
เทศกาลตรุษจีนในปี 2020 นี้ ถือเป็นฝันร้ายของชาวจีน เนื่องจากประเทศจีนได้ถูกโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โจมตีทั่วประเทศทำให้ต้องปิดบ้านปิดเมือง ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกับโรคซาร์สในปี 2003 โดยหลังจากผ่านวิกฤตโรคซาร์สในครั้งนั้นเศรษฐกิจจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมใหม่มากมาย ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หลังจากการระบาดของโรคร้ายดังกล่าว เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่จีนต้องเผชิญกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จนทำให้มีการคาดการณ์ว่า จะมีการพัฒนาของอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ถึง 9 ประเภท หลังวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ดังนี้
อุตสาหกรรมยา เช่น การพัฒนาวัคซีน การทดสอบไวรัส และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทางชีวภาพ โดยคาดว่ารัฐบาลจีนจะกำหนดนโยบายเพิ่มเติมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของประชาชน ภายหลังจากการระบาดของโรคเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งการตรวจสอบและวินิจฉัยโรคในครั้งนี้พบว่า มีบริษัทหลายรายเริ่มพัฒนาสารเคมีที่สามารถตรวจสอบผลลัพธ์ได้ภายในครึ่งชั่วโมง แสดงให้เห็นว่า การวิจัยทางการแพทย์และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ในประเทศจีนอยู่ในขั้นสูงมาก ซึ่งทำให้ต่อจากนี้บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาอุตสาหกรรม AI เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในช่วงของการระบาดของโรคในครั้งนี้ โดยพบว่า บริษัทวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ AI หลายรายได้มีส่วนช่วยในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในมณฑลหูเป่ยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่น ได้นำหุ่นยนต์ AI เข้ามาใช้ในเรื่องของการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคแล้ว ยังช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ AI Big Data ยังได้สร้างผลงานที่ดีในการตรวจสอบจำนวนประชากรจีนในมณฑลหูเป่ยจำนวน 5 ล้านคน ที่เดินทางออกนอกพื้นที่ พร้อมกับประยุกต์ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือในการระบุตำแหน่งของบุคคลที่เดินทางออกจากมณฑลหูเป่ยอีกด้วย ขณะที่ในเทคโนโลยี AI ของอาลีบาบาก็ได้เข้ามามีส่วนในกระบวนการพัฒนาและ คิดค้นวัคซีนให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งความก้าวหน้าและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลจากการใช้ AI ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตจะมีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น
การเพิ่มภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง จะเห็นได้จากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ว่า การมีภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคและความรุนแรงของโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์สหรือโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล โดยคนที่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงก็มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสน้อย หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันแต่ติดเชื้อไวรัสก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและมีโอกาสในการ รักษาหายได้ง่ายกว่า เป็นต้น
การเพิ่มภูมิคุ้มกันจากยารักษาโรคมีความสำคัญมากพอๆกับการมีร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงเริ่มตระหนักถึงการออกกำลังกายและการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้จึงคาดว่า เครื่องออกกำลังกายและอุปกรณ์กีฬาจะขายได้ดีมากขึ้นและขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องออกกำลังกายที่สามารถใช้ภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยหลบเลี่ยงการพบปะหรือรวมตัวของผู้คน ซึ่งเป็นความเสี่ยงของการติดโรค จะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม และมีความต้องการในการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การรักษาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนทุกคนเริ่มตระหนักว่า สภาพแวดล้อมที่ไม่แข็งแรงหรือไม่บริสุทธิ์ เป็นปัจจัยที่สนับสนุนการแพร่กระจายของโรคและการเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อโรคระบาดผ่านพ้นไป อุตสาหกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อม จะเข้าสู่ยุคของความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ไม่เพียงแต่ทุกคนจะให้ความสำคัญกับการรักษาและคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้บริสุทธิ์ แต่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะเพิ่มการลงทุนและจัดสรรงบประมาณ เพื่อรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นด้วย
การค้าออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ผู้ซื้อไม่ต้องเจอผู้ขาย ซึ่งการเกิดโรคระบาดครั้งนี้ ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงการพบปะและการสัมผัสสิ่งของต่างๆ เพราะมีความหวาดระแวงต่อการแพร่ระบาดของโรค ประกอบกับยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน จึงส่งผลกระทบในระยะสั้น ทำให้ร้านค้าต่างๆ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ ทำให้การซื้อของออนไลน์กลายเป็นรูปแบบการค้าขายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งคาดการณ์ว่า หลังจากการระบาดของไวรัสจะมีการพัฒนาการค้าออนไลน์และรูปแบบการค้าแบบอีคอมเมิร์ซในรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนพบหรือสัมผัสคนโดยตรง ซึ่งการซื้อขายออนไลน์ดังกล่าวจะมีความก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างแน่นอน
ธุรกิจการศึกษาทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เป็นธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกับการค้าอีคอมเมิร์ซคือ ผู้รับบริการไม่ต้องสัมผัสหรือติดต่อกับคนโดยตรง เมื่อการติดต่อของมนุษย์กลายเป็นความเสี่ยง แต่การศึกษายังเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้น ทุกคนจึงทำได้เพียงเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของตลาดการศึกษาจีน เนื่องจากประเทศจีนมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาบุคลากรและให้ความสำคัญต่อการศึกษาเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งหากธุรกิจดังกล่าว ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะสร้างผลประโยชน์และมูลค่าได้อย่างมหาศาลอย่างแน่นอน
เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ทุกคนอยู่แต่ในบริเวณบ้าน หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน การเดินทางด้วยรถขนส่งสาธารณะ และการพบปะผู้คนให้น้อยที่สุด ดังนั้น เมื่ออยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย มีแต่กิจกรรมที่ซ้ำซากจำเจ ทำให้เกมมือถือกลายเป็นรูปแบบความบันเทิงใหม่ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย สามารถสร้างความบันเทิงและโอกาสในการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ออนไลน์ได้อีกทางหนึ่งด้วย จึงคาดการณ์ว่า ตลาดเกมมือถือในจีน จะได้รับการพัฒนาให้มีความหลากหลาย และเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นในอนาคต
ธุรกิจ We Media เติบโตและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในครั้งนี้ ที่ส่งผลให้ประชาชนต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตตามปกตินอกบ้านได้ ทำให้เกิดโอกาสมากมายแก่ชาว We Media ที่ได้แสดงตัวตนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ ถ่ายคลิปวีดีโอสั้นๆ และเผยแพร่ลงบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ประกอบกับโลกออนไลน์ทำให้สามารถรับรู้ข่าวสาร ติดตามสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จึงคาดการณ์ว่า ธุรกิจ We Media จะได้รับการพัฒนารูปแบบให้มีความก้าวหน้า น่าสนใจ และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
การปรับตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของชาวจีนหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ระบาด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมากในระยะสั้น เนื่องจากประชาชนอาจจะยังมีความหวาดระแวงต่อการแพร่ระบาดของโรค และกลัวการออกจากบ้าน หรือประชาชนบางส่วนอาจหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางออกนอกประเทศ รวมทั้งการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บางชนิดจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะบริโภคสินค้าและบริการที่สามารถใช้บริการได้แม้จะอยู่แต่ในบ้าน จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยและผู้ประกอบการไทยต้องเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคและความต้องการของตลาดจีน รวมทั้งการปรับตัวของธุรกิจต่างๆของจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางการค้าที่เหมาะสมและแสวงหาโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ในการทวงคืนตลาดส่งออกหลักอย่างตลาดจีนได้ทันท่วงที
การระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่เดินทางออกไปจับจ่ายใช้สอยและเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้น ภาครัฐสามารถส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อหรือใช้บริการได้แม้จะอยู่ในบ้าน นั่นก็คือ “สินค้าดิจิทัล” ได้แก่ สินค้ากลุ่มดิจิทัลคอนเท้นต์ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ซอฟท์แวร์ เกม แอพพลิเคชั่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากประชาชนที่อยู่แต่ในบ้านมีแนวโน้มที่จะใช้เวลากับอินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ และโทรศัพท์มือถือมากขึ้น โดยภาครัฐสามารถดำเนินการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพระดับหนึ่งก่อน เพื่อเป็นการทดสอบตลาดควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทำ Digital marketing โดยใช้นักแสดงไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดจีน และ Online Promotion ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับความนิยมของจีน ซึ่งในระยะสั้นอาจจะเป็นการสร้างการรับรู้ถึง Digital Product และศักยภาพของดิจิทัลคอนเท้นท์ในรูปแบบใหม่ๆของไทย ในขณะที่ ระยะกลางและระยะยาว จะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการไทยและประเทศไทยได้อย่างมหาศาล และนำมาซึ่ง โอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการใหม่ๆ รวมทั้งสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย
Published on 23 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
ด้วยขนาดของตลาดมุสลิมที่ใหญ่มหาศาล มีจำนวนผู้บริโภคทั่วโลกไม่น้อยกว่า 2,140 ล้านคน มูลค่าการค้ากว่า 162,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME ไทย ในการที่จะขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าดังกล่าว แต่รู้ไหมว่า การจะขายสินค้าให้กับผู้บริโภคมุสลิมได้นั้น สิ่งสำคัญคือ สินค้าต้องผ่านการรับรองเครื่องหมายฮาลาล เพื่อยืนยันว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักศาสนา สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคก่อนตัดสินใจซื้อนั่นเอง
แล้วการที่ผู้ประกอบการ SME จะได้เครื่องหมายฮาลาล ควรต้องทำอย่างไร…มีคำแนะนำจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มาฝากให้ได้รู้กัน…
ก่อนจะดำเนินการยื่นขอเครื่องหมายรับรองฮาลาล สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบก่อน นั่นคือ ในจังหวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิต มีกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือไม่ หากมี ก็สามารถติดต่อดำเนินการได้เลย แต่ถ้าไม่มี การรับรองฮาลาลจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายกิจการฮาลาล สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบรายชื่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้ที่ www.cicot.or.th หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2096-9499 (10 คู่สาย)
จากนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมให้พร้อม คือ เอกสารสำหรับการยื่นขอรับรองฮาลาล ประกอบด้วยเอกสารคำขอ HL.Cicot OC 01-08 ได้แก่ เอกสารที่ต้องเตรียมก่อนขอรับรองฮาลาล คู่มือฮาลาลเพื่อการขอรับรอง (Halal Manual) สัญญาคำขอให้เครื่องหมายรับรองฮาลาล เป็นต้น (คลิกดาวน์โหลดแบบฟอร์มคำขอใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล)
หลังจากผู้ประกอบการยื่นเอกสาร ที่สำนักงานอิสลามประจำจังหวัดแล้ว เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสาร กรณีไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะติดต่อให้ส่งเอกสารให้ครบถ้วนภายในเวลา 7 วันทำการ
ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการตรวจสอบสถานประกอบการ (คลิกดูรายละเอียดค่าธรรมเนียม) โดยจะได้รับใบแจ้งหนี้หลังจากส่งเอกสารขอรับรองฮาลาลไม่เกิน 15 วัน
ในขั้นตอนนี้ เจ้าหน้าที่จะนัดหมายตรวจโรงงาน โดยแจ้งวันและเวลาในการตรวจรับรองสถานประกอบการ หลังจากนั้นคณะผู้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฮาลาลจะเข้าตรวจสถานที่ และตรวจสอบตั้งแต่ วัตถุดิบ ขั้นตอนการผลิต คลังสินค้า ตลอดจนการขนส่ง เป็นต้น ขั้นตอนนี้หากเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ฮาลาล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ตรวจรับรองฮาลาลเกิดข้อสงสัยในส่วนผสมบางอย่าง จะต้องส่งส่วนผสมผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการเพื่อความชัดเจน
หากผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จะลงมติผลการตรวจรับรอง
จากนั้นจะส่งรายงานเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อขออนุมัติการใช้เครื่องหมาย เมื่อที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติ ก็จะดำเนินการออกหนังสือรับรองฮาลาลให้สถานประกอบการนั้นๆ สำหรับการประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามฯ จะจัดขึ้นเดือนละ 1 ครั้ง
ถึงตรงนี้ ผู้ประกอบการต้องชำระค่าธรรมเนียมเพื่อรับหนังสือรับรองฮาลาล ซึ่งจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี การนำเครื่องหมายรับรองฮาลาลไปใช้มีระเบียบและกติกามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การนำไปพิมพ์ลงบนบรรจุภัณฑ์ การใช้เครื่องหมายในการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ดังนั้นผู้ประกอบการสามารถศึกษาวิธีการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลเบื้องต้นได้ที่ ข้อกำหนดแนวทางปฏิบัติการขอใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลและการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลบนผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ปี พ.ศ.2559
นอกจากนี้ กรณีที่ต้องการต่ออายุเครื่องหมายฮาลาล ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการภายใน 60 วันก่อนหมดอายุ มิฉะนั้นจะต้องยื่นคำขอใหม่
Published on 23 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีการลงทุนประเภทไหนที่จะหอมเย้ายวนกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่ากับสตาร์ทอัพ ดังจะเห็นได้จากกระแสคนรุ่นใหม่ที่ลาออกจากงานมาทำสตาร์ทอัพมากขึ้น ตามหน้าสื่อต่าง ๆ เราจะเห็นข่าวการเติบโตของสตาร์ทอัพที่สามารถขยับขยายจากระดับ Seed Fund ขึ้นไปสู่ Series A, Series B, Series C มาโดยตลอด จนหลายคนตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีสตาร์ทอัพไทยที่ก้าวไปถึงการเป็น Unicorn หรือ สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในความเป็นจริง เส้นทางของสตาร์ทอัพก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย
เหตุผลเพราะว่าสตาร์ทอัพนั้นเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนธุรกิจทั่วไป แต่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด (Growth), ทำซ้ำ ๆ ได้ (Repeatable) และขยายตัวได้อย่างกว้างขวางไร้ข้อจำกัด (Scalable) ดังนั้นหัวใจของสตาร์ทอัพจึงอยู่ที่การวางโมเดลธุรกิจ (Business Model) หรือกระดุมเม็ดแรก
โดยเฉลี่ยแล้วมีสตาร์ทอัพไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง อีก 90% นั้นไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ยิ่งในสภาวะการณ์ที่ไม่แน่นอนเพราะวิกฤต COVID-19 ปัจจัยพื้นฐานหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจของสตาร์ทอัพมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
เป็นโอกาสอันดีที่ ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม นายกสมาคม Thailand Tech Startup Association จะมาอัพเดทสถานการณ์ล่าสุดให้ SME ONE ฟัง
ไปที่ ภาพรวม สตาร์ตอัพ เมืองไทย
ไปที่ โอกาสทางธุรกิจของสตาร์ตอัพไทย
ไปที่ แนวคิดและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับสตาร์ทอัพไทย
ไปที่ จุดเริ่มต้น แนวคิด และไอเดียของธุรกิจ ZTRUS
ไปที่ คำแนะนำที่มีต่อ SME หรือผู้ประกอบการที่สนใจอยากทำธุรกิจด้านนี้
SME ONE : ภาพรวม สตาร์ตอัพ เมืองไทยตอนนี้เป็นอย่างไร
ดร.พณชิต : ในสภาพการณ์ปกติถือว่าได้รับความสนใจจากเด็กยุคใหม่ คนเริ่มสนใจออกมาทำสตาร์ตอัพเยอะขึ้น พนักงานเงินเดือนที่ลาออกมาจะเริ่มมีอายุขึ้น แต่ข้อเสียคือคนที่อายุมากออกมาทำสตาร์ตอัพจะไม่ได้รับเงินสนับสนุนเท่ากับเด็ก คนที่อยู่ใน Corporate เป็นพนักงานกินเงินเดือนแล้วออกมาทำอย่างผมก็เป็น Salaryman มาตลอดที่เห็นโอกาสแล้วออกมาทำ ถามว่าจำนวนสตาร์ตอัพเติบโตขึ้นไหม ไม่ได้เยอะแบบมีนัยสำคัญ แต่สัดส่วนที่มามาก ๆ จะมาจากรุ่นเด็ก เพราะเงินกับแคมเปญ และนโยบายส่วนใหญ่จะวิ่งเข้าไปที่ฝั่งมหาวิทยาลัย
SME ONE : อยากให้มองจุดอ่อน - จุดแข็งของสตาร์ตอัพสัญชาติไทย
ดร.พณชิต : ต้องดูในหลายแง่มุม เริ่มจากแง่มุมของบุคลากร เรื่องคนเราไม่แพ้ใครศักยภาพเราสู้เขาได้ แต่ในแง่มุมของความกล้าเสี่ยงหรือความเข้าใจธุรกิจ เนื่องจากอายุเฉลี่ยของสตาร์ตอัพไทยน้อยกว่า ฉะนั้นการเริ่มต้นความเข้าใจในธุรกิจจะสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเอาคนอายุใกล้ ๆ กันมาชนกันน่าจะสู้ได้ แต่พอมองในแง่มุมประสบการณ์ หรือคนที่จะมาถ่ายทอดจากนักลงทุน พอพูดถึงนักลงทุนส่วนใหญ่จะนึกถึงเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เราต้องการจากนักลงทุนในฐานะสตาร์ตอัพเราไม่ต้องการแค่เงิน เราต้องการนักลงทุนที่เรียกว่า Smart Money ที่มาพร้อมกับความฉลาด
เพราะฉะนั้น เราต้องการนักลงทุนที่เคยลงทุนกับ Unicorn เขาถึงจะรู้ว่าสร้าง Unicorn สร้างอย่างไร นักลงทุนกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยเข้ามา 60% ของทุนในตลาดยังเป็น Corporate Venture Capital หรือเป็นเจ้าของโดยบริษัทใหญ่ ซึ่งบริษัทใหญ่คนที่มาเทรนเราคือพนักงานเงินเดือนที่มีความสามารถแต่มุมมองอาจจะไม่ตรงกัน ผมถึงบอกว่าถ้าเราอยากจะสร้างผู้ประกอบการที่ไป Unicorn เราต้องหาคนที่รู้ว่าจะสร้างผู้ประกอบการ Unicorn อย่างไร
SME ONE : ทุกวันนี้สตาร์ตอัพรู้ไหมว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ มีน้อยมาก
ดร.พณชิต : รู้ครับ ผมอธิบายแบบนี้ เราอยู่ในสังคมที่ไม่ค่อยกล้ารับความเสี่ยง กล้าเสี่ยงเฉพาะเรื่องหวย แต่ไม่เสี่ยงเรื่องอื่น พอเป็นสังคมที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่นวัตกรรมมันคือสิ่งที่ต้องเสี่ยง เพราะฉะนั้นต้องยอมรับว่าจะมีคนที่ล้มเหลว คำถามคือ ในประเทศนี้มีใครกล้าออกมาว่าทำบริษัทเจ๊ง ไม่มี เพราะคนจะดูถูกคนที่ทำบริษัทเจ๊ง ทุกคนจะดูถูกคนที่มีประสบการณ์ทำบริษัทเจ๊งมาแล้ว 2 รอบว่าไม่โอเค ประเทศนี้ผิดพลาดไม่ได้ พอเป็นวัฒนธรรมของประเทศที่เล่นเกม Discredit มากเข้า Mindset ก็จะเทไปทางหนึ่ง ฉะนั้นโอกาสที่มันจะเกิดอะไรขึ้นมาใหม่ ๆ ก็ยาก
SME ONE : ที่อธิบายมาเป็นเหตุผลทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง
ดร.พณชิต : ไม่ออกเพราะว่ามันคือความเสี่ยง แล้วเสี่ยงของประเทศนี้คือถ้าเจ๊งแล้วเจ๊งเลย ตายแล้วมันกลับมาเกิดใหม่ยาก คือสมมติว่าคุณเสี่ยงถึงขั้นล้มละลาย คุณกลายเป็นคนทำอะไรไม่ได้อีกเลย ขนาดหายกลับมาแล้วก็ยังกลับมาไม่ได้ ถูกไหมครับ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังมีคนกล้าอยู่ แต่คนที่ออกมาต้องแบบมีพลังนิดหนึ่งเพราะว่าเดิมพันสูง แต่ทำให้ได้คนที่อยากจะทำจริง ๆ
SME ONE : มองความเคลื่อนไหวในฝั่งนักลงทุนอย่างไร
ดร.พณชิต : นักลงทุนไทยเคยชินกับของ On the shelf คือซื้อมาสำเร็จรูปของที่ฉันซื้อจะผิดไม่ได้ อันนี้เป็นวิธีคิดแบบยุคก่อน สมัยก่อนเราสามารถซื้อ Software สำเร็จรูปจากพันธุ์ทิพย์ได้ในราคาถูก ปัจจุบันฉันก็คิดว่าถ้าเธอจะขายเธอต้องถูกเท่าพันธุ์ทิพย์และเธอต้องสมบูรณ์เท่าพันธุ์ทิพย์ เลยทำให้ไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง เพราะการที่นักลงทุนต้องการ Software ที่สมบูรณ์ในวันแรก ๆ มันเป็นไปไม่ได้ ขนาดหน้าตา Facebook ในวันแรกกับวันนี้ก็คนละแบบกันเลย
ในส่วนของ Corporate บางส่วนก็จะมองอีกด้าน ตลาดฉันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสตาร์ทอัพเป็นบริษัทเล็ก ๆ จะมาแย่งตลาดฉัน ฉันลงทุนกับเธอเองเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ตามมาคือ สมมติว่าธนาคารสีหนึ่งลงทุนเสร็จ ถามว่าธนาคารสีอื่นจะลงทุนหรือใช้บริการสตาร์ตอัพรายนี้ไหม ก็ตอบว่าไม่ แปลว่าตลาดสตาร์ตอัพหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วจะโตได้อย่างไร นี่คือปัญหาของฝั่ง Corporate เพราะทันทีที่ Corporate ลงมาทำให้เกิดการแข่งขันของ Corporate ในเวทีสตาร์ตอัพ ซึ่งทางออกคือ ฝั่ง Corporate ต้องไม่คิดแข่งกันเองในประเทศ แต่ต้องร่วมมือกันเพื่อออกไปแข่งกับต่างประเทศ
SME ONE : กลับมามองเรื่องโอกาสทางธุรกิจ โอกาสของสตาร์ตอัพไทยเป็นอย่างไร
ดร.พณชิต : โอกาสจาก Pain Point ยังมีอีกเยอะ เพียงแต่ว่าโจทย์ที่เราคิด เราต้องยอมรับว่าตลาดเทคโนโลยี ตลาด New Business ตลาด Innovation ในประเทศไทยล้าหลังกว่าตลาดอื่นในแง่มุมของ Demand ประมาณ 5-10 ปี ตัวอย่างเช่นธุรกิจของผมเอง ก่อนหน้านี้ผมทำโซลูชั่นด้านบัญชี ตอนนี้ผมไม่ได้ทำทางด้านบัญชีแล้ว หลังจากที่ได้เงินลงทุนจาก N-Vest Venture ซึ่งเป็นกองทุนของธนาคารออมสินกับตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้โฟกัสของเราคือเรามองไปที่ต่างประเทศ
ตลาดเทคโนโลยีทางด้านบัญชีเป็นอย่างไร ถ้าเราทำแบบที่อเมริกา เมืองไทยจะไม่มีคนใช้ เพราะว่าเรายังไม่เห็นปัญหา Pain Point ที่เรามียังไม่ Advance ขนาดที่เขามี แต่ถ้าเราทำตามปัญหาที่เราเจอ เราจะสู้เขาไม่ได้เพราะเขาเห็นปัญหาและแก้ปัญหานี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นในวันที่เทคโนโลยีเขามั่นคงพอที่จะแก้ปัญหาเรา ลูกค้าเราก็จะ Compare เรากับคู่แข่ง เมื่อไหร่ที่คู่แข่งเข้ามาตลาดเมืองไทยเราก็จบ เพราะเขาทั้งใหญ่ ทั้งนิ่ง
ผมว่าถ้าเราเริ่มมองตลาด Corporate ตลาดขนาดใหญ่ก่อนหรือตลาดที่ Advance แล้วได้รับการสนับสนุน เราน่าจะสามารถที่จะขยายได้ อย่างน้อยภาคพื้นอาเซียนน่าจะทำได้ กับมองไปให้ลึก พอเรามองไปตลาดต่างประเทศ สิ่งที่เราเห็นคือเทคโนโลยีมันลึกจริง ๆ แล้วคือต้องใช้ Advance Tech คราวนี้เราก็ได้รู้ว่าเราต้องทำอะไร เราจะไม่ใช่แค่แบบ Solution ผ่านไปผ่านมา
SME ONE : เมื่อสักครู่ดร.พณชิต พูดเรื่อง Pivot มีคำแนะนำไหมว่า ถึงจุดหนึ่งควรจะต้องเลือกไปทางเดิมหรือ Pivot
ดร.พณชิต : ใช้สัญชาติญาณล้วน ๆ เมื่อใดที่ความรู้สึกบอกกว่าไม่ใช่แล้ว ต้องรีบตัดสินใจอย่าฝืน ฝืนได้นิดหน่อยจนรู้สึกว่าไม่ใช่ มันจะมีจุดหนึ่งที่บอกว่าไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนี้คือพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ ก็ต้องปรับ ต้องไม่เสียดาย ต้องกล้าเสี่ยง เพราะสตาร์ตอัพคือความเสี่ยง ใช้หลักการ Fail Fast, Fail Cheap, Fail Forward ล้มได้แต่ต้องลุกเดินต่อ
อย่างธุรกิจของผมตอนแรกที่ทำเราออกแบบโซลูชั่นการอ่านใบเสร็จ แล้วดึงข้อมูลด้วยการแปรจากภาพเป็นตัวอักษรแล้วตีความ ลงบันทึกบัญชีเดบิต/เครดิตให้ อันนี้คือเทคโนโลยีแรกที่ผมทำ แต่ผู้ประกอบการ SME ไม่ค่อยจ่ายเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้น เหมือนไม่อยากจ่ายเงินค่าทำบัญชี เพราะฉะนั้นราคาที่เขาจ่ายให้ผมไม่สูง ในขณะที่คนที่สนใจข้อมูลนี้คือ Corporate ขนาดใหญ่ เพราะมีเอกสารเยอะ และเขาอยากเห็นข้อมูล Real Time หรือกึ่ง Real Time การที่ต้องรอคนคีย์เอกสาร เขารอไม่ได้ เราก็เอาโซลูชั่นนี้ไปขาย ตอนนี้บริการเราทำทุกเอกสาร บัตรประชาชน ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน Pay Slip Bank Statement ทะเบียน เล่มทะเบียนรถยนต์ กรมธรรม์ สัญญาเช่า เหมือนเรารับจ้างคีย์ข้อมูลเข้าระบบให้ เรา Pivot มาทางนี้เลย
SME ONE : อยากรู้ว่ามีแนวคิดของสตาร์ตอัพอันไหนที่สามารถดึงมาใช้กับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ได้บ้าง
ดร.พณชิต : อย่าคิดไปเอง อย่ารัก Product ตัวเองมากเกินไป อันนี้คือหัวใจสำคัญ คือผมมีโอกาสไปให้คำแนะนำ SME ที่อยู่ต่างจังหวัดตามอุทยานวิทย์ศาสตร์ที่ทำ Product ต่าง ๆ เขาเก่งนะมีความเป็นผู้ประกอบการสูงกว่าผม เพราะเขาผ่านอะไรมาเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าอยากไปแต่ต่อไปไม่ได้ก็คือ คือเขารัก Product ตัวเองมากเกินไป รักจนไม่กล้าที่จะปล่อย ไม่กล้าวิจารณ์สิ่งที่ตัวเองทำ ไม่เคยตั้งคำถามว่า ฉันทำสิ่งนี้ทำไม แล้วใครต้องการสิ่งนี้ ฉันรู้แต่ว่าฉันทำแล้วต้องมีคนต้องการ บางทีมันเหมือนไปยัดเยียดใส่ แล้วเขาไม่มองว่าสุดท้ายแล้วสินค้าตัวนี้จะไปทางไหน เขามองแต่ว่าวันนี้ขายได้ตรงนี้พอ ซึ่งผมว่าก็ไม่แปลก
นิยาม SME กับ สตาร์ทอัพ ต่างกันคือ SME เห็นโอกาส สตาร์ตอัพเห็นปัญหา เพราะฉะนั้น SME เห็นว่าใครอยากได้อะไร ฉันก็ล็อกไว้ วันนี้ไม่มีใครขายไก่ทอดเลย เดี๋ยวฉันขายไก่ทอด ไก่ทอดฉันน้ำจิ้มรสเด็ด นี่คือสูตรเด็ดของฉัน งั้นเธอกิน จบ นั่นคือโอกาส ถามว่าพี่เขาทำได้ไหม ทำได้ แต่สุดท้ายมันก็กลับไปที่ว่า ฉันทำอย่างงี้ได้ ฉันก็อยากขายไก่ทอด เดี๋ยวฉันจะทำแฟรนไชส์ ถามว่าดีไหม ดี แต่อย่างที่ผมบอก พอเป็น Food ปัญหาถัดมาคือ พอทำแฟรนไชส์เสร็จ ที่เจ๊งส่วนใหญ่เพราะว่า Product ที่สองขึ้นไม่ได้ Business ต้องการ Continuous มากกว่านี้ อันนี้คือสิ่งที่ SME ไม่รู้ แนวคิดสตาร์ตอัพก็ต้องมาแล้ว
เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องเข้าใจ Pain Point ของลูกค้า แล้วต้องตั้งคำถามว่า คุณกำลังจะไปทางไหน แล้วต้องการอะไรในอนาคต จะได้รู้ว่าคุณอย่ารัก Product เลย คุณต้อง Criticize ว่าทำไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม ระยะยาวจะอยู่อย่างไร แต่ถ้าในสถานการณ์โควิดชัดเจน เอาเงินสดไว้ก่อน อะไรก็ได้ ให้ได้เงินทำไปก่อน ต่อให้รัก Product ตัวเอง ได้เงินสดก็ทำเถอะ แต่พอเริ่มได้เงินสด เริ่มนิ่ง อยากให้ตั้งสติ อย่ารักมันเกิน Criticize แล้วถามว่าผู้บริโภคคือใคร อยากได้หรือเจอปัญหาอะไร แล้วเขาจะได้รับการส่งต่อคุณค่าที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร ผมใช้คำว่าคุณค่านะ ไม่ใช่สินค้า คุณต้องหาให้เจอว่าที่ลูกค้ากินอาหารคุณ อะไรคือคุณค่าที่เค้าเลือกซื้อ แล้วคุณค่านั้นมันยั่งยืนหรือเปล่า แล้วคุณสามารถไปต่อได้ไหม แล้วทำให้มันดีกว่าเดิมได้ไหม
SME ONE : บทบาทหรือกิจกรรมของสมาคมที่ส่งเสริมสตาร์ทอัพในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
ดร.พณชิต : เรามีทำกิจกรรมกับอุทยานวิทยาศาสตร์แต่ละภาค เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้ไปยังสตาร์ตอัพในแต่ละภูมิภาค แล้วก็พยายามให้ความรู้ตามมหาวิทยาลัย เพื่อใส่แนวคิดแบบสตาร์ตอัพลงไป อย่างที่ผมได้ไปให้คำแนะนำพวกพี่ ๆ อุทยานฯ เรื่องที่ 2 เราก็พยายามที่จะทำงานกับภาครัฐ ล่าสุด ก.ล.ต. ก็ออกกฎหมาย Convertible Debt มา ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี แล้วก็ทำงานกับสรรพากรทำโครงการ Hackatax เพื่อจัดโครงสร้าง รูปแบบนวัตกรรมในการจัดการเรื่องภาษีของประเทศ
เราทำกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีไปจัดอบรมให้ ทำกับ DEPA สุดท้ายเราทำ Matching สตาร์ตอัพ กับ SME กับสภาอุตสาหกรรม กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะมีจัดกิจกรรมสตาร์ตอัพกับโชว์ห่วย สตาร์ตอัพกับ Logistic ที่เรียกว่า Total Solution Program คือเราไปสอน Matching ให้
SME ONE : ในฐานะผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในด้านไหนบ้าง
ดร.พณชิต : ผมว่า Vision ของภาครัฐ หรือ Goal ของประเทศไทยสำคัญ ต้องบอกว่าจะไปทางไหน ส่วนนี้ผมยังไม่เคยเห็น คือทุกหน่วยงานอยากได้สตาร์ตอัพ แต่ไม่เคยตอบคำถามว่า อยากได้สตาร์ตอัพในประเทศนี้ไปทำไม คือสตาร์ตอัพก็อยากรู้ว่าจะไปทางไหน แต่ประเทศไม่เคยตอบว่าตัวเองอยากได้สตาร์ตอัพไปทำอะไร
สมมติถ้าเกิดผมเป็นคนวางกลยุทธ์ ผมจะบอกเลยสตาร์ตอัพไทยควรจะติดปีกให้ Corporate ไปกินพื้นที่ Regional ให้ได้ เพราะฉะนั้นภาครัฐคือ ดัน Corporate ให้ไปแข่งกับต่างประเทศ แต่ใช้สตาร์ตอัพมาเชื่อมโยงกับ SME เชื่อมโยงกับ Corporate คือนโยบายต้องชัดว่าสตาร์ตอัพตัวเชื่อม แล้ว Corporate ต้อง Lead ไปต่างประเทศให้ได้ ถ้านโยบายชัดในลักษณะนี้ เราจะรู้ว่าเราโตไปเพื่ออะไร เราโตไปไหน
SME ONE : อยากจะขอเป็นประเด็นว่าภาครัฐควรต้องทำอะไรบ้าง
ดร.พณชิต : ถ้าต้องทำจริง ๆ ผมว่าต้องหาวิธีการในการลดความเสี่ยงของทุกคนที่จะมาเกี่ยวข้องกับนวัตกรรม เช่น ผู้ประกอบการ ลูกค้า ลูกค้าที่จะมาใช้ไม่มีใครอยากเป็นคนแรก ไม่มีใครอยากเป็นหนูทดลอง เพราะฉะนั้นสตาร์ตอัพต้องมีทางลดความเสี่ยง และทำให้ลูกค้าอยากเป็นหนูทดลองคนแรก เพราะว่าเทคโนโลยีหรือ Product จะดีได้ก็ต่อเมื่อมีคนใช้ ใช้แล้ว Feedback ไป ๆ มา ๆ จะดี มันต้องมีช่วงเวลาที่ปล่อยให้มันเสี่ยงแล้วดี อันนี้ต้องมีพื้นที่
เสร็จแล้วต้องมีพื้นที่ลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนที่เคยเลี้ยง Unicorn ให้เข้ามาลงทุนในเมืองไทย เพราะตอนนี้เขาไม่อยากเข้ามาลง กลายเป็นว่าอยู่เมืองไทย สตาร์ตอัพมี Handicap เหมือนกับถูกลดราคา สตาร์ตอัพเดียวกัน ไปจดทะเบียนสิงคโปร์ราคาดีกว่า ทุกอย่างเหมือนกัน ตัวเลขเดียวกัน ต่างกันแค่จดทะเบียนไทยกับสิงคโปร์ สิงคโปร์ราคาดีกว่าเยอะ
แม้กระทั่ง VC (Venture Capital) ผมยังบอกเลย ถ้าผมอยู่อินโดนีเซียราคาจะสูงกว่านี้ 20 เท่า เขาพูดตรง ๆ เลยว่าอยู่เมืองไทย Handicap เยอะมาก แต่ว่าตัวคูณความเสี่ยงในเมืองไทยสูง เพราะเมืองไทยไม่มีวิธี Subsidize ความเสี่ยงให้นักลงทุน อันนี้คือเรื่องที่ผมมองว่า ถ้าเราทำได้ เราน่าจะไปดูว่าอะไรคือความเสี่ยง อะไรคือมาตรวัดที่นักลงทุนคิดถึงเรื่องความเสี่ยง แล้วเราสามารถใช้เงินรัฐใส่ลงไปเพื่อลดความเสี่ยงได้ไหม แต่ก็จะติดปัญหาอีกว่าเงินรัฐจะไปสนับสนุนตรงนั้นไม่ได้ เพระว่า VC พวกนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็น VC ต่างชาติอาจจะเกิดข้อสงสัย
อีกเรื่องก็คือ ถ้าเราอยากเห็น Ookbee อยากเห็น Wongnai มากขึ้นเราต้องให้คนที่อยู่ใน Corporate ใน Level สูง ๆ กล้าที่จะออกมาตั้งบริษัท เพราะเด็กทำไม่ได้หรอกครับ จินตนาการนะครับ เด็กจบปริญญาตรีมา 2 ปี ออกมาทำสตาร์ตอัพ ไอเดียอาจจะพอได้ คำถามคือ เด็กที่ยังไม่เคยทำอะไรเลยอะ แล้วออกมาทำคุณรู้วิธีการตั้งเงินเดือนไหม รู้ไหมว่า BSC คืออะไร KPI ตั้งอย่างไร คุณรู้ไหมว่า Cash Flow มองยังไง คือทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด เราถึงก็ต้องการคนที่ Guide แต่ Guide เสร็จ บางครั้งความรู้ถึง ความกดดันสูง ใจรับไหวหรือเปล่า เด็กจบมาอายุ 23-24 สมมุติว่าเราไป Pro เค้านะ ให้กองทุน สตาร์ตอัพ ไป 2 ล้าน จ่ายเงินเดือนออกเดือนละ 3 แสน แต่เงินไม่เข้า 6 เดือน รับไหวไหม แล้วแถมพอรับเงินไปเสร็จ นักลงทุนก็จี้ ทำไมไม่ได้ ความกดดันมันสูง พอจี้สักนิดหนึ่งลูกน้องก็จะบอกพี่ ผมจะลาออกแล้วนะ ผมไม่ได้ว่าเด็กไทยไม่เก่ง แต่มันมีหลาย ๆ เรื่องที่เป็นเรื่องของความพร้อม ในขณะที่คนอายุสัก 30 กว่า อยู่ใน Corporate ไปแล้วเป็นผู้บริหาร ผ่านอะไรบางอย่างมาแล้ว จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร
สุดท้ายผมว่าต้อง Subsidize ความเสี่ยงของผู้ประกอบการ ถ้าเราย้ายผู้ประกอบการเก่ง ๆ ออกมา เราจะไปได้ เพราะเขาคือผู้ประกอบการ เราไปสนับสนุนแต่เด็ก มันก็จะเกิดสตาร์ตอัพแบบเด็ก แต่ถ้าเราสนับสนุนผู้ประกอบการ ผมไม่ขอเยอะ ขอแค่ 5% ของ Top AVP (Assistant Vice President) ใน Corporate ออกมาทำสตาร์ตอัพ 1% ประเทศไทยจะมีสตาร์ตอัพคุณภาพดีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย แต่เขาต้องออกมาเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่รับเงินเดือน
ผมว่ามีคนยอมถ้าให้โอกาส แต่เราต้อง Subsidize ความเสี่ยงเขา เช่น ถ้าออกมาเสร็จ เงินเริ่มต้นขอ Corporate สัก 5 แสนได้ไหม สมมติ Corporate อาจจะถือสักเสี้ยวหนึ่ง 1-2% แล้วคุณต้องบริหารจัดการเงินเดือนเอง แต่คุณได้ประกันสุขภาพของคุณ ลูกเมีย พ่อแม่ เหมือนเป็นพนักงาน คือ Subsidize Risk ที่เขายังกังวล ไม่ใช่ทำให้เขาฟุ่มเฟือย แต่ทำให้เขาไม่พะวงหลัง ตอนนี้คนที่ไม่ออกมาเพราะว่าเขาพะวงหลัง เขากลัวว่าถ้าล้มแล้วคนข้างหลังจะตายกันหมด
คนที่ตัดสินใจออกมาทำสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ไม่กลัวตัวเองตาย เรื่องไม่ได้รับเงินเดือน เพราะเขารู้อยู่แล้ว ถ้าจะออกมา ก็ทำใจแล้วว่าจะมีเงินเดือน ต้องเอาเงินเก็บมาใช้ แต่พอถึงจังหวะฉุกเฉิน อันนั้นแหละคือสิ่งที่เขาจะเริ่มกังวลแล้ว ตอนนั้นผมก็บ้า ๆ ผมก็ออกมาเลย แต่ถ้าถึงจังหวะฉุกเฉินตายทันทีเหมือนกันนะ จังหวะต้องใช้เงินด่วน จังหวะสุขภาพ จังหวะอุบัติเหตุ ซึ่งถ้า Subsidize Risk ตรงนี้ได้ ผมว่ามีคนออกมาอีกเยอะ
SME ONE : กลับมาที่ธุรกิจส่วนตัว อธิบายจุดเริ่มต้นให้ทีว่า ZTRUS มาจากแนวคิดอะไร
ดร.พณชิต : จุดเริ่มต้นจากที่บ้านผมทำบัญชี แล้วผมก็รู้สึกว่าคนทำบัญชีใช้คนเยอะในการคีย์เอกสาร จึงอยากจะลดต้นทุนในการทำตรงนั้น เลยหาเพื่อนที่ทำเทคโนโลยี OCR จาก NECTEC เพื่อนผมเป็น CTO (Chief Technology Officer) ผมเคยทำงานใน NECTEC สวทช. เห็นตัวอย่างเทคโนโลยีของสวทช. Advance ถึง Top ของโลก แต่ทำไมตลอด 10 - 20 ปีไม่มีตัวไหน Spin Off ออกมาเลย ผมต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยที่อยู่ในงานสายนี้ทำได้ ก็เลยชวนเพื่อนออกมาเริ่มต้น ใช้เวลาพอสมควรจากที่เป็นนักวิจัยจนมาเป็นสตาร์ตอัพ
ตอนแรกที่เราทำเราคิดว่าเราช่วยลงบันทึกบัญชีให้เร็ว แต่อย่างที่บอกต้นทุนในการบันทึกบัญชี ทุกคนไม่แคร์ เขาไม่แคร์ข้อมูลที่รวดเร็ว ไม่แคร์ข้อมูลที่ถูกต้อง เขาสนแค่ว่าหลบภาษีได้ไหม คือไม่จ่ายเงินให้กับคุณค่าของข้อมูล ทั้งที่รู้ว่าข้อมูลมีความสำคัญ แต่คนที่ให้ราคากับข้อมูลคือฝั่ง Corporate ก็เลย Pivot มาขายข้อมูลให้ Corporate แทน
SME ONE : ปัจจัยอะไรครับที่ทำให้อยู่ ๆ เป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วออกมาเป็น สตาร์ตอัพ
ดร.พณชิต : คันใจ ผมจบปริญญาเอกที่อังกฤษ แล้วผมก็ไปทำงานอยู่สิงคโปร์ 6 ปี ทำ A*STAR เหมือน สวทช. เลย ผมอยู่กับ NECTEC มาตั้งแต่เด็ก คือผมได้ทุน NECTEC ตอนปริญญาโท ผมก็จะเห็นว่า Gap ของประเทศนี้มันอยู่ตรงนี้ ผมจะหงุดหงิดใจมากว่าเทคโนโลยีที่เราเห็นมันเทียบเท่ากับ Advance Paper ที่เราอ่าน แต่ทำไมมันออกมาไม่ได้ ที่ออกไม่ได้เพราะว่า Mindset Flow ตั้งแต่ Technology Design ทำจนถึง At the end market มันเชื่อมไม่ถึงกัน
ในประเทศนี้ของที่อยู่ใน Lab กับของที่จะออกมาใช้งานมันเหมือนว่าใกล้จะใช้งานได้ แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ได้ ถ้าที่สิงคโปร์เขาเรียกว่า Gap คือเหมือนจะก้าวถึงแต่ก้าวไม่ถึง กระโดดไปก็ไม่ถึง แต่มันลึก ฉะนั้นถ้าคุณจะถมให้มันเดินได้ต้องลงทุนเยอะ แต่ประเทศไทยชอบคิดว่ามันตื้น เพราะไม่เคยมีใครก้าวข้ามตรงนี้จริง ๆ ก็เลยทำให้ทุกคนคิดว่าง่าย แล้วพอลงทุนไป KPI ต้องมา พอมันไม่ถึงก็ลูบหน้าปะจมูก เลยข้ามไปไม่ได้สักคน นี่คือปัญหา ผมเห็นแล้วหงุดหงิดใจ เราเชื่อว่ามันน่าจะทำได้ เราก็เลยอยากจะพิสูจน์บางอย่าง เรารอจนเราผ่อนรถ ผ่อนบ้านเสร็จ เราก็ตัดสินใจออกมาทำ
SME ONE : คำแนะนำสำหรับคนที่อยู่ในวงการ สตาร์ตอัพ 5 Do กับ 5 Don’t สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
ดร.พณชิต : Don’t หนึ่งคือ อย่าคิดไปเอง ต้องศึกษาหาข้อมูลให้มาก จากแหล่งอ้างอิงหรือจากผู้เชี่ยวชาญ สองอย่ารักแนวคิดของตัวเองมากไปมันคืออุปสรรค เพราะว่าทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สามคือ อย่ามองคู่แข่งเป็นศัตรู ให้มองเป็นมิตรร่วมอาชีพ เพราะการมีคู่แข่งที่ดีทำให้ตลาดโต Demand โต ทำให้ดีไปด้วยกัน
ส่วน Do เริ่มจาก หนึ่งคือ ธุรกิจต้องมีโฟกัส และต้องมองอนาคตให้ออก คือคุณต้องสร้างภาพอนาคตด้วยข้อมูลในมือ ต้อง Predict อนาคตผ่านข้อมูล สองทำธุรกิจต้องใจกว้าง รู้จักให้ ถ้าเป็นคนให้เสมอเดี๋ยวมันจะได้กลับมาเอง แม้กระทั่งกับ SME ปกติประเด็นเรื่องนี้ผมสังเกตมา คือสิ่งแรกที่ SME เวลาจะทำอะไร เขาจะบอก อันนี้หรอทำไม่ได้นะ อันนี้ขาดทุน ถ้าเป้าหมายของคุณคือต้องทำอาหารให้อร่อย ให้คนกินแล้วติดใจ อย่าคิดประหยัดต้นทุน วันแรกคุณยังไม่ต้องประหยัด วันแรกคือทำให้เต็มที่ก่อน ให้เขารักในสิ่งที่คุณทำ Value ต้องถึง แล้วคุณค่อยดูว่า Value นั้นกับ Price ที่ให้ ไม่ใช่ Cost Consider คุณต้องเต็มที่กับสิ่งที่ให้แล้วค่อยมาดูต้นทุน อย่ามองที่กำไรเพียงอย่างเดียว
สตาร์ทอัพทุกคนย่อมหวังที่จะได้เงินลงทุนจากนักลงทุน ไม่ว่าจะมาจากฝั่ง Corporate Venture หรือ Angel investor แต่การที่สตาร์ทอัพจะไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้น ลำพังเงินลงทุนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น สตาร์ทอัพควรจะเลือกเจราจากับนักลงทุนที่สามารถถ่ายทอดความรู้และมุมมองในการบริหารงาน เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจได้ด้วย
Published on 23 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ขอเชิญชวนเกษตรกร ประชาชน และผู้สนใจ ดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง “Smart Farming” (การเกษตรอัจฉริยะ) ที่มีการรวบรวมผลงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของ สวทช. เพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร ให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ สนับสนุนให้ภาคเกษตรนำเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมลดต้นทุนจากการลดใช้ปุ๋ยและยา
เนื้อหาในเล่มอัดแน่นไปด้วยข้อมูลตั้งแต่การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีการปลูกและจัดการพืช/สัตว์สมัยใหม่ การเตือนการณ์ การคาดการณ์ผลผลิต การบริหารจัดการกระบวนการผลิต และบริการต่าง ๆ ของ สวทช. เพื่อผู้ประกอบการที่สนใจทำธุรกิจเทคโนโลยี
Published on 23 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
การส่งเสริมผู้ประกอบการ ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ได้แก่
1. เป็นการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ
2. ส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการ
3. ลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม
4. ให้คำปรึกษา หรือการเตรียมเอกสารทางวิชาการ เกี่ยวกับการผลิต หรือการขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร
5. อบรมพัฒนาศักยภาพในการประกอบการ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
6. ให้เอกสารคำแนะนำ คู่มือ หนังสือวิชาการ เพื่อเผยแพร่ความรู้ พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
7. สิทธิและประโยชน์อื่น ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
โทร. 02-149-5609
Published on 23 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย