สัปปายยะ สปา ส่งผ่านความรู้สึกดีด้วย Human Touch
“เพราะอะไร ลูกค้าถึงเดินเข้ามาใช้บริการสปา” อาจฟังดูเป็นคำถามธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป ที่น่าจะรู้คำตอบได้โดยไม่ต้องถาม แต่หากคำถามเดียวกันนี้ ถูกใช้ถามไปยังผู้ให้บริการเอง ก็กลายเป็นโจทย์ที่คนทำธุรกิจสปาต้องกลับมาคิด กลับมาทบทวน เพื่อหาคำตอบให้ชัด
“สัปปายยะ สปา” ตั้งคำถามนี้กับบริการของตัวเองอยู่เสมอ เพราะการเลือกตั้งร้านให้บริการที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในวันที่ปายไม่ได้เป็นเมืองยอดนิยมในกระแสหลักอีกต่อไป นั้นมาพร้อมกับโจทย์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากการเปิดสปาในเมืองหลักที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหล
สิ่งที่สัปปายยะ สปามองเห็นในเมืองปาย ก็คือเสน่ห์ของเมืองเล็ก ๆ ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ห่างไกลจากความพลุกพล่าน เหมาะกับการเป็นเมืองสำหรับพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างแท้จริง กลับกลายเป็นว่า แม้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือนักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านี้ กลับมาใช้บริการเป็นลูกค้าประจำอยู่เสมอ
อาจเป็นเพราะสัปปายยะ สปาพบคำตอบแล้วว่า นักท่องเที่ยวที่เข้ามาถึงเมืองปายได้นั้น มักเป็นกลุ่มที่มีความตั้งใจเข้ามาฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ พักผ่อนเติมพลัง และโดยมากเป็นขาประจำ และท่องเที่ยวแบบระยะยาว ลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการสปานั้น ทุกคนต่างมีปัญหาที่ต้องการให้ทางสปาช่วยดูแล สปา ที่ออกแบบคอร์สจากลูกค้า
หากต้องการสร้างบริการให้ประทับใจและตรงกับความต้องการของลูกค้า ก็ต้องรู้จักลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สัปปายยะ สปา ใช้วิธีการสร้างหน้าเว็บสำหรับจองใช้บริการ ที่มีรายละเอียดของร่างกายให้ลูกค้าระบุ ความต้องการด้านต่างๆ น้ำหนักในการนวด ลึกไปจนถึง จุดที่มีปัญหาให้ดูแลเป็นพิเศษ ลูกค้าแต่ละคนจึงสามารถออกแบบคอร์สเฉพาะเจาะจงที่ตัวเองต้องการได้ตามความชอบของแต่ละคน
พิเศษไปกว่านั้น ทางสัปปายยะ สปา เองได้มีการออกแบบน้ำมันนวดที่มีสูตรช่วยเสริมธาตุเจ้าเรือนของลูกค้า ผ่านน้ำมันนวดที่ออกแบบพิเศษให้ซึมผ่านผิวได้อย่างดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ แยกสูตรออกเป็น 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยใช้ Essential Oil ที่ไม่มีสารเคมี ไม่มีน้ำหอม ใช้วัตถุดิบออร์แกนิกจากในท้องถิ่น ที่มีสรรพคุณทางแพทย์แผนไทย เข้ามาช่วยให้ลูกค้าผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
มากไปกว่าการให้บริการกับสัมผัสทั้ง 5 แล้ว ทางสัปปายยะยังใส่ใจในส่วนสำคัญคือ การส่งมอบความรู้สึกดี ความปรารถนาดี ผ่านสัมผัสจากการนวดของพนักงาน สิ่งเหล่านี้เป็น Human Touch ที่ลูกค้านั้นสามารถรับรู้ได้
มากไปกว่าการเป็นสปา คือการสร้างแวดวงของการดูแลสุขภาพ โดยการจับมือร่วมงานกับ โรงแรม หรือกิจกรรมด้านสุขภาพอื่น ๆ ภายในเมืองปาย เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจของทุกฝ่ายไปพร้อมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืน
จากความใส่ใจส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้านี่เอง ที่เป็นจุดที่สร้างความประทับใจเป็นพิเศษให้กับลูกค้า จนสามารถสร้างการบอกต่อกลับไปยังประเทศ และกลับมาใช้บริการอยู่เสมอ
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
สัปปายยะ สปา
ที่อยู่: 412 หมู่ 8 ต.เวียงไทย อ. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
โทร: 081-236-6644
อีเมล: sapaiyaspa@gmail.com
เว็บไซต์: sapaiya.com
Facebook: sapaiyaspa
PTEC แนะ MSME เติมความรู้มาตรฐานสินค้า
รวมกลุ่มเพิ่มอำนาจต่อรอง + ปั้นโปรดักต์แชมป์เปี้ยน
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ศทอ.) หรือ PTEC ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถือเป็นอีกหน่วยงานภาครัฐมีส่วนช่วยเหลือผู้ประกอบการ MSME ในมุมของการเป็นศูนย์บริการให้การบริการทดสอบ สอบเทียบ วิจัย พัฒนา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐานสากล
ดังนั้นผู้ประกอบการ MSME ที่นำเข้า ส่งออก คิดค้นตลอดจนผลิต ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นต้องนำสินค้ามาทดสอบที่ศูนย์แห่งนี้ก่อนจำหน่าย ซึ่งที่นี่จะทดสอบเพื่อให้บริการรับรองภายใต้มาตรฐาน
มอก., กสทช., อย., เบอร์ 5, NECTEC, AEC, CE, FCC และ E-MARK เรียกได้ว่าครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ
ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) กล่าวว่า PTEC ถือเป็นห้องปฏิบัติงานที่ได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025 เรียบร้อยแล้วทั้งการทดสอบ EMC และการสอบเทียบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานความถี่สูง และขณะนี้ PTEC กำลังเข้าสู่กระบวนการขอการรับรองระบบคุณภาพ ISO/IEC17020 เพื่อเป็นหน่วยตรวจ (Inspection Bodies) รับรองผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้นจึงถือได้ว่า ขอบข่ายการบริการของ PTEC ครอบคลุมความต้องการของภาคอุตสาหกรรมของไทย เพื่อจะให้มีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานสากล ส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายต่างประเทศ และรองรับการประกาศบังคับใช้มาตรฐานต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย
“การให้บริการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ในกรณีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป จะเป็นมาตรฐาน มอก. หากเป็นผลิตภัณฑ์โทรคมนาคม และการสื่อสาร จะเป็นมาตรฐาน กสทช. ส่วนเครื่องมือแพทย์ เป็นมาตรฐานของ อย. แต่หากผู้ประกอบการ MSME นำเข้าผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาจำหน่าย แล้วเป็นสินค้าควบคุม หรือเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา ทาง สคบ. จะติดต่อมาให้ PTEC นำสินค้าดังกล่าวมาทดสอบให้ด้วย”
อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ดร.ไกรสร พบว่าจุดอ่อนของผู้ประกอบการ MSME ไทยส่วนใหญ่ขาดความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน โดยยังเข้าใจว่าสามารถผลิต นำเข้าสินค้า หรือส่งออกสินค้าไปจำหน่ายได้ทันที โดยไม่รู้ว่าจำเป็นต้องนำสินค้าไปทดสอบตามมาตรฐานต่าง ๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา PTEC พยายามสร้างความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวให้กับผู้ประกอบการผ่านการฝึกอบรมให้ความรู้ถึงความจำเป็นในการขอมาตรฐาน เพื่อสร้างความปลอดภัยในการใช้งานให้กับผู้บริโภค รวมถึงอัพเดทความรู้ในเรื่องมาตรฐานใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่นั่นไม่ใช่แค่ปัญหาเดียวที่พบ เพราะผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้า โดยเฉพาะ MSME ขนาดเล็ก และสตาร์ทอัพยังขาดเงินทุน หรือมีสายป่านไม่ยาวพอในการพัฒนาและทดสอบสินค้า ยิ่งในกรณีที่นำสินค้ามาทดสอบแล้วไม่ผ่านก็จำเป็นต้องกลับไปดำเนินการแก้ไข โดยซื้อวัตถุดิบใหม่เพื่อนำมาผลิต และนำมาผ่านกระบวนการทดสอบที่ PTEC อีกเป็นระยะ ๆ หากสายป่านไม่ยาวพอก็อาจไม่มีเงินทุนมาซื้อวัตถุดิบหรือจ่ายค่าทดสอบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ MSME ขนาดเล็ก และสตาร์ทอัพเหล่านี้ล้มหายตายจากในไปเวลาอันรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่มีไอเดีย และโอกาสในการทำตลาดที่ดีก็ตาม แต่ด้วยสาเหตุดังกล่าวเลยไม่สามารถแจ้งเกิดได้
ดร.ไกรสร เสนอทางออกของปัญหานี้ว่า ต้องอาศัยกลไกจากภาครัฐที่เป็นหน่วยงานสนับสนุน MSME ในการเข้ามาช่วยให้เงินอุดหนุนค่าบริการทดสอบแลบของ PTEC หรือภาครัฐจัดตั้งกองทุนสนับสนุน MSME เพื่อให้ผู้ประกอบการจ่ายค่าทดสอบเพียงครึ่งหนึ่ง ก็จะทำให้ต้นทุนการพัฒนาสินค้าลดลง และเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการพัฒนาสินค้าจนออกจำหน่ายสู่ตลาดได้ ซึ่งเป็นโมเดลที่หลายประเทศใช้มาแล้วทั้งนั้น
“อีกเรื่องที่ PTEC แนะนำมาโดยตลอดคือ ลดกระบวนการทางศุลกากรของภาษีนำเข้า เพราะในปัจจุบันผู้ประกอบการที่นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายใช้เวลานานมากกว่าจะเคลียร์ของออกมาได้ ทำให้เกิดต้นทุนจากการเสียค่าเช่าโดยไม่จำเป็น”
อย่างไรก็ดี แต่ละปี PTEC ได้มีการลงทุนเทคโนโลยีการทดสอบใหม่ตามเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลายปีมานี้ลงทุนห้องปฏิบัติการอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า เพื่อรองรับการผลักดันตามนโยบายรัฐบาลรวมถึงกระแสการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ทั้งนี้ PTEC ให้บริการทดสอบ สอบเทียบสนับสนุนการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยยุค 4.0 ให้ได้การรับรองผลิตภัณฑ์ในระดับสากลโดยบุคลากรมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบัน PTEC ให้บริการทดสอบแบตเตอรีลิเธียมสำหรับยานยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามมาตรฐานสากลเพื่อใช้งานในประเทศ ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ และทดสอบตามความต้องการเฉพาะของค่ายยานยนต์ต่าง ๆ ทั้งเพื่อการทำ R&D ในบริษัทผู้ผลิตหรือพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ ๆ จากนโนบายยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งมีการออกมาตรการส่งเสริมออกมาหลายส่วน
รวมถึงให้บริการทดสอบชิ้นส่วนสำคัญในยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท ตั้งแต่ แบตเตอรีลิเธียม ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง หัวชาร์จ ไปจนถึงการทดสอบ EMC สำหรับยานยนต์ทั้งคัน โดยใช้มาตรฐานสากลและมาตรฐาน มอก. เป็นหลัก นอกจากนี้ยังให้บริการทดสอบเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะแก่ค่ายยานยนต์ที่ตั้งโรงงานประกอบในประเทศและมีมาตรฐานชิ้นส่วนของตนเอง เพื่อให้สามารถส่งชิ้นส่วนไปจำหน่ายในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา
สำหรับแนวทางที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ MSMS นั้น ดร.ไกรสร ให้ความเห็นว่า กลุ่มผู้ประกอบการไทยมีความโดดเด่นและความชำนาญในทักษะงานช่างอยู่แล้วถือเป็นความได้เปรียบเมื่อเทียบกับชาติอื่น แต่ควรสร้างกลไกการรวมกลุ่มแล้วผลิตโปรดักต์ แชมป์เปี้ยน เพื่อจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน หรือตลาด CLMV
“ต้องยอมรับว่าโลกการแข่งขันปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเขตการค้าเสรี และนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตของรัฐบาลในบางประเทศ อาจเป็นข้อจำกัดของ MSME ไทยในเวทีการแข่งขันโลกได้ ผมคิดว่า MSME ไทยเก่งเรื่องงานช่างอยู่แล้ว แต่ต้องรวมกลุ่มกันหาโปรดักต์ แชมป์เปี้ยน อย่างสินค้าใช้งานในชุมชนวิถีไทย หรือเครื่องมือ-เครื่องจักรบางอย่างที่ใช้ในการซ่อมบำรุง รวมถึงอะไหล่เพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ การรวมตัวดังกล่าวนอกจากจะเป็นจุดขายที่ทำให้เราโดดเด่นได้แล้ว ยังสามารถสร้างอำนาจการต่อรองเวลารวมตัวกันซื้อวัตถุดิบได้ด้วย แล้วตลาดที่เราพอจะแข่งขันได้ก็คือ อาเซียน ซึ่งกลไกดังกล่าวประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ”
หากผู้ประกอบการสนใจใช้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สามารถติดต่อสอบถามได้ 02 117 8600 หรือ อีเมล sales@ptec.or.th โดยมีอัตราค่าบริการเบื้องต้น แบ่งเป็นค่าธรรมเนียมการทดสอบ 5,000 บาท และค่าคําขอ 3,000 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ศทอ.)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120
อีเมล: sales@ptec.or.th
โทรศัพท์ : 02 117 8600 ฝ่ายการตลาดต่อ 8611 ถึง 8614
น้ำผึ้งแสงผึ้ง ปลูกลำไยให้กลายเป็นน้ำผึ้ง
ใครจะคิดว่าจากสวนลำไย จะกลายเป็นฟาร์มน้ำผึ้ง แล้วใครจะคิดว่าจากทนายความ จะกลายมาเป็นคนขายของ
เพราะในโลกธุรกิจ และชีวิต ไม่เคยมีอะไรแน่นอน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ในบางจังหวะชีวิตก็ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทเพื่อแก้ไขสถานการณ์ เช่นเดียวกับเรื่องราวของ คุณต่อ - เอกสิทธิ์ จันทกลาง ที่ชีวิตพลิกบทบาท จากที่เป็นคนไม่ชอบค้าขาย ไม่เคยเข้าสวน เรียนจบมาเป็นทนายความ แต่เมื่อสถานการณ์สวนลำไยของทางบ้านเจอวิกฤติราคาตกต่ำ ก็จำเป็นที่จะต้องกลับมาหาทางช่วยกอบกู้ธุรกิจของทางบ้าน จนกลายมาเป็นกำลังหลักอย่างเต็มตัว สามารถพลิกธุรกิจสวนลำไยให้รอดพ้นวิกฤติ ด้วยการสร้างแบรนด์ น้ำผึ้งแสงผึ้ง
อาจไม่ใช่ความบังเอิญแต่เป็นเพราะความช่างสังเกตและความกล้าคิดออกจากกรอบของคุณต่อ ในระหว่างที่คิดหาทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสวนลำไย ที่แม้จะทำการแปรรูปทุกวิถีทางแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำรายได้มาประคองสวนให้ไปรอด จนวันหนึ่งคุณต่อได้เข้ามาเดินในสวนลำไย แล้วสังเกตเห็นว่ามีผึ้งมาทำรังอยู่บนต้นลำไย เพียงเห็นผึ้งตัวเล็กๆ กลับกลายเป็นตัวจุดแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ให้คุณต่อคิดว่า น่าจะเลี้ยงผึ้งเพื่อทำน้ำผึ้งขายได้ เพราะมีวัตถุดิบ มีสวนลำไยพร้อมอยู่แล้ว
มีไฟแล้วก็ต้องมีความรู้ คุณต่อจึงได้รวมตัวกันกับญาติๆ เริ่มเบิกทางอาชีพใหม่ ด้วยการไปศึกษาการเลี้ยงผึ้งที่ศูนย์ศึกษาการเลี้ยงผึ้ง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับทั้งความรู้ และช่องทางการออกสู่ตลาด
ลงทุนเลี้ยงผึ้งครั้งแรก ใช้เวลา 4 เดือน สามารถเก็บน้ำผึ้งได้เต็ม 3 ถัง รวมแล้วประมาณ 600 ลิตร จากการลงทุนเพียงเล็กน้อย สามารถทำราคาได้มากกว่าการขายลำไยหลายเท่า เป็นการจุดประกายให้ก้าวต่อไปในเส้นทางสายน้ำผึ้ง
พอไปเดินเยี่ยมชมสินค้าในตลาด คุณต่อก็ได้สังเกตเห็นว่ามีน้ำผึ้งที่บรรจุขวดขาย นั้นสามารถขายได้ราคาดีกว่าการขายเป็นถัง ก็เป็นแนวคิดที่จะกลับมาเอาน้ำผึ้งบรรจุขวดขายบ้าง พอคิดได้แล้วว่าจะบรรจุลงขวดวางขายอย่างจริงจัง ก็ต้องมีการทำมาตรฐาน ต้องมี อย. รับรอง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพ
จากธุรกิจครอบครัว สู่วิสาหกิจชุมชน
เมื่อคุณต่อสามารถสร้างรายได้จากน้ำผึ้ง จนสามารถกอบกู้สถานการณ์ของครอบครัวได้ ก็คิดว่าอาชีพนี้น่าจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้านได้ด้วยเช่นกัน จึงรวบรวมชาวบ้านที่ต้องการจะศึกษาการเลี้ยงผึ้งมาสอนการเลี้ยงผึ้ง เริ่มต้นจาก 7 คน ก็ค่อยๆ รวบรวมได้เป็น 35 คน รวมตัวกันเลี้ยงผึ้งทำน้ำผึ้งขายกันมาเรื่อยๆ จนมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอมาเห็นเข้า และได้แนะนำว่าให้จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ใช้ชื่อว่า วิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตและแปรรูปผลผลิตเกษตร มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าเรื่อยมาจนสามารถบรรจุลงขวดขายได้ ภายใต้แบรนด์น้ำผึ้งแสงผึ้ง ส่งเข้าเป็นสมาชิกเครือข่าย OTOP จังหวัดลำพูน เข้าคัดสรรได้เป็นสินค้า 5 ดาว วางขายในตลาด OTOP ทั่วประเทศ
เมื่อออกวางขายเต็มตัว สินค้าเป็นที่ต้องการมาก ก็ต้องมีการขยายเครือข่าย จากที่ผลิตกันเองภายในกลุ่มวิสาหกิจ ก็เริ่มมีการสร้างเครือข่ายกับคนเลี้ยงผึ้งในพื้นที่อื่นๆ เพื่อส่งน้ำผึ้งให้เพียงพอกับปริมาณความต้องการสั่งซื้อ
ในปัจจุบันสามารถรวบรวมเครือข่ายคนเลี้ยงผึ้งได้มากกว่า 60 กลุ่ม มีผึ้งรวมกันมากกว่า 5,000 รัง ที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน และจับมือสร้างแวดวงธุรกิจให้แข็งแรง จนสามารถส่งออกสู่ต่างประเทศได้
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
น้ำผึ้งแสงผึ้ง
ที่อยู่: 174 หมู่12 ต.น้ำดิบ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
โทร: 065-929-9874
อีเมล: Sangphueng57@gmail.com
Facebook: sangphuengs
สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (MASCI)
สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม (MASCI) ทำหน้าที่เป็นหน่วยรับรอง ให้บริการด้านการตรวจประเมินระบบการจัดการตามมาตรฐานสากลและมาตรฐานของประเทศ โดยส่งเสริมให้องค์กรเกิดการปรับปรุงและพัฒนาระบบการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
สถาบันเปิดให้บริการทั้งแก่ภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้ทีมผู้ตรวจประเมินที่มีคุณภาพ มีคุณสมบัติและประสบการณ์ตามมาตรฐานสากล มีความรวดเร็วในการให้บริการ
บริการจากทางสถาบัน
- บริการตรวจประเมินและรับรองระบบการจัดการต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ (ISO 9001), มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001), มาตรฐานระบบการจัดการนวัตกรรม (ISO 56002) เป็นต้น
- บริการตรวจสอบตามมาตรฐาน เกณฑ์ และข้อกำหนดต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งในระดับหน่วยงาน ระดับสมาคม ระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ
- ให้บริการวิทยากรฝึกอบรม การเป็นที่ปรึกษา แนะนำการจัดทำและพัฒนาระบบงาน บริการตรวจประเมินภายใน การพัฒนาผู้ตรวจประเมินภายใน ตามมาตรฐานสากล
- บริการระบบข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ และการเตือนภัย ด้านมาตรฐานระบบการจัดการ Standard Intelligence Unit ให้แก่ธุรกิจอุตสาหกรรมและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง กฎระเบียบด้านการมาตรฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- การดำเนินการการตรวจสอบความใช้ได้และการทวนสอบก๊าซเรือนกระจก
- บริการฝึกอบรมและการเป็นพี่เลี้ยง ในการพัฒนาองค์กรด้านการจัดการระดับสากลและระดับประเทศ
- บริการฝึกอบรมและการเป็นพี่เลี้ยง ในการพัฒนาองค์กรด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ MASCI
ที่อยู่: 1025 ชั้น 11 อาคารยาคูลท์ ถนนพหลโยธิน
แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทรศัพท์: 02-617-1727
อีเมล: webmaster@masci.or.th
เว็บไซต์ : www.masci.or.th
Facebook: MASCIThailand
เคียงเลยมะพร้าวแก้ว
สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม
คนที่เคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่เชียงคาน จังหวัดเลย โดยเฉพาะกับแก่งคุดคู้ อาจจะคุ้นเคยกับสินค้าที่เป็นของฝากของอย่าง “มะพร้าวแก้ว” ไม่มีใครรู้ว่ามะพร้าวแก้วที่เชียงคานเริ่มขายมานานขนาดไหน เพราะมะพร้าวก็ไม่ใช่พืชเศรษฐกิจหลักของเชียงคาน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ปัจจุบันมะพร้าวแก้วได้กลายเป็นสินค้าของฝากที่ถูกจดจำในลักษณะที่คล้ายๆ กับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของเชียงคานไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนกับข้าวหลามหนองมน หรือขนมหม้อแกงเพชรบุรี เมื่อมะพร้าวแก้วเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมก็ย่อมมีคนท้องถิ่นที่มองเห็นโอกาส และกระโดดลงมาแข่งขันกันเป็นจำนวนมาก ผลที่ตามมาก็คือ การแข่งขันสูงขึ้นตามกลไกการตลาด มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเคสหนึ่ง คือ การปรับตัวของ “เคียงเลยมะพร้าวแก้ว” ของคุณธีระวุฒิ ธรรมมาพา ทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งคุณธีระวุฒิมีการนำเอานวัตกรรมและความรู้ทางการตลาดสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยง “สงครามราคา”
SME ONE : จุดเริ่มต้นของธุรกิจเคียงเลยมะพร้าวแก้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ธีระวุฒิ : ผมรู้จักมะพร้าวแก้วมาตั้งแต่ประมาณ 30 ปีก่อน ตั้งแต่รุ่นปู่กับย่าครับเป็นรุ่นแรกเลย แต่จุดกำเนิดที่ว่าใครที่คิดผลิตเป็นคนแรก ผมไม่ทราบจริงๆ สมัยนั้นหมู่บ้านของเราเป็นเกษตรกรรมหมดเลย เรามีต้นทุนชุมชนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็คือ แก่งคุดคู้ วันเสาร์อาทิตย์ปู่กับย่าไม่ได้ไปไหน เขาเห็นมะพร้าวที่อยู่หลังบ้านมันเยอะ เมื่อก่อนเป็นสวนมะพร้าว เขาเห็นมันหล่นก็เลยเอามาทำเป็นมะพร้าวเส้นที่เป็นสีๆ
จุดเริ่มต้นเขาก็ใช้อุปกรณ์ในครัวเรือนหมดเลย เมื่อคือมะพร้าวเส้น ใช้มีดมานั่งซอยเส้นแล้วก็เอาไปขายกับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแก่งคุดคู้ อ.เชียงคาน พอเพื่อนบ้านเห็นว่าทำแบบนี้แล้วได้ขายของ เขาก็เลยเริ่มมาทำด้วยกัน ผ่านมาหลายปี ต่อมาก็จะเป็นรุ่นของคุณพ่อคุณแม่ผมก็จะมีหน่วยงานเข้ามาเสริม อย่างเช่น สหกรณ์จังหวัด เกษตรอำเภอ หรือว่าหน่วยงานของพัฒนาชุมชน เขาก็บอกว่าถ้าจะทำแบบนี้ทำไมไม่รวมกลุ่มกันเพื่อจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของทางภาครัฐ แต่ก่อนชาวบ้านจะทำแค่มะพร้าวเส้นอย่างเดียว มะพร้าวที่มันอ่อนๆ เขาจะเอาทิ้งกันหมด ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรต่อ บางหน่วยงานเขาเห็นก็ช่วยกันคิดพัฒนาต่อยอดว่าจะเอามะพร้าวอ่อนไปทำอะไรดี มันเลยพัฒนามาเป็นมะพร้าวเกรด A เกรด B เกรด A คือมะพร้าวที่นุ่มมาก ซึ่งปัจจุบันขายดีมาก
หลังจากนั้นเราก็จัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมาตั้งแต่ปี 2546 มีสมาชิกประมาณ 31 ท่าน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ยังไม่กลับมา เขาก็ทำกันไปแล้ว ทีนี้พอมาประจบกับเชียงคานมาเปิดเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว สมาชิกในกลุ่มเลยแยกออกไปเปิดเป็นร้านของตัวเอง ปัจจุบันเหลือสมาชิกกลุ่มอยู่ 21 ท่าน รวมผมด้วย ตอนนี้ผมเป็นรองประธานกลุ่ม
SME ONE : ชื่อเคียงเลยมะพร้าวแก้วมาจากอะไร
ธีระวุฒิ : มาจากอาจารย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตั้งให้ ช่วงแรก ๆ ที่เราเริ่มก่อตั้งกลุ่ม เราใช้ชื่อกลุ่มเป็นชื่อแบรนด์ หน่วยงานอื่นก็จะให้เราไปอบรมเกี่ยวกับพวกอาหาร Packaging ผลิตภัณฑ์การผลิตอาหาร เราก็ไปอบรมเป็นอาทิตย์ ทางอาจารย์เขาก็แนะนำว่าสินค้าของเราควรจะมีชื่อแบรนด์ของตัวเองก็เลยตั้งให้ ท่านตั้งชื่อแบรนด์ให้เราว่า เคียงเลย เราขายมะพร้าวแก้วมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย ตอนแรกขายแบบวิสาหกิจชุมชน แต่เพิ่งจะมาใช้ชื่อเคียงเลย ประมาณปี 2548
SME ONE : มะพร้าวเป็นพืชท้องถิ่นของจังหวัดเลยใช่หรือไม่ เพราะความเข้าใจของคนทั่วไป มะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจของในภาคกลาง ตะวันออก ภาคใต้
ธีระวุฒิ : ที่นี่มีปลูกมานานแล้ว มะพร้าวแก้วจริง ๆ แล้วมันเป็นขนมไทยโบราณ สมัยก่อนตัวของเขาจะขูดเป็นฝอย ๆ แล้วปั้นเป็นก้อน แต่เรามาประยุกต์ไม่ทำให้เป็นฝอย ๆ เราจะใช้มีดคมทำให้มันเป็นเส้น ๆ แต่มะพร้าวที่เลยมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น พอเราผลิตกันแบบจริงจัง ความต้องการของลูกค้ามันเยอะตอนที่เป็นมะพร้าวเกรด A เกรด B บวกกับร้านค้าเพิ่มขึ้น มีผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น เราเลยต้องหามะพร้าวจากนอกพื้นที่มา ตอนเริ่มแรกก็มาจาก อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์เพราะว่าอยู่ใกล้สุด ต่อมาไม่พอก็เลยไปหาวัตถุดิบจากภาคกลาง อย่างเช่น นครปฐม สมุทรสาคร
ย่านนั้นเขาจะคัดเกรดมะพร้าว และนิยมเอาแค่น้ำเพื่อเป็นมะพร้าวน้ำหอม เขาก็จะส่งน้ำเข้าโรงงาน เนื้อบางทีก็เยอะมีมากเกินไปขายไม่ทัน เราเลยไปรับเนื้อมะพร้าวจากเขามาด้วย เพราะฉะนั้นมะพร้าวใช้ที่เป็นวัตถุดิบจะมี 2 แบบในตอนนี้ คือ เป็นมะพร้าวแกงต้นสูงๆ ธรรมดา อันนี้ก็คือหาได้จากเขตอำเภอเชียงคาน กับอีกอย่างคือมะพร้าวน้ำหอม ก็มาจากโซนภาคกลาง
SME ONE : มะพร้าว 2 สายพันธุ์มีรสชาติต่างกันอย่างไร
ธีระวุฒิ : ไม่ได้ต่างกันมาก ข้อดีของมะพร้าวแกงคือชิ้นมันจะใหญ่ ข้อดีของมะพร้าวน้ำหอมคือกลิ่นมันจะหอม แต่ข้อเสียก็คือชิ้นเล็ก แต่พอเอามาทำเป็นมะพร้าวแก้ว เทกเจอร์หรือความนุ่มมันเหมือนกัน เพราะว่าเกรด A หรือเกรด B มันคือการคัดแยก เราจะสไลด์ส่วนที่นิ่มที่สุดเป็นเกรด A โดยมะพร้าวเกรด A เกรด B จะเป็นมะพร้าวลูกเดียวกัน แต่มะพร้าวที่เป็นเส้น คือมะพร้าวแก่ เขาจะเอาไปซอยเส้นอย่างเดียวเลย แต่ถ้าเกรด A หรือเกรด B เขาจะเรียกว่าเนื้อมะพร้าว 2 ชั้น เขาจะนำมาสไลด์ส่วนที่ติดกับกะลา ก็จะกลายเป็นเกรด A ไป ส่วนชั้นที่ 2 ก็จะเป็นเกรด B
ถามว่าราคาเกรด A กับ B ต่างกันเยอะแค่ไหน ถ้าบรรจุภัณฑ์ 500 กรัม ราคาขายเกรด A จะอยู่ที่ 175 บาท ราคาขายเกรด B จะอยู่ที่ 130 บาท ลูกค้าจะชอบกินแบบนิ่ม ส่วนมากลูกค้าเขาจะทานเกรด A หรือว่าลูกค้าที่ทำ OEM กับผมเขาจะขายเกรด A กันหมดเลย เพราะมันขายง่าย มันนิ่มมันอร่อย
SME ONE : ทุกวันนี้รายได้ของ เคียงเลยมะพร้าวแก้ว มาจากช่องทางใดบ้าง
ธีระวุฒิ : มาจากการขายผ่านหน้าร้านประมาณ 30% ช่องทางออนไลน์ประมาณ 20% และมาจากการรับจ้างผลิตหรือ OEM ประมาณ 50% ในส่วนของหน้าร้าน เนื่องจากปัจจุบันมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ยอดขายหน้าร้านก็เลยตกลง เราจำเป็นต้องพัฒนาโดยการหาตลาดใหม่ให้ขายได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การขายออนไลน์ ซึ่งเราเริ่มขายก่อนช่วง COVID-19 ประมาณ 2 ปี เพื่อเป็นการหารายได้เพิ่ม ข้อดีของตลาดออนไลน์ก็คือ มียอดสั่งซื้อมาจากทั่วประเทศ
SME ONE : เคียงเลยมะพร้าวแก้วมีไปวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าปลีกบ้างหรือไม่
ธีระวุฒิ : มีครับ จริง ๆ ที่เราเริ่มมีชื่อเสียงมาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากเราได้เข้าร่วมกับทางพัฒนาชุมชน เขาก็ไปคัดสรรเป็นสินค้า OTOP โดยเลือกจากสินค้าที่ได้ 5 ดาว เขาจะให้ออกตลาดที่เมืองทอง เมืองทองถือเป็นโอกาสที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น เพราะจะมีห้างใหญ่ ๆ ที่เขามาเดินดูสินค้า ตอนนั้นก็จะมีห้างในเครือของเซ็นทรัลสนใจจะนำไปวางขายที่ Tops เราก็เลยได้ขายกับเขา แต่เป็นชื่อแบรนด์ของเรา เราเลยเริ่มมีชื่อเสียงจากตรงนั้น
SME ONE : ช่วงวิกฤติ COVID-19 มีวิธีการรักษาหรือประคองธุรกิจอย่างไร
ธีระวุฒิ : ช่วง COVID-19 ร้านค้าปลีกก็ไม่ได้สั่งกับเราเลย เพราะห้างก็ไม่ได้เปิด สถานที่ท่องเที่ยวก็ปิดหมดเลย มะพร้าวที่ต้มไว้แล้ว เราทำไว้ก็ฟรีซดรายไว้ ถ้ามีออเดอร์ก็เอาออกมาเคี่ยว 3-4 นาที ตอน COVID-19 เรามีสต๊อกเหลืออยู่ในตู้แช่ประมาณ 700 กิโล เราก็มาคิดกันว่าทำอย่างไรให้มันขายหมด พอดีผมทำเพจไว้ก่อนช่วง COVID-19 ประมาณ 2 ปี ผมเลยใช้การขายออนไลน์ในช่วง COVID-19 ในความโชคร้ายเราก็โชคดี ตอนเดือนเมษายนช่วง COVID-19 ปีแรก มีรายการอาหารรายการดังอย่าง ครัวคุณต๋อย มาเชิญให้เราไปออกรายการ เราได้เห็นพลังของสื่อ เราก็ขายในเพจอยู่แล้ว พอเราก็ได้ออกรายการนี้ กลายเป็นออเดอร์แบบเยอะมาก จนช่วง COVID-19 เราต้องสั่งมะพร้าวมาผลิตโดยที่ปิดหน้าร้านไว้เลย
SME ONE : สินค้าท้องถิ่นรายได้ผูกติดกับนักท่องเที่ยว ช่วง Low Season มีวิธีบริหารธุรกิจอย่างไร
ธีระวุฒิ : ถ้าเป็นช่วงท่องเที่ยว เราก็เน้นเสริมสินค้าที่หน้าร้าน เราจะรู้เลยว่าต่อวันวันเราต้องผลิตเท่าไหร่ แต่ช่วง Low Season ส่วนมากจะเป็นช่วงหน้าร้อน เราก็เปลี่ยนการขาย ผมเลยมองว่าการตลาดสำคัญมาก ผมจึงต้องดึงตลาด OEM มาเสริม เพื่อเราจะได้รายได้ประจำและยั่งยืน ไม่ต้องกังวลว่าเราจะขายหน้าร้านได้เท่าไหร่ การบริหารมันง่ายกว่า และการวางแผนผลิตสินค้าก็จะง่ายกว่า แต่หน้าร้านเราก็จะมีให้กับลูกค้าที่เข้ามาหน้าร้าน หน้าร้านไม่มีไม่ได้ เพราะมันเป็นเหมือนบ้านเรา ให้คนมารู้จักเรา ลูกค้าบางท่านมาจากกรุงเทพฯ ที่สั่งออนไลน์กับเรา เขาก็ตามมาหาถึงที่ร้านก็มี
SME ONE : ปัญหาที่เจอในแหล่งท่องเที่ยว พอเป็นสินค้าขึ้นชื่อก็จะมีแบรนด์ออกมาเหมือนกันหมด เคียงเลยมะพร้าวแก้วทำอย่างไรให้เด่นกว่าคู่แข่ง
ธีระวุฒิ : อย่างแรกก็คือ ต้องรักษามาตรฐานสินค้า มะพร้าวแก้วมีวิธีการผลิตหรือขั้นตอนเหมือนกัน แต่ทำไมร้านเราได้ไปออกรายการทีวี ในเมื่อเขาชิมมาทุกร้านแล้ว เขาบอกว่าทำไมร้านเรารสชาติโดดเด่น มันจะมีบางขั้นตอนบางร้านเขาก็ทำไม่เหมือนกัน เช่น ความสะอาด ของเราจะทำข้างในโรงเรือนเลย เราจะไม่เอามาเคี่ยวหน้าบ้านเหมือนให้นักท่องเที่ยวดู เพราะว่ามันมีฝุ่น ของเราความสะอาดต้องมาอันดับ 1 และในกระบวนการเคี่ยวมะพร้าว อันนี้ผมพูดถึงความโดดเด่นของมะพร้าวของเรานะครับ ผมจะเน้นให้คนงานเคี่ยวมะพร้าวจนแห้งตกผลึก เพื่อเวลาที่เอาไปเข้าเครื่องสลัดเกล็ดน้ำตาล ตัวน้ำตาลมันจะหลุดออกเยอะ ทำให้เนื้อมะพร้าวเนื้อนวล แล้วก็มีรสชาติที่กลมกล่อมและหวานน้อย อันนี้คือความโดดเด่น
SME ONE : ที่ผ่านมาเจอปัญหาคู่แข่งขายสินค้าตัดราคาบ้างหรือไม่
ธีระวุฒิ : มีครับ และเป็นประเด็นตอนนี้เลย ทำให้เราต้องมาแข่งกับตัวเอง เพราะเราไปบอกคนอื่นให้ขายราคาเท่าเราไม่ได้ เราเลยมามองตัวเองว่าพร้อมตรงไหน เรามีอะไรที่แกร่งกว่าคนอื่น ผมก็เลยมองการตลาดว่าจากที่ผมขายออนไลน์ในช่วง COVID-19 ช่วงนั้นทุกร้านก็ขายออนไลน์เหมือนกัน แล้วตอนนั้นการขายในเพจมันต้องยิงแอด แล้วร้านที่ขายสินค้าเหมือนกันแข่งกันยิงแอด ค่าแอดมันก็จะเพิ่มขึ้น ค่าโฆษณาที่ผมต้องจ่ายให้ Facebook มันเยอะมาก ก็เลยมาคิดใหม่ว่าเราต้องหาตลาดเพิ่ม
ผมเลยไปหาลูกค้าแบบ OEM ผมเน้นคนที่ขายออนไลน์แล้วเขาขายเก่ง เขาอยากทำแบรนด์ของตัวเอง เราสามารถขอ อย. ให้เขาได้เลยโดยที่เขาส่งชื่อแบรนด์มาให้เรา เราก็จะขอ อย. ให้ แต่เงื่อนไขคือจะต้องสั่งผลิตกับเราเท่านั้น เพราะสถานที่ผลิตมันเป็นสถานที่ของเราในเลขของ อย. ปัจจุบันหลักๆ ผมก็อยู่ได้ด้วยลูกค้า OEM เลย ทำให้เรามั่นคงและยั่งยืน
ทำให้เราก็ไม่ต้องห่วงว่าหน้าร้านเราจะไปแข่งราคากับใคร เรามั่นใจว่าสินค้าเราดี ราคาเราไม่จำเป็นต้องลด ก็คือราคามันสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ของเขาที่ลดได้ก็เพราะว่าของเขามีข้อด้อย แต่ลูกค้าเขาเป็นคนเลือก ลูกค้าบางคนเขาก็ดูว่าร้านนี้มี อย. ไหม ก็อยู่ที่กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าแต่ละท่าน บางท่านเขาไม่ซีเรียสเรื่อง อย. เห็นราคาถูกเขาก็ซื้อ เราเลยได้ฐานลูกค้าที่เป็นระดับกลางขึ้นไปถึงระดับบน
SME ONE : เคียงเลยมะพร้าวแก้วมีส่งสินค้าไปขายต่างประเทศบ้างหรือไม่
ธีระวุฒิ : ตอนนี้กำลังเจรจากันอยู่น่าจะเริ่มที่ตะวันออกกลาง ก่อนหน้านี้ที่ผมบอกว่าต้องแข่งกับตัวเองก็คือ เรามีปัญหาเรื่อง Shelf life (อายุการเก็บรักษา) ของมะพร้าวแก้วที่เราขายกับ Tops ก็คือหมดอายุแค่ 1 เดือน ผมต้องเก็บโจทย์นี้มาพัฒนาเอง โดยมีที่ปรึกษาก็คืออาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ด้านเทคโนโลยีอาหาร พอผมมีปัญหาก็โทรไปคุยกับอาจารย์ ตอนนี้ผมก็พัฒนาให้เก็บได้ 3 เดือนแล้วก็กำลังคุยกันอยู่กับลูกค้ารายหนึ่ง เขาจะนำไปส่งที่ตะวันออกกลาง ตอนนี้เขาคิดชื่อแบรนด์อะไรของเขาอยู่ เป็น OEM
การเพิ่มอายุการเก็บรักษา จาก 1 เดือนเป็น 3 เดือนได้ มาจากกระบวนการผลิตสินค้า และการพัฒนา Packaging ให้สามารถรักษาคุณภาพได้นานขึ้น เริ่มจากวัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่สะอาด ผลิตเสร็จแล้วใส่บรรจุภัณฑ์ทันที สมมติว่ามีออเดอร์วันนี้ 200 แพ็ค ผมจะไม่เคี่ยวมะพร้าวไว้ ก็คือจะให้คนงานเคี่ยวไปด้วย คนที่อยู่ในห้องแพ็คก็จะแพ็คไปด้วย ได้มาก็แพ็คใส่ถุงเลย แล้ว Packaging ก็จะเป็นถุงพิเศษ ที่เราทดลองก็จะได้ประมาณ 3 เดือน แต่จริงๆ มันเก็บได้นานกว่านั้น แต่ผมการันตีให้ลูกค้า 3 เดือน ถ้ามีห่อไหนเสียเคลมได้เลย
SME ONE : ตั้งแต่ทำธุรกิจมา เคยเจอปัญหาไหนที่หนักๆ บ้าง แล้วแก้ปัญาหาอย่างไร
ธีระวุฒิ : เจอหลายเรื่องด้วย ก่อนหน้า COVID-19 ก็จะเป็นเรื่องราคาสินค้า พอร้านเยอะขึ้นก็ตัดราคากันเอง คนที่เขาขายถูกก็ผลิตง่ายๆ เราไม่ต้องลงทุนเยอะแบบเราที่ต้องมีโรงเรือน แล้วการคัดมะพร้าวของเขาก็ไม่คัดดีขนาดเรา เราก็พัฒนาโดยการหาตลาดแบบใหม่คือ ผมก็มาขายออนไลน์ เราจะไม่แก้โดยลดราคาสู้ เพราะผมได้ไปเรียนรู้กับนักการตลาดกรมการพัฒนาชุมชน เขาส่งไปอบรมกับนักการตลาดหลาย ๆ คน เราก็เก็บความรู้ที่ได้จากนักการตลาดทุกท่านนำมาประยุกต์ใช้กับแบรนด์ของเรา
SME ONE : ปัจจุบันคนเริ่มมีความรู้เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่งผลกับเคียงเลยมะพร้าวแก้วหรือไม่
ธีระวุฒิ : ส่งผลครับ เราปรับตัวมาตั้งแต่ช่วง COVID-19 มีลูกค้าบอกว่าทานมะพร้าวแก้วแล้วมันหวานมาก เราเลยมาปรับสูตรอัตราส่วนให้หวานน้อยลงจนถึงปัจจุบัน ในกระบวนการก็เอาน้ำตาลออกให้เยอะ มะพร้าวของเราจะหวานน้อยที่สุด ถ้าเทียบจาก 100% เคียงเลยมะพร้าวแก้วเราลดความหวานลงมาประมาณ 20% ตอนนี้ยังทำได้แค่นี้ เพราะว่าการต้มมะพร้าวจะต้องใช้อัตราส่วนที่เป็นน้ำตาล ถ้าน้ำตาลไม่พอในมะพร้าว เนื้อมะพร้าวเวลาต้มก็จะเละ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม
SME ONE : อยากจะต่อต่อยอดธุรกิจอย่างไร
ธีระวุฒิ : ในส่วนของผมจะมีอยู่ในใจว่าถ้าได้ลูกค้าประมาณนี้ มันจะเกิดความยั่งยืนกับเรา แต่เราก็ไม่ล้าหลัง เราต้องพัฒนาสินค้าไปเรื่อย ๆ ดูว่ามีอะไรใหม่ ๆ ตอนนี้ก็มีพัฒนาสูตรกับมหาลัยราชภัฏเลย เขาจะมาช่วยทำสูตรที่หวานน้อยกว่านี้ โดยเปลี่ยนน้ำตาล ใช้น้ำตาลอีกตัวนึง ตอนนี้ก็เริ่มทดลองกันอยู่
ส่วนเรื่องการพัฒนาไปเป็นสินค้าใหม่ เราเคยลองเอาไปเคลือบช็อกโกแลต แต่มันติดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอายุการเก็บอย่างเดียวเลย ถ้าเอาไปเคลือบช็อกโกแลตจะเสียไวมาก และจะมีกลิ่นหืน ตอนนี้ถ้าผมจะพัฒนาเพิ่มก็เรื่องอายุการเก็บรักษา เรามีโจทย์ว่าถ้าสามารถพัฒนาเรื่องอายุการเก็บได้ถึง 6 เดือน เรื่องตลาดไม่ต้องห่วงเลย มีแต่คนติดต่อมาตลอดเลย เขาพร้อมที่จะสั่งกับเราได้เลย ถามว่าเป็นไปได้ไหมก็คิดว่าเป็นไปได้ เพราะกำลังพัฒนารวมกับอาจารย์เรื่องอายุการเก็บด้วย แต่ทางร้านจะเน้นว่าไม่ใช้สารกันบูด
SME ONE : จากนี้ต่อไปอะไรคือความท้าทายของเคียงเลยมะพร้าวแก้ว
ธีระวุฒิ : ความท้าทายคือการรักษาคุณภาพของเราให้เหมือนเดิม กระบวนการผลิตแต่ละกระบวนการต้องเหมือนเดิม ต้องควบคุมให้ได้มาตรฐานเท่าเดิม เรื่องนี้ท้าทายมาก มันยากมาก เพราะมันมีหลายส่วนของกระบวนการผลิตมะพร้าวแก้ว ตั้งแต่เราเลือกวัตถุดิบ จนมาถึงขั้นตอนสไลด์ ตอนนี้ยังใช้คนสไลด์อยู่ เลือกเกรด A เกรด B ตรงนี้สำคัญ การเคี่ยวต้องเคี่ยวเป็นสูตรของเรา เคี่ยวให้น้ำตาลตกผลึก มันก็จะมีผลกับตอนที่เรานำมาแพ็ค น้ำตาลมันร้อนเวลาเรานำมาแพ็ค มันก็จะเก็บได้นาน ต้องอยู่ในถุงที่ดี
SME ONE : อยากให้คุณธีรวุฒิช่วยให้คำแนะนำสำหรับคนที่จะมาเป็นผู้ประกอบการ MSME
ธีระวุฒิ : การที่จะเริ่มธุรกิจส่วนที่สำคัญที่สุด คือเรื่องการตลาด อันดับแรกเราต้องมามองสินค้าตัวเอง มาคิดว่าสินค้าเรามีข้อด้อยตรงไหน แล้วเราก็ต้องแก้ไขปัญหา พอลูกค้าเขาเจอผลิตภัณฑ์ที่ดี เขาก็จะเลือกของเขาเอง คือเราต้องพร้อม เอาง่าย ๆ พร้อมคืออะไร มี Packaging ที่ดี อายุการเก็บรักษาตามที่เขาบอก อันนี้ผมพูดในเชิงอาหารนะ ถ้าเป็นสินค้า OTOP ยิ่งง่ายด้วย
บทสรุป
ความสำเร็จของเคียงเลยมะพร้าวแก้วนั้นมาจากการนำเอาแนวคิดการตลาดสมัยใหม่เข้ามายกระดับจากสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) OTOP ให้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าผ่านคำว่านวัตกรรม ทั้งในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทำในโรงเรือนแบบปิด ได้มาตรฐาน อย. รวมถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาสินค้าไว้ได้นานกว่าคู่แข่งในท้องตลาด จนแบรนด์ “เคียงเลยมะพร้าวแก้ว” เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน