวันนี้ DEESAWAT ส่งออกภูมิภาคไหนเป็นตลาดหลัก
จิรวัฒน์ : หลัก ๆ ก็ยังคงเป็นอเมริกา อย่างของญี่ปุ่นก็จะเป็น Project ขนาดเล็กหน่อย และจะมีงานแปลก ๆ เข้ามา ล่าสุดลูกค้าที่เข้ามาจากอเมริกา คนที่ลงทุนก็กลายเป็นเจ้าของเป็นคนจีน แต่ชอบความเป็นไทย ๆ มาก อยากได้งานแกะสลัก คนอาจจะไม่ค่อยเห็น DEESAWAT ทำงานแกะสลักออกมา พอเราทำออกมาก็สวยงามพอสมควรเลย เพิ่งจะส่งตัวอย่างไปให้ลูกค้าเมื่อไม่กี่วันมานี้
SME One : ด้านการแข่งขันในภูมิภาคนี้ ประเทศไทยเป็นอย่างไรในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์งานไม้
จิรวัฒน์ : ถ้าดีไซน์กับคุณภาพ ผมเชื่อว่าไทยเราอยู่ลำดับต้น ๆ ในเอเชีย ตอนนี้เบอร์ 1 ในเอเชียก็ต้องยอมรับว่าคือ จีน เบอร์ 2 ในเอเชียคือเวียดนาม เบอร์ 3 คืออินโดนีเซีย เบอร์ 4 คือมาเลเซีย เบอร์ 5 คือประเทศไทย
มีหลายคนถามผมว่า เราจะชนะอันดับที่ 4 ได้ไหม ตอบว่าไม่ได้ เพราะตัวเลขระหว่างที่ 4 กับที่ 5 ต่างกันประมาณเท่าตัว พูดง่าย ๆ ว่าเราโตขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ใช่ว่าจะชนะ เราต้องโตขึ้น 150 เปอร์เซ็นต์ เราถึงจะชนะ
ผมถึงบอกว่า เราแข่งขันด้านอื่นดีกว่า ถ้าสมมติเราต้องแข่งมวยปล้ำ อย่างไรเราก็สู้พวกฝรั่งตัวใหญ่ไม่ได้ วันนี้เราต้องเอาดีด้านไหน ด้านมวยไทย เราต้องหามวยไทยในโลกของเฟอร์นิเจอร์ เราถึงจะชนะได้
มวยไทยเรื่องของเฟอร์นิเจอร์คืออะไร ตัวอย่างที่ผมมองเป็นมวยไทย คือ ไม้สัก พอพูดถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก คู่แข่งของเฟอร์นิเจอร์ไม้สักมีใครบ้าง เราตัดเวียดนามออกไปเลย เราเจอใคร เจออินโดนีเซีย เห็นไหมครับ คู่แข่งเราเหลือแค่ เรากับอินโดนีเซียทันที พอเราเลือกมวยไทยทำให้เรามีโอกาสแข่งกันได้มากขี้น
หรือผมเลือกใหม่ ผมเลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้ Outdoor ตลาด Outdoor ก็ต้องใช้ไม้ที่ Outdoor ได้ก็เหลือไม่กี่เจ้าในโลก ถ้าเราเลือก Niche Market ที่เราแข็งแรง ผมเชื่อว่าเราทำได้ เราต้องรู้จักตัวเราเองก่อน แล้วอย่าหลอกตัวเองว่าเราเก่งเฟอร์นิเจอร์พลาสติก เราเก่งเรื่องเฟอร์นิเจอร์เหล็ก พอไปเทียบกับเมืองจีนก็ฟ้ากับดิน ต้องยอมรับก่อนตรงไหนเราไม่เก่ง แล้วถ้าเราไม่เก่ง เราทำอะไรได้ก็จับมือสิ ทำไมคุณไม่บินไปจับมือกับเมืองจีนเลย พัฒนาแบรนด์เป็นของตัวเองเลย ก็เก่งขึ้นมาได้ ถ้าคุณมีความสามารถ ปัจจุบันคุณเชื่อมโยงโลกได้อยู่แล้ว
SME One : ที่ผ่านมา DEESAWAT เคยไปขอคำปรึกษากับทางภาครัฐบ้างหรือไม่
จิรวัฒน์ : DEESAWAT เติบโตขึ้นมาได้เพราะคำปรึกษาจากภาครัฐเลย ผมกล้าพูดตรง ๆ ผมว่าประมาณเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนที่คุณพ่อเสียใหม่ ๆ สิ่งแรกที่เราทำคือเดินไปที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตอนนั้นชื่อ DEP ก่อนจะเปลี่ยนเป็น DITP
ผมเข้าไปกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แล้วเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการเลยว่าผมอยากส่งออกจะเริ่มต้นอย่างไรดี ตอนนั้นผมส่งออกไม่เป็นเลย ทางศูนย์ฯ ก็แนะนำให้ไปเรียนหลักสูตรเพิ่มเติม แนะนำให้มาออกงานแสดงสินค้า ผมบอกได้เลย DEESAWAT โตมาจากศูนย์ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันนี้ผมยังต้องทำงานใช้คืนด้วยการเป็นวิทยากรบรรยายให้กับทางกรมด้วย เพราะก็ถือว่าเราโตมาได้เพราะที่นี่
อีกกรมนึงที่ผมประสานงานคือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ผมใช้ทั้ง 2 กระทรวงเลย ตอนนั้นเราจะทำการผลิตเป็นเชิง Mass ผมวิ่งเข้าหากระทรวง เข้าหากรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองบริการอุตสาหกรรม เข้าไปขอความช่วยเหลือ ทางกรมฯ ส่งทีมมาช่วย ตอนหลัง ๆ ที่ผมโตขึ้นมาแล้ว แล้วก็มีหน่วยงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น สสว. (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) หรือ ISMED (สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ที่มาช่วยพัฒนาคนตัวเล็กให้แข็งแรงขึ้น
SME One : DEESAWAT มีวิธีการที่ต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจอย่างไร
จิรวัฒน์ : A : อย่าหยุดพัฒนา ยกตัวอย่าง ในส่วนต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำจะขยายอะไรได้บ้าง
ต้นน้ำ วัตถุดิบตอนนี้เราโดนล็อกไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราต้องใช้ไม้กลุ่มนี้ เราอยากใช้ไม้สวนป่า ตอนนี้ก็มีไม้สวนป่าออกมาในตลาดแล้ว แต่ว่าปัญหาของไม้สวนป่า คือเป็นมีไม้กระพี้ไม่สามารถจะตากแดดตากฝนได้ ไม้สวนป่าจึงไม่สามารถที่จะเอาไปเชิง Outdoor ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องนำมาผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Heat Treatment คือการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของไม้ ทำให้ไม้สามารถตากแดดตากฝนได้
ผทสนใจที่จะทำ Treatment เหมือนกัน เพื่อจะนำเอาไม้สวนป่าที่ชาวบ้านปลูกไว้ 15 ปี 16 ปีออกมาใช้ได้จริงจัง สมมติถ้าทำตรงนี้สำเร็จ เราสามารถจะเชื่อมโยงกับผู้ปลูกสวนป่าทั่วทุกจังหวัดเลย สามารถสร้างตลาดให้เกิดขึ้นจริง
เรื่องเทคโนโลยีในการผลิต เราสามารถจะพัฒนาเครื่องโดยใช้ใบเลื่อยที่บางลง ปกติจะเปลืองไม้ถ้าใบเลื่อยหนา เสียไม้ทีละ 4-5 มิลฯ ในการเลื่อย 1 ครั้ง ถ้าทำใบเลื่อยให้บางลง การเลื่อยแต่ละครั้งคุณจะเสียไม้น้อยมาก เสียไม้น้อยลงแปลว่า Efficiency ดีขี้น ประหยัดไม้มากขึ้น
ส่วนการพัฒนาออกแบบดีไซน์ คุณสามารถจะพัฒนาออกแบบดีไซน์ที่สามารถจะ Utilize ที่สามารถที่จะใช้ไม้ในส่วนต่าง ๆ ให้เหมาะสมขึ้น และขณะเดียวกันคุณสามารถจะสร้าง Identity ตัวเองใหม่นะครับ เพื่อที่จะไปตอบโจทย์กับชุมชนในต่างจังหวัดได้
ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งแบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ที่ไม่เข้ากับไลน์เก่า เป็นเหมือนแบรนด์พี่น้องกัน แต่ออกมาจับกลุ่มคนรุ่นใหม่
SME One : อะไรคือ Key Success ของ DEESAWAT
จิรวัฒน์ : ผมว่าคือ Flexibility การที่เราบริหารกันเอง ตัดสินใจที่ตัวเอง เราปรับเปลี่ยนตัวเอง ถ้าเราคิดว่าไม่ดีพรุ่งนี้เราก็เปลี่ยน สมมติว่าเรารู้สึกว่าเดินผิดทาง ก็ยูเทิร์นสิ ออกมาเลย เปลี่ยนเลย เรื่องที่ 2 ที่ผมมองว่าเป็น Key Success คือทีมพนักงานเก่าเราแข็งแรงมาก พนักงานเรามีตั้งแต่ยุคลูกน้องคุณพ่อตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดีคือ Loyalty สูงมาก ข้อเสียคือ อายุมาก อยู่กับเรามานาน ผมเป็นห่วงเรื่องคนกลุ่มนี้จะเกษียณพร้อม ๆ กัน จะทำให้เราสะดุดเรื่อง Human Resource
SME One : เราเป็นรุ่นที่ 2 ที่ทำธุรกิจมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว จากนี้ต่อไปอะไรคือความท้าทายของ DEESAWAT
จิรวัฒน์ : ความท้าทายใน Gen ที่ 2 คำถามคือเราจะสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในโลกใหม่อย่างไร วันนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก สมัยโลกที่เราเด็ก ๆ มีเรื่อง Bitcoin ไหม...ไม่มี มีเรื่อง FinTech ไหม...ไม่มี
คือโลกวันนี้เป็นโลกของออนไลน์ คุณต้องเก่งออนไลน์ คุณถึงสามารถทำยอดได้ แต่เรายังทำตลาดออนไลน์ยังได้ไม่ดี ผมใช้คำว่าเรายังไม่ได้เป็นมืออาชีพก็แล้วกัน เราไม่เข้าใจ Instagram นึกออกไหม แต่เรามีความพร้อมที่จะยอมรับมัน โลกวันนี้เป็นโลกออนไลน์
ผมเชื่อว่าราคาเฟอร์นิเจอร์ Mass วันนี้ถูกกว่าสมัยก่อน 20 ปีก่อน ฉะนั้นโจทย์วันนี้ จริง ๆ เป็นเรื่องของ Competition ใครแข็งแรงกว่า ถูกกว่าอยู่ได้ ถึงแม้เราพยายามจะตีโจทย์คำว่า Classic คำว่า Classic ยังขายได้อยู่ แต่ถ้าแพงเกินไปมันก็ไม่รอด เราต้องยอมรับ Material ใหม่ ๆ ผมถึงได้มองมาที่แบรนด์ใหม่ที่ว่าจะต้องพยายามสร้างแบรนด์ให้ราคาถูกลง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ๆ ได้
SME One : อยากจะรบกวนคุณจิรวัฒน์ช่วยให้คำแนะนำกับ SMEs จะแนะนำอะไร
จิรวัฒน์ : ถ้าเราไม่สูง เราก็ต้องเขย่ง ถ้าเราไม่เก่ง เราก็ต้องขยัน มันมีอะไรที่เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา SMEs ต้องขวนขวายที่จะเรียนรู้ ต้องพัฒนาตัวเอง และต้องพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเอง ต้องกล้าออกจาก Comfort Zone เหมือนที่เราทำอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณไม่กล้า คุณก็ต้องอยู่ตรงที่เดิม
ผมเคยชวนเพื่อนไปบุกไปเมืองจีน ตลาดเมืองจีนเป็นคู่แข่งที่สำคัญ แต่ขณะเดียวกันเป็นลูกค้าที่สำคัญ ตอนนี้ยอดขายของเฟอร์นิเจอร์ที่เราส่งไปเมืองจีนเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น พอบอกว่าเราจะบุกเมืองจีน เพื่อนผมที่เป็นมาเลเซีย มาเลเซียเขารวบรวมมาแล้วตอนนี้ 100 กว่าคน แต่พอหันมาเมืองไทย ไม่มีใครไปกับผมเลย มีผมไปคนเดียว กลายเป็นว่าประเทศไทยมีคนที่กล้าออกจาก Comfort Zone น้อยมาก
พูดภาษาจีนไม่เป็นจะไปได้อย่างไร...อ้าวหรอ
เอกสารยุ่งยาก ขี้เกียจทำ...อ้าวหรอ
ทีนี้จะเก็บเงินอย่างไร... อ้าวหรอ
เห็นไหมครับ ทุกคนมองเป็นปัญหาหมดเลย ถ้าไม่ยอมออกจาก Comfort Zone แล้วจะทำอะไรดี ก็ทำได้อย่างเดียวครับ ทำใจ
บทสรุป
ความสำเร็จของ DEESAWAT มาจากการรู้จักจุดอ่อน จุดแข็งของแบรนด์ตัวเอง และพยายามเลือกสนามแข่งที่มีคู่แข่งขันน้อย โดยหยิบเอาความเชี่ยวชาญในการผลิตเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งที่ผลิตจากไม้สัก และความเข้าใจในงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไม้ มาสร้างเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันจนเป็นที่ยอมรับในแวดวงเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั่วโลก
เกือบทั้งชีวิต เสกสรรค์ อุ่นจิตติ หรือ “ตุ้ย” เจ้าของฟาร์ม “จอนนอนไร่” ทำงานในอุตสาหกรรมโฆษณามาตลอด เขาไต่เต้าตั้งแต่เป็นกราฟิก ดีไซเนอร์จนขึ้นเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ผลงานโฆษณาของเสกสรรค์คว้ารางวัลมากมายในเวทีประกวดงานโฆษณาทั้งในไทยและต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายในแวดวงโฆษณาของเสกสรรค์ คือเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี แมทช์บ็อกซ์ จำกัด ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาเป็น Food Maker เต็มขั้น
จากงานโฆษณาที่เปรียบได้กับถนน Super highway เพราะมีการแข่งขันสูงมาก วันนี้เสกสรรค์เปลี่ยนมาใช้ชีวิตความเป็นแบบกึ่ง Slow life คลุกคลีกับการปลูกผักออแกนิกส์ กระนั้นก็ดีประสบการณ์ด้านงานสื่อสารการตลาดและความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงถูกนำมาต่อยอดสินค้าให้กับจอนนอนไร่
เสกสรรค์อธิบายว่าตอนกลางวันเขาสวมวิญญาณของ “จอน” เพื่อทำการเกษตร พอตกดึกเขาเปลี่ยนร่างจากจอนเป็น “ตุ้ย” ที่มักจะคิดทดลองปลูกอะไรใหม่ๆ จนออกมาเป็นแนวคิดล่าสุดที่อยากให้ผู้บริโภคเลือกกินอาหารเป็นยา
SME One : จุดเริ่มต้นของจอนนอนไร่ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เสกสรรค์ : ย้อนไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งผมถือว่าเป็นช่วงท้ายๆ ของการเป็นครีเอทีฟโฆษณา เนื่องจากโดยตำแหน่งต้องรับผิดชอบด้านงานบริหารมากขึ้นทำให้เริ่มไม่สนุก จนมาถึงจุดพลิกผันคือผมชอบถ่ายภาพลง Instagram จนมีชื่อเสียง มีคนติดตามมากมาย และมี Follower ต่างชาติทักเข้ามาคุยว่าประเทศไทยมีของดีมากมาย จนเกิดความคิดที่จะตระเวณถ่ายภาพใน #77provincesthailand คนเดียว นั่นคือประตูอีกบานหนึ่ง
คราวนี้ผมมีบ้านอยู่ที่กลางดง โคราช ผมสร้างบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่ Brainstorm การทำงานมาตลอดชีวิตในช่วงโฆษณา เป็นเหมือนเป็น Base Camp ผมเริ่มถ่ายภาพที่อีสาน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมได้เห็นชนบทแบบจริงๆจังๆ งานถ่ายภาพต้องถ่ายเช้ามืด ต้องรอตั้งแต่ตี 5 แต่ 7 โมงก็เลิก เวลาที่เหลือทำให้มีโอกาสไปเดินเล่นในป่าเขา มีโอกาสเดินเล่นในตำบลเล็กๆ เดินดูวิถีชาวบ้านแล้วมีความสุขมาก นี่คือประตูอีกบานหนึ่ง
การได้เห็นมุมมองใหม่ๆ แต่ความหลงใหลยังไม่เกิด แต่เริ่มรู้สึกว่าสนุก จนกระทั่งมีโอกาสได้ลองกินผักออแกนิกส์มากขึ้น สมัยก่อนผมไม่ได้กินผักเยอะ ผมรู้สึกว่าผักออแกนิกส์มันอร่อย ผมไม่ได้รักษ์โลกนะ แต่ผมพูดได้ว่าผักออแกนิกส์ คือ ผักอินทรีย์ผักที่อร่อยที่สุดในโลก อร่อยจนตกใจ ไม่เหมือนผักในเมืองที่ใช้เคมี จนตัดสินใจว่าจะออกมาทำเกษตรอินทรีย์ และใช้เวลาโอนถ่ายงานประมาณ 1 ปี
SME One : ชื่อจอนนอนไร่มาจากไหน
เสกสรรค์ : จอนนอนไร่มาจากตัวผมหมดเลย แบรนด์ คือตัวตน ถ้าคุณจะสร้างแบรนด์คุณต้องสะท้อนตัวตนทั้งหมด งานด้านเกษตรของผมเริ่มต้นจากความสนุก ตลอดชีวิตตั้งแต่ทำโฆษณามาผมทำด้วยความสนุก ความสนุกมันจับต้องได้ ความสนุกมันทำให้คุณอยากตื่นเช้าขึ้นมาทุกวัน ถ้าคุณไม่สนุกคุณจะขี้เกียจตื่นเช้า เพราะฉะนั้นชื่อแบรนด์ของผมต้องสนุกเหมือนตัวผม
ส่วนตัวผมชอบจอห์น เลนนอนมานานแล้ว ช่วงที่เล่น Instagram ผมก็ตั้งชื่อ “จอนนอนเล่น” ก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อเป็น “จอนนอนไร่” ผมเชื่อว่าแค่นี้มันก็ Different แล้ว คนจำได้ง่าย
SME One : ช่วงแรกของการตั้งต้นเป็นผู้ประกอบการ SMEs คิดไว้หรือไม่ว่าเกษตรอินทรีย์จะมาได้รับความนิยมในปัจจุบัน
เสกสรรค์ : จังหวะที่ผมเริ่มมองเป็นธุรกิจมันเกิดขึ้นก่อนเป็นจอนนอนไร่นิดนึง พอดีลูกค้าโฆษณารายใหญ่ของผมมีไร่เกษตรอยู่ แล้วผมมีโอกาสได้ไปทำงาน ได้ไปเรียนรู้ที่ไร่ ผมเชื่อตั้งแต่ 10 ปีก่อนว่าออแกนิกส์จะเป็นสิ่งทดแทน แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
10 ปีที่แล้ว ผู้คนจะต้องต้องการอะไรที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นนะครับ ณ วันนั้นมันคือการวางแผน ตัวผมเองครึ่งหนึ่งเป็นนักวางแผน ครึ่งหนึ่งเป็นลูกบ้าหรือความคิดสร้างสรรค์ เวลาผมพูดที่ไหน ผมมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องของ Short-term Medium-term แล้วก็ Long-term ผมจะบอกให้ทุกคนมองอย่างต่ำ Short-term คือ 3-5 ปี 10 ปีแล้วก็ 20 ปีเลย
SME One : ปัญหาที่เจอในการเป็นผู้ประกอบการ SMEs คืออะไร?
เสกสรรค์ : แรกๆ ก็เจอปัญหาเรื่องราคา แต่ต่อมาก็พบว่าคนไม่ได้กินเพราะราคาเป็นปัจจัยแรกทุกคน สมมติว่าคุณไปของคุณจะไปซื้อของ คุณซื้อของที่ราคาถูกที่สุดตลอดหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ เช่นคุณจะไปซื้อครีมทาผิวก็อาจจะมีครีมทาผิวที่ถูกที่สุด แต่คุณจะหาครีมทาผิวที่คุณต้องการมากที่สุดมากกว่า
ทีนี้เราก็ต้องมามองตัวเองว่าสินค้าเราเหมาะกับตลาด Mass หรือเปล่า ผมไม่ใช่คน Mass กระดุมเม็ดนี้ต่างกัน ถ้าผมจะทำ Mass ผมต้องใช้อีกบทนึงเลย คุณก็ต้องไปแกะปัญหาใหม่ ทีนี้พอบอกผมไม่ทำ Mass ผมทำ Niche Market ตลาด Niche ของผมคืออะไร ผมว่ามันมาจากนิสัยของผมที่ชอบกินของแปลกๆ แล้วขี้เบื่อ พอเบื่ออะไรทำแป๊บๆ ผมก็หาตัวใหม่มาทำ
อย่างเช่นผมทำโยเกิร์ต ผมเริ่มสตาร์ทโยเกิร์ตง่ายๆ ทั่วไป ผมก็ทำโยเกิร์ตกุหลาบ คนก็ตกใจแล้วเพราะมันแตกต่างอย่างชัดเจน ฝรั่งยังงงว่าผมทำโยเกิร์ตดอกไม้ ไม่กี่วันมานี้ก็เพิ่งปล่อยโยเกิร์ตทุเรียนออกไป ก็ตอนนี้หน้าทุเรียนก็ทำโยเกิร์ตหมอนทองเลย
ฉะนั้นวันนี้เราไล่กลับไปหานายตุ้ยที่เป็น Creative นี่ไม่มีอะไรแตกต่างเลย มันเป็นเพียงแค่สมุดชีวิตคนละเล่มที่ผมปิดเล่มนั้นไปและผมเปิดเล่มนี้ใหม่ งานของผมจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่รุนแรงเหมือนเดิม ใช้การค้นคว้าที่หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำที มันแค่เป็นการเปลี่ยนวิธีนำเสนอ เปลี่ยนเครื่องมือจากจอต่างๆ เป็นดิน เป็นพืชพรรณ
อย่าลืมว่าช่วงปีแรกที่คิดจะออกมาผจญภัย มันเหมือนเราต้องสังเกตการณ์ ผมดูหมด ดูการปลูกพืชในระบบต่างๆ ข้อดีข้อเสีย ผมก็มามาร์คไว้ว่ามันมีข้อดีอะไร และมันมีข้อเสียอะไรแล้วค่อยมาไตร่ตรอง
ข้อที่หนึ่ง ผมอ่านอนาคตเรื่อง Healthy ข้อ 2 ผมไม่ใช่เป็นคน Healthy หมายความว่าผมปลูกผัก แต่ผมไม่ได้เป็น Vegetarian ยังกินเนื้อสัตว์ แต่ผมมองออกว่าความต้องการตรงนี้มันจะมากขึ้น
SME One : วิธีการบริหารงานในปัจจุบัน
เสกสรรค์ : คือ “จอน” กับ “ตุ้ย” แบ่งงานกันชัดเจนมาก ตุ้ยเป็นนักคิดที่ทำงานกลางคืนอย่างเดียว ส่วนตอนกลางวันผมจะไม่คิดเสียเวลา กลางวันจอนมีหน้าที่แพ็กของ ดูผักหรืออะไรๆ คือจะไม่ใช้ความคิดมากนัก ความคิดจะไปอยู่ภาคกลางคืน
เรียกว่ากลางวันเป็นจอน พอตกกลางคืน ตุ้ยมันจะทำงานวางแผนแล้ว เฮ่ย...จอนมาสรุปให้ฟังทีว่าปลูกพืชพันธุ์อะไร เป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร แล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร งานของตุ้ยทำเหมือนสมัยอยู่กรุงเทพเลยทุกอย่าง วางแผน เปลี่ยนแปลง แก้ไข คู่แข่งคุณเป็นอย่างไร สถานการณ์โลกเป็นอย่างไร พอตะวันขึ้นค่อยให้จอนไปแก้ไข
ตอนกลางคืนผมจะค้นคว้าข้อมูล เฮ่ย...ทำไมดอกกะหล่ำเมืองนอกถึงสีสวย แต่บ้านเรากลับกินแต่สีขาว เช้าขึ้นมาผมก็ให้จอนเพาะเมล็ดพันธุ์ ผมสั่งเมล็ดเมืองนอกเล็กๆ เข้ามาซองนึงไม่กี่บาท เพื่อมาทดลอง เพื่อทำความรู้จักกับมัน แล้วผมว่าก็การทำงานทดลองมันมีข้อดีมหาศาล เรื่องแรก คือคุณยังไม่ต้องลงทุนเยอะ แค่คุณทำความเข้าใจกับมันก่อน
เรียกว่าผมทดลองจนจะเริ่มกลายเป็นต้นไม้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเริ่มคิดแทนผักแล้ว พอผมเลือกปลูกสิ่งที่ไม่ Mass จากปลูกตั้งโอ๋ไทยก็เปลี่ยนไปปลูกตั้งโอ๋ญี่ปุ่น ปลูกกะหล่ำไทยก็เปลี่ยนไปปลูกกะหล่ำเนเธอร์แลนด์ งานมันจึงเป็นเหมือนการทดลองที่สนุกเหมือนยังใช้ชีวิต Creative อยู่
SME One : ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดทุกคนได้รับผลกระทบกันหมด เอาตัวรอดอย่างไร
เสกสรรค์ : สิ่งที่คุณต้องเจอก็คือต้องเจอ โควิดผมมองตั้งแต่ตอนเกิดขึ้นใหม่ๆ ว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ผมมักจะให้ข้อมูลผ่าน Facebook เสมอว่าเราต้องปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารใหม่หมด ต้องคิดว่ากินเพื่อเป็นยา ผมอาจจะมองต่างผมจะมองต่างจากผู้อื่นอยู่ คุณต้องเข้าใจเรื่องปัจจัย 4 มนุษย์มีปัจจัย คือ 4 อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย อาหารกับยา สำหรับผมคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน อาหารมันเป็นยาโดยธรรมชาติ แล้วก็ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าจริงๆ แล้วพืชผักสมุนไพรเป็นพ่อแม่ของยา เป็นต้นกำเนิดของยามานานแล้ว เพียงแต่วิทยาการในสมัยใหม่เราใช้วิทยาศาสตร์มาช่วยในการสกัดสารออกมา
บังเอิญผมปลูกสมุนไพรมาตั้งแต่แรก แล้วผมก็เริ่มทำความเข้าใจกับมันมากขึ้น เหตุการณ์โควิดทำให้ผมเริ่มกลับมามองสิ่งที่ผมปลูกไว้ และพบว่าสมุนไพรที่ผมปลูกไว้ ผมกลับทำประโยชน์ให้มันเกิดขึ้นมากกว่าเดิม คือแทนที่จะเอามากินแค่ใบสด ผมก็เริ่มเอาไปทำเป็นชา ผมเริ่มแปรรูปมาเป็นเครื่องดื่มน้ำผลไม้สมุนไพรให้มันกินง่ายขึ้น ให้มันเข้ายุคสมัยมากขึ้น สมุนไพรโปร่งฟ้าที่เราปลูกด้วยความหลงใหลว่ารสชาติดีกลายเป็นอาหารที่ต้านไวรัสได้ เพราะผมศึกษาลึกลงไป ผมมีเชียงดาที่ปลูกไว้สำหรับคนที่อยากลดน้ำตาลกับเบาหวานเ ก็เริ่มกลับมามอง เริ่มขยายพืชสมุนไพรมากขึ้น
ผมไม่เคยคิดที่จะต่อต้านวิธีดูแลรักษาของระบบแพทย์สมัยใหม่นะ แต่คุณทำควบคู่กันได้ สมมติมีคนไม่สบาย ผมจะไม่บอกให้กินสมุนไพร ผมจะบอกให้รีบไปหาหมอด่วน เพราะการแพทย์สมัยใหม่คือการทำให้มันหยุดตอนนั้นเลยแบบปัจจุบันทันด่วน
พอคุณหยุดอาการได้แล้วผมจะแนะนำ สมมติว่าคุณน้ำตาลสูงมากแสดงว่าคุณมีปัญหาเบาหวาน คุณหาหมอเสร็จผมจะแนะนำเชียงดาให้คุณรู้จัก มิฉะนั้นเนี่ยคุณจะกลายเป็นตู้ยาเคลื่อนที่ เพราะคุณขาดยาไม่ได้เลย แต่เชียงดาสามารถช่วบลดน้ำตาลในเลือดได้
SME One : ทุกวันนี้ยังเรียกตัวเองว่าเป็นเกษตรกรหรือไม่
เสกสรรค์ : เวลาผมไปบรรยายหรือสอน มักจะบอกว่า ผมเป็น Food Maker และอยากให้เกษตรกรยกระดับเป็น Food Maker ที่ไม่ใช่เกษตรกรทั่วไป บางคนเนี่ยปลูกผักแบบตามคำสั่ง เฮ่ย...ตัวนี้ขายดีจะเอาเงินก็ปลูกแต่ตัวนี้ ถมๆๆๆ แล้วก็รอเจ๊งเพราะตลาดมันเต็ม คุณปลูกเป็นเครื่องจักร ปลูกแต่แทบจะไม่รู้ประโยชน์ว่าปลูกทำไม กินแล้วมีประโยชน์อะไร
SME One : ทุกวันนี้ปลูกอะไร ขายอะไรบ้าง สินค้าหลักคืออะไร
เสกสรรค์ : ผักยังคงเหมือนเดิม แต่ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ จะให้หนักไปที่น้ำสมุนไพรเนื่องจากว่าผมไม่ได้ทำน้ำสมุนไพรที่กินแบบต้องบีบจมูก เพราะจอนนอนไร่เรามีเชฟที่ทำเรื่องเครื่องดื่ม ฉะนั้นผมชอบกินของอร่อย ผมจะบอกว่าทำตัวนี้เป็น Juice ได้ไหมทำตัวนี้เป็นแบบนี้ได้ไหม แล้วผม Fusion ของเก่งผมจะ Fusion ให้อร่อยแล้วก็แปลกหูแปลกตา
อย่างเช่น Jing Ju Juice นี่ดังมาก เพราะว่าจิงจูฉ่ายเนี่ยคุณสมบัติสำคัญ คือสามารถที่จะป้องกันและรักษาแล้วก็ยับยั้งมะเร็งได้ ข้อต่อมาจิงจูฉ่ายช่วยลดความดันได้ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเชฟที่ต้องปรุงให้อร่อย ปรุงใหม่ให้กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยเลย ไม่ใช่เครื่องดื่มแบบร้านยาจีน
หรือกระชายไทย กระชายมีคุณสมบัติต้านไวรัส แต่คุณจะขายกระชายกับอะไรให้อร่อย เราไม่ได้ต้มแบบบ้านๆ จอนนอนไร่ไม่ทำบ้านๆ ต้องกินแบบอร่อยเก๋ไก๋กินกับน้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ เอามา Fusion ใหม่ให้อร่อย
ส่วนสินค้าที่เป็น Seasoning การทำเกษตรออแกนิกส์ จะมีจุดอ่อนอยู่ในช่วงกลางปี ช่วงหน้าฝนจริงๆแล้วเป็นช่วงตกต่ำของการปลูกผัก เพราะมันไม่โต เนื่องจากจะไม่ค่อยมีแดด เราก็ไม่อยู่เฉยก็ต้องหาอะไรมาทดแทน เพราะชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ผมก็หาสินค้าตัวใหม่ๆ มาทดแทน
การปลูกผักแต่ละปีเรามีเวลาแค่ 6 เดือน ฤดูหนาวเรียงมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไล่มาจนถึงฤดูร้อนเดือนเมษายน 6 เดือนทองคำ คุณต้องทำให้ดีที่สุด หลังจากนั้นฝนมาก็ต้องเบรก ก็จะดูตลาดว่าทำอะไรกันอยู่ ถ้าคุณทำอันนี้ผมไม่ทำอะไร
อย่างโยเกิร์ตนี่ ผมคิดว่าผมรู้จักโยเกิร์ตดีมากคนหนึ่งในประเทศไทย เพราะว่าผมเป็นคนแรกๆ ที่ไปประเทศบัลแกเรีย เพราะมีโอกาสทำโฆษณาสินค้าโยเกิร์ต พรีเมียมจนเข้าใจเรื่องโยเกิร์ต ผมจึงคิดทำโยเกิร์ตเสริม แต่ช่วงนี้งานหลักๆ คือทำเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร ผมตั้งโจทย์ต้องเป็น Yummy Healthy คือไม่เอา Healthy นำ ยังไงของกินต้อง Yummy ต้องอร่อยก่อน
SME One : จากนี้ต่อไปอะไรคือความท้าทายของจอนนอนไร่
เสกสรรค์ : ผมอยากจะทำให้อาหารเป็นยายิ่งใหญ่ที่สุด ไม่จำเป็นว่าผมต้องยิ่งใหญ่ แต่ผมจะเอาคุณูปการต่างๆของภูมิปัญญาไทย มาพลิกฟื้นกลับมาให้เกิดประโยชน์อีกครั้งในมุมมองผม แต่ตัวผมเองลำพังก็ไม่ได้มีกำลังอะไร เงินทองก็ไม่ได้มีมากมาย ถ้ามีหน่วยงานมาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ด้านสมุนไพร อาทิ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือกองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร หรือจะเป็นการสนับสนุนจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมด้านสุขภาพ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็น่าจะทำให้การพัฒนาอาหารเป็นยาทำได้รวดเร็วกว่านี้ เพราะผมมีความคิดที่จะจุดประกายเรื่องอาหารเป็นยาเพื่อให้ทุกคนจะได้ใช้ภูมิปัญญาอย่างภาคภูมิ
SME One : ถ้าคนกรุงเทพฯ อยากลาออกจากงานมาปลูกผักแบบจอนนอนไร่ จะให้คำแนะนำอย่างไร
เสกสรรค์ : ตอนนี้ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะสถานการณ์โลก และสถานการณ์โรคไม่มั่นคง ผมคิดว่าไม่ใช่เวลาออกมาปลูกผักเป็นธุรกิจ ต้องคิดให้ดี
บทสรุป
เบื้องหลังความสำเร็จของจอนนอนไร่นั้นมาจากส่วนผสมที่ลงตัวของความคิดสร้างสรรค์กับความตั้งใจที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนอย่างผักสวนครัว โดยนำเอาประสบการณ์จากการทำงานในแวดวงโฆษณามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อจอนนอนไร่เริ่มขยายธุรกิจมาทำสินค้าแปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรก็ยังคงใช้หลักคิดจากการทำโฆษณา แค่เปลี่ยนวิธีนำเสนอจากเดิมที่สื่อสารผ่านจอทีวีมาเป็นผ่านพืชพรรณ เช่น เปลี่ยนการกินผักจิงจูฉ่ายเป็นเครื่องดื่ม Jing Ju Juice หรือทำโยเกิร์ตธรรมชาติจากดอกกุหลาบ หรือเลือกปลูกผักที่หากินได้ยากอย่าง ตั้งโอ๋ญี่ปุ่น, กะหล่ำเนเธอร์แลนด์
อัปเดตข่าวสำหรับผู้ประกอบการ SME และพนักงาน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 กับมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน รายละเอียดดังนี้
#ประเภทกิจการที่ได้รับการเยียวยา
1. ก่อสร้าง
2. โรงแรมที่พักและบริการด้านอาหาร
3. ศิลปะ บันเทิง และนันทนาการ
4. กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
5. ขายส่งและขายปลีก ซ่อมยานยนต์
6. ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
7. กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
8. กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ
9. ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
.
#จังหวัดที่ตั้งของกิจการที่ได้รับการเยียวยา
1. กรุงเทพมหานคร
2. นครปฐม
3. นนทบุรี
4. ปทุมธานี
5. สมุทรปราการ
6. สมุทรสาคร
7. นราธิวาส
8. ปัตตานี
9. ยะลา
10. สงขลา
.
#ความช่วยเหลือที่จะได้รับ
นายจ้าง
- ได้รับความช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท/ลูกจ้าง สูงสุดไม่เกิน 200 คน
- กรณีไม่มีลูกจ้างในระบบประกันสังคม ให้ลงทะเบียนลูกจ้างภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อรับความช่วยเหลือ
- กรณีไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" โครงการคนละครึ่ง ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 จะได้รับความช่วยเหลือ 3,000 บาท
- ผู้ประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม ของโครงการคนละครึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนประกันสังคม จะได้รับความช่วยเหลือ 3,000 บาท
ลูกจ้าง
- ผู้ประกันตน ม.33 สัญชาติไทย จะได้รับความช่วยเหลือ 2,500 บาทต่อคน (เมื่อรวมกับการจ่ายชดเชยเยียวยาร้อยละ 50 ของรายได้ แต่ไม่เกิน 7,500 บาท ระยะเวลา 90 วัน จะได้ทำให้ได้รับความช่วยเหลือสูงสุดที่ 10,000 บาท)
ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ที่ประกอบอาชีพอยู้ ได้รับความช่วยเหลือ 5,000 บาท สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนประกันสังคม ต้องขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ม.40 ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงจะได้รับความช่วยเหลือ
ด้วยเหตุผลที่ผู้บริโภคในปัจจุบันมีทางเลือกค่อนข้างมาก และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ค่อนข้างง่าย แถมผู้บริโภคยุคนี้ จะซื้อของแต่ละครั้ง ไม่ได้มองแค่เรื่องคุณประโยชน์พื้นฐานของสินค้าเท่านั้น เพราะนั่นคือเรื่องเบสิคที่พวกเขาจะได้ ดังนั้นผู้บริโภคยุคใหม่จึงมองว่าไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้ากับบริษัทที่ทำสินค้าเพียงอย่างเดียว ตรงกันข้ามเขาอยากจะซื้อสินค้ากับบริษัทที่วางตัว อย่างเหมาะสมและรับผิดชอบต่อธุรกิจของตัวเองด้วย
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในธุรกิจของโลก และประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มที่มีการขยับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวขึ้นมักจะเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ แต่ในความเป็นจริง SMEs ก็สามารถทำได้เช่นกัน แถมยังมีความได้เปรียบในเรื่องของขนาดองค์กรที่เล็ก สามารถปรับตัวได้ทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ SMEs แต่ละราย จึงต้องมีการบอกถึงเป้าประสงค์ที่องค์กรหรือแบรนด์ของเขามีว่าจะช่วยตอบโจทย์เรื่องอะไรหรือตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้ามีความกังวลได้อย่างไรบ้าง ในภาษาทางการตลาดเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า Corporate & Brand Purpose ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมาตลอดในช่วงไม่กี่ปีมานี้
การมองถึงเป้าประสงค์ที่องค์กรหรือแบรนด์ที่อยู่ในท้องตลาดมีนั้น กลายมาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้แล้วในปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นแบรนด์หรือองค์กรใหญ่ๆ ออกมาสื่อสารถึงเรื่องนี้กันแทบเกือบจะทุกบริษัท ในแง่ของเอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการรายย่อยเอง เป้าประสงค์ของการทำธุรกิจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะเข้ามาช่วยผลักดันให้องค์กรหรือแบรนด์สินค้าที่ทำออกมาเข้าไปใกล้ชิด และมีความผูกพันโดยเฉพาะความผูกพันด้านอารมณกับลูกค้าแล้ว ยังเป็นตัวที่สามารถช่วยให้สามารถจับต้องความแตกต่างได้เป็นอย่างดี
ต้องเป็นสินค้าหรือแบรนด์ที่ถูกออกแบบมาโดยมีเป้าหมายที่การทำให้ลูกค้า สังคม หรือโลกใบนี้ดีขึ้น มุมมองใหม่ที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้การสร้างสินค้า หรือแบรนด์ เปลี่ยนมุมไป โดยเจ้าของสินค้าหรือนักการตลาดที่เป็นคนสร้างแบรนด์นั้น จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการออกแบบสินค้าหรือแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภคมีชีวิตที่ดีขึ้น เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของผู้บริโภค ไม่ใช่เพื่อยอดขายหรือส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้วซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า แบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีเป้าประสงค์ของแบรนด์ที่ชัดเจนว่าจะเข้ามาช่วยทำให้ผู้ใช้ สังคม ตลอดจนโลกใบนี้จะถูกจนจำได้ง่าย และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค แม้จะมีแบรนด์อยู่ในตลาดมากมายก็ตาม
เรื่องของเป้าประสงค์ในการทำแบรนด์หรือธุรกิจนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้กลับมานิยมอีกครั้งนั้น เป็นเพราะอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ ทำให้การสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคเป็นเรื่องสะดวก เข้าถึงได้ง่ายและมากขึ้น การทำซึ่งเอาเรื่องของเป้าประสงค์เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนนั้น จะเข้ามาช่วยทำให้เกิดการเชื่อมต่อด้านอารมณ์และความรู้สึกระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้จะเป็นการปูทางไปสู่ความเชื่อใจ และความภักดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่มีบทบาทต่อการทำตลาดสินค้าแทบทุกประเภท ผู้บริโภคในกลุ่มนี้ พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้หรือให้การสนับสนุนแบรนด์ที่มีเป้าประสงค์ในการทำให้ตัวเอง สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกดีขึ้น
การนำเรื่องของเป้าประสงค์ในการทำธุรกิจนั้น มีหลักการในการเลือกวางเป้าประสงค์โดยจะดูจาก
ภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการใช้เป้าประสงค์ของแบรนด์เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนในการทำตลาดก็คือ กรณีของบรีส ที่จับเอา Insight ของบรรดาแม่บ้านเข้ามาเป็นตัวตั้ง โดยคนที่เป็นแม่กังวลว่า การออกไปเล่นซนของลูกๆ จะทำให้เสื้อผ้าสกปรก และซักออกได้ยาก บรีสจึงพยายามเข้าไปเปลี่ยนทัศนคติ หรือมุมมองนี้ใหม่ โดยกระตุ้นให้กล้าที่จะปล่อยให้ลูกๆ ของพวกเขาออกไปเล่น เพราะการเล่นคือการเรียนรู้อย่างดี ส่วนเรื่องของความสกปรกของเสื้อผ้าลูกๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรีส เป็นการเข้าไปช่วยตอบโจทย์ และแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยทั้งลูกค้า และแบรนด์บรีสต่างมีเป้าประสงค์ ที่ตรงกันในเรื่องของการเพิ่มทักษะความรู้ให้กับลูกๆ ผ่านการออกไปมีประสบการณ์ในการเล่นนอกบ้าน การขับเคลื่อนตลาดในรูปแบบดังกล่าวทำให้บรีสยังคงเป็นเบอร์ 1 ที่ถูกลูกค้าเลือกใช้เป็นอันดับแรก ๆ
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs แล้ว หลายรายมีการนำเรื่องนี้มาใช้ โดยสินค้าชุมชนหลายแห่ง หลายชุมชนที่ออกมาทำสินค้าออร์แกนิกส์ ก็เพราะมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน อย่างในกรณีของร้าน The Salad Concept ที่จังหวัดเชียงใหม่
ร้านในรูปแบบนี้ดูผิวเผินอาจจะเป็นเทรนด์ของการทำร้านอาหารสมัยใหม่แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของร้านต้องการขายอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพราะเจ้าของร้านมีพ่อที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และทําอาหารที่ดีให้พ่อรับประทานจนดีขึ้น จึงตัดสินใจเอาแนววคิดเรื่องการกินเพื่อสุขภาพมาเปิดเป็นร้านอาหาร การที่ผู้ประกอบการเจอปัญหากับตัวเองแล้ว จึงรู้ว่าปัญหาดังกล่าวนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดีหนึ่งในนั้น คือการเลือกบริโภคอาหารที่ดี มีคุณค่า
ดังนั้นการบริโภคอาหารที่เป็นออร์แกนิกส์จึงเป็นเรื่องดีที่ The Salad Concept อยากจะส่งต่อ ให้กับสังคมในวงกว้างได้บริโภคและลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายเหมือนกับที่ครอบครัวเคยประสบปัญหามาก่อน เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยประสงค์ที่เกิดแรงบันดาลใจจากชีวิตจริง ตัวอย่างนี้เป็นธุรกิจขนาดเล็กแต่ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ หากมีประสงค์ในการทำธุรกิจที่ชัดเจนว่าจะส่งต่ออะไรให้กับผู้บริโภค
การแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงการที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ทำให้การมองเรื่องของคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เคยเป็นวิธีการเดิมๆ อาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จ หรือคำตอบที่ดีอีกต่อไป แต่ต้องบอกให้ชัดเจนว่าจุดยืนของแบรนด์เรา ยืนอยู่ข้างใคร รวมถึงต้องบอกที่มาที่ไปของแบรนด์เราให้ได้ว่า แบรนด์หรือธุรกิจของเราเกิดมาเพื่อใคร
ที่สำคัญสุดก็คือ การทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงเหตุผลของการดำรงอยู่ของแบรนด์หรือธุรกิจของเราให้ได้ว่า ไม่ได้มองแค่ยอดขาย แต่แบรนด์นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพราะจะเป็นวิธีการที่ทำให้แบรนด์หรือธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าในใจของลูกค้าได้
การขับเคลื่อนธุรกิจผ่านเป้าประสงค์ จึงเป็นอีก 1 หัวใจสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ในโลกธุรกิจใบนี้....
ธุรกิจร้านอาหารและท่องเที่ยวถือเป็นด่านแรกที่ได้รับแรงปะทะนับจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 เกิดขึ้น ยิ่งเมื่อประเทศไทยเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ ยิ่งทำให้ทุกคนกังวลต่อความปลอดภัยทางด้านสุขอนามัยยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องความไม่มั่นใจต่อเรื่องนี้ดังกล่าว ผู้ประกอบการควรหยิบมาแก้ไขโดยด่วน ด้วยการปรับตัวเพื่อให้ลูกค้ากลับมามั่นใจในความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
SHA Plus+ ถือเป็นเวอร์ชั่นอัปเดตของ SHA นั่นเอง หลังจากกลางปีที่แล้วการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันทำ SHA หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย โดยนำมาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขผนวกกับมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของสถานประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวว่าทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข และความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้าและบริการประเทศไทย
โดยกิจการที่สามารถขอรับมาตรฐาน SHA ได้ มี 10 หมวด ได้แก่ 1. ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2. โรงแรม/ที่พัก และสถานที่จัดประชุม 3. นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4. ยานพาหนะ 5. บริษัทนำเที่ยว 6. สุขภาพและความงาม 7. ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8. กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9. โรงละคร โรงมหรสพและการจัดกิจกรรม และ 10. ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆ
หนึ่งปีผ่านไป เมื่อเมืองไทยเข้าสู่การระบาดระลอกใหม่ แน่นอนว่า SHA จึงไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ดังนั้น SHA Plus+ เลยเข้ามาเสริมทัพเพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารและท่องเที่ยวได้ไปต่อ
เงื่อนไขสำคัญของการได้มาซึ่งสัญลักษณ์ SHA Plus+ นี้มีเพียง 2 ข้อหลักๆ นั่นคือ สถานประกอบการนั้นๆ จะต้องได้รับสัญลักษณ์ SHA มาก่อน และ 70% ของบุคคลากรของสถานประกอบการได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ได้
SHA Plus+ เป็นโครงการที่มี “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นโมเดลนำร่อง แม้หลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นจังหวะที่ไม่ค่อยเหมาะสมซักเท่าไหร่ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศยังคงสูงอยู่ ซ้ำยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวสำหรับทะเลอันดามันอย่างภูเก็ต แต่อย่างน้อยการตัดสินใจเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในครั้งนี้จะทำให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนได้เรียนรู้ว่าการเปิดประเทศแบบนี้ปลอดภัยหรือไม่อย่างไร ต้องเพิ่มต้องลดอะไร เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อฤดูท่องเที่ยวในเดือนพฤศจิกายนนี้มาถึง พูดง่ายๆ ว่าเหมือนกับทดสอบระบบ เพื่อให้พร้อมในฤดูท่องเที่ยวปลายปี
สำหรับ SMEs ที่ทำธุรกิจโรงแรมและที่พัก ที่ต้องการเข้าระบบ SHA Plus+ จำเป็นต้องมี SHA Plus+ Manager เพื่อเข้ามาดูแลประสานงานและอำนวยความสะดวกกับลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวโดยตรง เพราะในระยะแรกที่ระบบฐานข้อมูลและกฏกติกายังมีการเปลี่ยนแปลง SHA Plus+ Manager จะต้องทำหน้าที่ประสานงานด้านข้อมูลระหว่างนักท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมาย อาทิ รับผลการตรวจ COVID-19 ของนักท่องเที่ยว ติดตามผลการตรวจในสัปดาห์ที่ 1 และ 2 การแจ้งผลตรวจ และอัปเดตเส้นทางการเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ให้กับภาครัฐ ซึ่งพบว่ามีรายละเอียดมากมาย
สมมติว่า นักท่องเที่ยว 1 คน ต้องการจะเข้ามายังจังหวัดภูเก็ต จะต้องเริ่มจากลงทะเบียน Certificate of Entry (COE) เพื่อแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว รวมถึงยังต้องซื้อประกัน COVID-19 และซื้อ Pre Paid Swap ไว้ล่วงหน้า และก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมงจะต้องมีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 COVID-19 ก่อนขึ้นเครื่องบิน จนมาถึงจังหวัดภูเก็ตก็ยังต้องมีการตรวจอีก 3 รอบ คือ วันแรกที่มาถึงภูเก็ตนักท่องเที่ยวจะต้องถูกตรวจครั้งแรกแบบ RT-PCR ที่สนามบิน หลังจากนั้นจะมีรถของโรงแรมมารับไปที่ห้องพักโรงแรมโดยจะยังไม่สามารถเดินทางไปที่อื่นได้ จนกว่าผลตรวจครั้งแรกจะออกเป็นลบ พอผลตรวจจะออกมา SHA Plus+ Manager จำต้องทำหน้าที่แจ้งข้อมูลกับแขกที่มาพักภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากทราบว่าผลตรวจเป็นลบ นักท่องเที่ยวถึงจะสามารถไปไหนก็ได้เฉพาะในจังหวัดภูเก็ต และจะมีการตรวจครั้งที่ 2 ในวันที่ 6 และในวันที่ 13 อีกรอบ ซึ่งการตรวจรอบที่ 3 นี้มีผลเป็นลบ นักท่องเที่ยวจะสามารถเดินทางไปได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่ถ้ามาอยู่ภูเก็ตแค่ 7 วัน ก็ไม่ต้องตรวจครั้งที่ 3
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการต้อนรับนักท่องเที่ยวในมาตรฐาน SHA Plus+ ค่อนข้างจะมีรายละเอียดอยู่พอสมควร จึงแนะนำให้มี SHA Plus+ Manager คอยดูแล
นอกจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์แล้ว ในตอนนี้ก็มีหลายจังหวัดที่เริ่มโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มเติม เช่น ผู้ประกอบการในเกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพงัน ก็รวมตัวกันเปิดสมุย พลัส แซนด์บ็อกซ์ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กระบี พังงา ก็กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลเพื่อเปิดทดลองต่อไป
ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดภูเก็ตในเวลานี้ควรเตรียมตัวศึกษาขั้นตอนวิธีการขอสัญลักษณ์นี้ก่อน หรืออย่างน้อยก็เตรียมเอกสารไว้ให้พร้อม เมื่อ SHA Plus+ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และบุคคลากรของสถานประกอบการได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ก็สามารถสมัครได้ทันที
เรามาดู 6 ขั้นตอนง่ายๆ ในการขอ SHA Plus+ สำหรับสถานประกอบการที่ได้รับมาตรฐาน SHA มาแล้วเท่านั้น (หากสถานประกอบการใดที่ยังไม่มีได้รับมาตรฐาน SHA สามารถสมัครได้ที่ www.thailandsha.com/index#Register)
>>> ไฟล์สำหรับใส่ข้อมูลพนักงานต่างชาติ **ช่องA ใส่สัญชาติตามพาสปอร์ต ช่องB ใส่หมายเลขพาสปอร์ต เมื่อกรอกเสร็จทำการลบชีตชื่อ “ห้ามแก้ไข” ออกแล้วจึงค่อยกด save**
>>> ไฟล์สำหรับใส่ข้อมูลพนักงานคนไทย **ใส่เลขบัตรประชาชนพนักงานคนไทยทั้งหมด โดยไม่ต้องใส่เครื่องหมายใดๆ และไม่เว้นวรรค**
>>> กรณีไม่มีประกันสังคม เอกสารรับรองจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยกรรมการผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจ **ยกเว้น โรงแรมที่พักต้องมีประกันสังคมทุกกรณี**
>>> หนังสือแต่งตั้ง SHA Plus+ Manager
>>> อัปโหลดไฟล์ Excel พนักงานไทย โดยใช้ไฟล์นามสกุล .xls หรือ .xlsx เท่านั้น
>>> อัปโหลดไฟล์ Excel พนักงานต่างชาติ โดยใช้ไฟล์นามสกุล .xls หรือ .xlsx เท่านั้น
>>> อัปโหลด เอกสารประกันสังคม สปส.1-10 ส่วนที่1 และ ใบเสร็จรับเงินกองทุนประกันสังคม มาตรา33
>>> SHA Certificate หากบริษัทมีสาขา มี SHA ที่มีภายใต้บริษัทเดียวกันมากกว่า 1 ใบ ให้ใส่ไฟล์แยกตามรูป โดยเซฟไฟล์ .jpg .jpeg .png .pdf และ ต้องบันทึกไฟล์เป็นเลข SHA เท่านั้น
>>> SHA Plus+ Manager โดยอัปโหลดหนังสือเป็นไฟล์ .doc .docx .pdf เท่านั้น พร้อมทั้งอัปโหลดสำเนาบัตรประชาชน และสำเนา passport **บันทึกชื่อไฟล์เป็น SHA Plus Manager (ชื่อสถานประกอบการ) และ สำเนาบัตร/Passport SHA Plus+ Manager (ชื่อสถานประกอบการ)**