
หัวข้อ : Logistic เรื่อง ส่งๆ ที่ห้ามทำแบบ “ส่งๆ”
อ่านเพิ่มเติม : https://scbsme.scb.co.th/sme-inspiration-detail/Content_Logistic
เมื่อธุรกิจต้องการขยายเพิ่มช่องทางขายออนไลน์ เรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามนั่นคือ การจัดส่งสินค้า เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าแล้ว จะจัดส่งสินค้าอย่างไร ให้ “ถึงมือและถึงใจ” ลูกค้า แม้การขนส่งจะเป็นเพียงขั้นตอนสั้น ๆ แต่จะทำแบบส่ง ๆ ไม่ได้เด็ดขาด เราจึงขอแนะนำ 4 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับการจัดส่งสินค้าที่จะช่วยมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
จุดอ่อนของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์คือ ลูกค้าไม่ได้รับสินค้าทันที ต่างจากการซื้อหน้าร้าน ฉะนั้นถ้าอยากกำจัดจุดอ่อนในข้อนี้ ต้องจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“สินค้าเสียหาย ส่งของผิด ส่งไม่ครบตามจำนวน สินค้าจริงไม่เหมือนบนหน้าเว็บไซต์” กรณีเหล่านี้ถือว่าเกิดขึ้นบ่อยมาก ๆ และเป็นเรื่องที่ทำให้ลูกค้าไม่พึงพอใจมากที่สุด ถ้าอยากเอาชนะใจลูกค้า ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก โดยสิ่งหลัก ๆ ที่ควรตรวจสอบมีดังนี้
เมื่อมีบริการจัดส่งสินค้า ผู้ประกอบการบางรายอาจเลือกดึงดูดใจลูกค้าด้วยการประกาศว่า “จัดส่งฟรี” แต่ปัญหาที่ตามมาคือ คุณจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นแน่นอน ถ้าจะเลือกทางนี้คุณต้องมั่นใจว่ายังมีกำไรเหลืออยู่ ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งที่นิยมทำกันมากคือการคิดค่าจัดส่งกับลูกค้า ซึ่งแบ่งได้ 2 กรณีคือ
ความแม่นยำเรื่องเส้นทางในการจัดส่งเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าส่งสินค้าทีไรก็ไปผิดที่ นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการบริหารจัดการของเราไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย ธุรกิจควรมีบริการจัดส่งสินค้าทุกที่ทั่วประเทศ เพราะลูกค้าที่อยู่ในจังหวัดอื่น ๆ อาจอยากซื้อสินค้าของเรา หากไม่มีบริการจัดส่งไปยังพื้นที่เหล่านั้น ก็ทำให้สูญเสียโอกาสในการขายไป
Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : Youtuber เทรนด์ใหม่สร้างรายได้ วารสาร กรมสรรพากร ปีที่ 8 ฉบับที่ 94
อ่านเพิ่มเติม : http://download.rd.go.th/fileadmin/eMagazines/rd_july_2020/#p=25
ยูทูบเบอร์ เรียกได้วาเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ ที่คนรุ่นใหม่สนใจกันเป็นอย่างมาก เป็นอาชีพของกลุ่มคนที่ผลิตเนื้อหาประเภทวิดีโอเพื่อหารายได้จากแพลตฟอร์มชื่อดังอย่างยูทูบ บางคนอาจเริ่มต้นด้วยการทำเป็นอาชีพเสริม แต่หากไปได้ดีก็จะกลายเป็นธุรกิจออนไลน์ที่สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลได้เช่นกัน
คือโฆษณาแทรกตามคลิปยูทูบที่ผู้ชมหลายคนกดข้ามเสมอ เจ้าของคลิปจะได้รับส่วนแบ่งค่าโฆษณาจากยูทูบโดยตรง ซึ่งอัตราจะขึ้นอยู่กับยอดการชมและจำนวนยอดผู้ติดตาม (Subscribe)
รายได้อีกทางหนึ่งมาจากสปอนเซอร์ที่เป็นเจ้าของสินค้าจะติดต่อให้ยูทูบเบอร์ช่วยโปรโมทสินค้า อาจแทรกเข้าไปในเนื้อหาของคลิปหรือทำเนื้อหาโปรโมทสินค้าโดยตรง ราคาจะขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างเจ้าของสินค้ากับยูทูบเบอร์
อาจเป็นการสนับสนุนรายเดือนหรือรายคลิป และผู้สนับสนุนอาจได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ได้ดูคลิปก่อนเผยแพร่สาธารณะ แต่รายรับช่องทางนี้ไม่เป็นที่นิยมในไทย
ค้นหาเอกลักษณ์ของตัวเอง หาจุดแข็งที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ แสดงออกในสไตล์ตัวเอง ไม่ว่าจะท่าทาง การพูด การแต่งตัว
นำคำติชมมาปรับใช้ คอยตอบคอมเมนต์และทำคลิปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษายอดจำนวนผู้ติดตามเอาไว้
เช่น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ หรือแจกของรางวัลเพื่อสร้างความสัมพันธ์และทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนร่วม
Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
ต่อยอดกิจการครอบครัวอย่างไรให้กลายเป็นจุดเปลี่ยน
เคยสังเกตไหมว่ากิจการครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่เราเห็นๆ กัน เปิดมา 50-60 ปี เปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่นแล้วก็ยังดำเนินธุรกิจกันแบบเดิมๆ ด้วยความเคยชิน แล้วก็อยู่กันแบบนั้น ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนต้นไม้ที่แคระแกรน รอวันร่วงโรยไปตามกาลเวลา
ในทางกลับกัน เราจะเห็นว่ากิจการครอบครัวที่เติบโตงอกเงยแผ่กิ่งก้านสาขาจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ปัจจัยสำคัญมาจากการสร้างจุดเปลี่ยนให้กับธุรกิจ โดยอาศัยความได้เปรียบจากการวางฐานธุรกิจจากรุ่นพ่อ เสมือนระบบรากใต้ดินที่แข็งแรง มาต่อยอดในช่วงเปลี่ยนผ่านของรุ่นลูก โดยนำเอาโนว์ฮาวความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เหมือนอย่าง คุณสุภลัคน์ พูลเสถียร หรือนุ่น ทายาทรุ่นที่ 3 ของ “ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียง” ที่ทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงที่บุกเบิกมาจากรุ่นปู่ในจังหวัดชุมพรเมื่อ 40 ปีก่อน มาไกลกว่าเดิมในฐานะข้าวเหนียวมะม่วงที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ
จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มาจาก “ความตั้งใจ” ที่อยากจะยกระดับให้ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงในรุ่นพ่อที่ขายตามตลาดนัด ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ด้วยการเข้าสู่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีตั้งแต่ปี 2558 โดยในตอนแรกนั้นยังไม่มีสาขาหน้าร้าน
คุณนุ่นรู้ดีว่า การเป็นข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกขายในช่องทางดังกล่าว จำเป็นต้องหารูปแบบการขายที่เหมาะกับการสั่ง และการจัดส่ง ซึ่งประสบการณ์การตระเวนขายข้าวเหนียวมูล และปอกมะม่วงขายด้วยตัวเองตามตลาดนัดออฟฟิศทั่วกรุงเทพฯ ทำให้คุณนุ่น มองเห็นพฤติกรรมลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองว่าชอบหรือไม่ชอบมีอะไร นิยมปริมาณการกินแบบไหน นั่นจึงเป็นที่มาของการออกแบบเซ็ตของข้าวเหนียวมะม่วงออกเป็นไซส์ เป็นเจ้าแรกของตลาด โดยแบ่งออกเป็น 3 ไซส์ S M L ตามประเภทของลูกค้า
S ข้าวเหนียว 1 ขีด มะม่วงครึ่งลูก ราคา 50 บาท จับกลุ่มผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียว หรืออยู่ในออฟฟิศต้องการกินมะม่วง แต่กลัวอ้วน
M ข้าวเหนียว 2 ขีด มะม่วง 1 ลูก ราคา 80 บาท จับกลุ่มลูกค้าทั่วไปจำนวน 1-2 คน
L ข้าวเหนียว 4 ขีด มะม่วง 2 ลูก ราคา 150 บาท จับกลุ่มครอบครัว
ในเวลาเดียวกัน ก็ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า พร้อมสร้างคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยในช่วงแรกจะแนะนำว่าแต่ละไซส์เหมาะกับการกินแบบไหน หรือเหมาะกับใคร เรียกได้ว่าเป็นการ Educate ตลาดเพื่อให้ลูกค้าสั่งซื้อได้อย่างเหมาะสม และชี้ให้เห็นถึงความสะดวกสบาย สั่งซื้อได้จากบ้านหรือออฟฟิศได้เลย
ปรากฏว่าไซส์ S เป็นไซส์ที่ขายดีที่สุด เพราะนอกจากจะรองรับกลุ่มลูกค้าคนเดียวแล้ว ยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่นำไปจัดอาหารว่างในงานประชุมสัมมนา งานเลี้ยง หรือถวายพระ
ไม่เพียงเท่านั้น คุณนุ่นยังมองหา “ความแตกต่าง” ให้กับธุรกิจของเธอต่อไป ด้วยการใช้แพ็กเกจจิ้งกระดาษ เจาะกลุ่มตลาดที่ให้ความสำคัญกับโลกร้อน หากลูกค้าสั่งในปริมาณมากก็ยิ่งมีส่วนช่วยลดการใช้พลาสติก
แต่ลำพังแค่ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นเซ็ต S M L และกล่องรักษ์โลกคงไม่สามารถเรียกความสนใจจากลูกค้าได้มากพอ ต่อมาไม่นาน จุดเปลี่ยนของกิจการครอบครัวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากสายท่องเที่ยวและโรงแรม นำมาต่อยอดจนสร้างความแตกต่างให้กับข้าวเหนียวมะม่วงทั่วไป ด้วยการการแกะสลักมะม่วงให้กลายเป็นโปรดักท์ใหม่ “เค้กข้าวเหนียวมะม่วง” เป็นเจ้าแรกของตลาด และกลายเป็นแบรนด์ที่โด่งดังมากในโลกโซเชียล
เพราะเค้กข้าวเหนียวมะม่วงเป็นการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ซื้อไปจัดงานเลี้ยง และด้วยรูปลักษณ์ของสินค้าที่ใช้ข้าวเหนียวมูลรองเป็นฐานเหมือนเค้กก้อนกลมๆ และมีมะม่วงรูปดอกกุหลาบอยู่ข้างบน ความแปลกใหม่ดังกล่าวทำให้ลูกค้านำไปโพสต์ลงโซเชียล และส่งผลให้แบรนด์ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม
และปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เค้กมะม่วงของข้าวเหนียวเจ๊เตียงแจ้งเกิดตลาดได้อย่างรวดเร็ว มาจากการตั้งราคาที่ไม่แตกต่างจากเค้กขนมปังทั่วไป นั่นคือ 1 ปอนด์ 350 บาท 2 ปอนด์ 450 บาท และ 3 ปอนด์ 580 บาท
เสียงตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้คุณนุ่นตัดสินใจเปิดร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊เตียงในย่านสุทธิสาร ต่อมาได้ขยายสาขาเพิ่มเติมในย่านรังสิต และในปี 2564 คุณนุ่น มีแผนที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ โดยในปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเซ็ตระบบเพื่อรักษามาตรฐานข้าวเหนียวเจ๊เตียงให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกับสาขาใหญ่
มาถึงอีกตัวอย่างหนึ่ง “ร้านแม่นงนุช” ซึ่งเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงเหมือนกัน และสามารถต่อยอดกิจการครอบครัวให้เติบโตขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยชูจุดขายความเป็นสินค้าโฮมเมดจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายมาเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังของหัวหิน ที่ใครมาเยือนต้องแวะเช็คอินทุกครั้ง โดยมีคุณอัจนิริยา ศิลปะสุนทร์ ซึ่งผันตัวเองจากงานพีอาร์ ออแกไนซ์มาสานต่อกิจการของคุณย่าเป็นเจ้าของกิจการร้านแม่นงนุชในรุ่นที่ 3
คุณอัจนิริยา กล่าวว่าวิธีที่จะต่อยอดกิจการครอบครัวให้เติบโตมากกว่าเดิมได้นั้น เธอเริ่มต้นจากการรักษาคุณภาพความอร่อยให้ได้ก่อน เพื่อให้ลูกค้ายอมรับว่าแม้จะเปลี่ยนมือมาสู่ทายาทรุ่นใหม่แล้ว แต่รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นบุกเบิก ถือเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีกับแบรนด์ เป็นจุดตั้งต้นให้ธุรกิจต่อยอดไปทำอะไรอื่นได้อีกมากมายในอนาคต โดยต่อมาได้ขยายโปรดักท์ขนมหวานอื่นๆ และอาหารคาว อาทิ น้ำพริกมะยม น้ำพริกมะขามสด ม้าฮ่อ และข้าวตัง เป็นต้น
สิ่งที่ทำให้ร้านแม่นงนุชสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่องนั้น การทำตลาดก็เป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ โดยในระยะแรกคุณอัจนิริยา นำประสบการณ์ด้านการทำพีอาร์มาสร้างแบรนด์ร้านแม่นงนุช ด้วยการเปลี่ยนถุง จากเดิมเป็นถุงกระดาษสีชมพูที่ใช้ใส่ขนมหม้อแกง มาเป็นถุงสีน้ำตาล พร้อมเปลี่ยนโลโก้ตัวอักษรแม่นงนุชให้เป็นฟ้อนท์ลายมือเพื่อสะท้อนความเป็นสินค้าโฮมเมด ต่อมาได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับลูกค้า นอกจากแนะนำเมนูต่างๆ แล้วยังสร้างคอนเทนต์ที่บ่งบอกถึงสตอรีของร้านแม่นงนุชว่าเป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วง 80 ปีในตำนานคู่เมืองหัวหิน
การรักษามาตรฐานด้านรสชาติและความอร่อยจนกลายเป็นร้านขนมในตำนานของหัวหินนี่เอง ทำให้ในระยะหลังมานี้มีพันธมิตรหลายรายอย่างดีแทค และแสนสิริ เข้ามาร่วมทำกิจกรรมการตลาดกับร้านแม่นงนุช เท่ากับเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างออกไปจากเดิม
แต่จำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นนั้น คุณอัจนิริยา กล่าวว่ายังไม่มีแผนเพิ่มสาขา เพราะต้องการให้ร้านแม่นงนุชแห่งนี้ยังคงเป็นร้านโฮมเมดต่อไป
อย่างไรก็ดี ในฐานะทายาทรุ่น 3 ของร้านแม่นงนุช ทิ้งท้ายว่าการสานต่อกิจการครอบครัวนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็สามารถสร้างจุดเปลี่ยนให้เติบโตได้ หากทายาทรุ่นปัจจุบันหาจุดแข็งของคนรุ่นก่อนให้เจอแล้วนำมารักษาให้ได้ตามมาตรฐานเดิม จากนั้นพยายามหาอะไรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปในธุรกิจ อย่าหยุดพัฒนาสิ่งที่ดีให้ดีขึ้นไป ก็จะทำให้กิจการขยายตัวต่อไปได้ไม่ยาก
Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
ความสำเร็จของ Locall Thailand ซึ่งเป็น Delivery Platform สัญชาติไทยที่ก่อตั้งโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า SATARANA เกิดจากการมีส่วนร่วมกันระหว่างธุรกิจและชุมชน ที่สำคัญเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนจนส่งผลให้ในวันนี้ Locall Thailand เติบโตอย่างรวดเร็ว จาก 3 ย่านแรกที่ดำเนินการคือ ย่านประตูผี-เสาชิงช้า เยาวราชและนางลิ้นจี่ ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 5 ย่านในกรุงเทพ คือ ตลาดพลู คลองเตย สุทธิสาร วังบูรพา บางซื่อ และอีก 4 ย่านในต่างจังหวัดทั้ง ราชพฤกษ์ นนทบุรี ตลาดใน สระบุรี ล่ามช่าง เชียงใหม่ และวัดด่านสำโรง สมุทรปราการ
การปรับตัวได้เร็วเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ ยิ่งในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่มีใครคาดถึง ยิ่งเปลี่ยนตัวเองไวเท่าไหร่ยิ่งได้เปรียบ เฉกเช่นที่มีคนกล่าวว่าปลาใหญ่ไม่น่ากลัวเท่าปลาเร็ว
Locall Thailand เป็นหนึ่งใน Case Study ตัวอย่างของธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และปรับตัว เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากธุรกิจโฮสเทล Once Again Hostel ย่านประตูผี-เสาชิงช้าเปลี่ยนมาเป็น Delivery Platform โดยคง Core Business ซึ่งต้องการเป็น Inclusive Business หรือการดำเนินธุรกิจที่เอื้อต่อชุมชนมาเป็นแกนหลักในการดำเนินงาน เน้นหาทางรอดให้ธุรกิจตัวเองพร้อมจับมือธุรกิจเล็กๆ ในชุมชนให้มีทางออกด้วยเช่นกัน
“ช่วงที่เกิดโควิด-19 ย่านประตูผี-เสาชิงช้าที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงา ร้านอาหารที่อยู่ละแวกนี้หลายร้านขายของไม่ได้จนมองว่าการปิดกิจการอาจเป็นทางเลือกที่แม้ไม่อยากทำแต่ก็คงไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ แต่เรากลับมองว่าถ้าไม่ปิดกิจการแต่ปรับตัวจะดีกว่าหรือเปล่า” เพียงพลอย จิตรปิยธรรม Co-Founder Locall Thailand เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงโควิด-19
ซึ่งนั่นเป็นการตั้งคำถามกับตัวเอง และเมื่อพยายามมองว่าปัญหาอยู่ตรงไหน Locall Thailand จึงเห็น Pain Point 3 เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตนี้ คือ
หนึ่งธุรกิจโฮสเทลหยุดลงแต่ยังมีพนักงานที่ต้องดูแล การปรับโมเดลธุรกิจมาเป็น Delivery Hub เป็นทางเลือกเพื่อให้ธุรกิจไปต่อและพนักงานยังมีรายได้
สองทำอย่างไรถึงจะให้ร้านค้าในชุมชนรอบโฮสเทลมีโอกาสเข้าถึงช่องทางการขายและการประชาสัมพันธ์ร้านผ่านทางออนไลน์ได้
สามการปรับเปลี่ยนทั้งหมดต้องอยู่บน Core Value เดิมที่ต้องการธุรกิจเป็น Inclusive Business ซึ่งยังเอื้อและช่วยเหลือชุมชนเหมือนที่ผ่านมา
“เรามีพนักงานที่ต้องดูแลต่อ ทีมเราทำเรื่องของอาหารอยู่แล้วจึงคิดว่าจะพักเรื่องของโฮสเทลมาทำอาหารขาย แต่เมื่อเรามองไปเห็นร้านอาหารรอบข้างที่มีเจ้าของเป็นลุงป้าซึ่งได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมเข้าสู่แพลตฟอร์ม Delivery โดยเฉพาะร้านเล็กในชุมชนซึ่งเจ้าของร้านไม่มีความถนัดในเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่พร้อมจะปรับตัวแต่วิกฤตเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากจนเขาอาจจะยังตั้งตัวไม่ติดและตามไม่ทัน”
Locall Thailand จึงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการปรับโมเดลจากโฮสเทลมาเป็น Delivery Hub ส่งต่อของดีย่านประตูผี-เสาชิงช้าจับมือกับชุมชนโดยไม่ให้กระทบวิถีชีวิตดั่งเดิมซึ่งเจ้าของร้านจะเป็นลุงป้าที่คุ้นเคยกับการขายผ่านช่องทางหน้าร้านมาตลอด การนำ Delivery Platform เข้ามาจะช่วยขยายช่องทางขายใหม่ให้ร้านในชุมชน รวมทั้งยังสามารถพาให้ธุรกิจรอดไปพร้อมกันได้
เพียงพลอยเสริมว่าสิ่งสำคัญอีกเรื่องในการปรับตัวครั้งนี้คือกระบวนการทำงานต้องไม่ซับซ้อน ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วเข้ามาช่วย ดังนั้นช่วงเริ่มต้นของ Locall Thailand จึงให้ลูกค้าสั่งอาหารผ่านแอพลิเคชั่น LINE@ โดยพิมพ์เข้าไปที่แอคเคาน์ @locall.bkk ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วจะมีลิงค์สำหรับสั่งอาหาร เป็นระบบการสั่งอาหารแบบง่าย ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากหลายร้านได้โดยเสียค่าส่งแค่ครั้งเดียวซึ่งนี่คือจุดต่างจาก Delivery Platform รายอื่นที่หนึ่งออเดอร์สามารถสั่งได้จากร้านเดียวเท่านั้น
แม้ช่วงแรกร้านในชุมชนจะยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานมากนัก แต่การทำความเข้าใจและเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงทำเป็นตัวอย่างให้เห็นสร้างความเข้าใจให้กับทุกคนจนสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และสร้างยอดขายได้ดีกว่าช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19
Key Success ที่ทำให้ Locall Thailand เติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงพลอยมองว่าเกิดจากการลงพื้นที่จริงเพื่อให้ได้ Insight ของคนในชุมชนว่าปัญหาคืออะไรและ Locall Thailand จะเข้าไปช่วยในส่วนใดได้บ้าง
“การลงพื้นที่ทำให้เราเห็นปัญหาว่ามีอะไรที่เราสามารถเข้าไปช่วยได้ ทำให้รู้ว่าเราควรนำเสนอย่านนั้นอย่างไรให้สัมพันธ์กับสิ่งที่มีอยู่ในย่าน การเติบโตของเราจึงเกิดจากการที่คนเชื่อมกัน เราเชื่อมย่าน ย่านเชื่อมลูกค้า สุดท้ายลูกค้าเชื่อมกับเราแล้วฟีดแบ็คกลับมาเพื่อนำความเห็นเหล่านั้นกลับมาพัฒนาย่านอีกที”
ในวันนี้ Locall Thailand จึงไม่ได้เป็นแค่ Delivery Platform แต่เป็น Platform ที่ช่วยในการพัฒนาย่าน ซึ่งปัจจุบันนอกจาก Locall Thailand เรายังได้เห็นแพลตฟอร์มให้บริการรับส่งอาหารท้องถิ่นที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นของผู้ประกอบการในพื้นที่ให้มีช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น DINO DELIVERY ผลงานของบริษัท Start-up ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการรับส่งอาหารและเครื่องดื่มในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อเพิ่มช่องทางขายให้ Local Brand ในช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19
การพลิกวิกฤตจนเกิดเป็นโอกาสในครั้งนี้ เพียงพลอยบอกกับเราว่าสิ่งสำคัญคือการพยายามมองว่าอะไรคือปัญหาทั้งที่เกิดกับธุรกิจของตนเอง ลูกค้า หรือคนรอบข้าง ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และธุรกิจใหม่ได้เสมอ ยิ่งในช่วงเวลาที่ประสบกับวิกฤต ยิ่งเห็นปัญหาเร็วเท่าไรก็คือหาทางออกได้เร็วเท่านั้น
“หากมองแต่ปัญหาของตัวเราเอง ความคิดสร้างสรรค์ของเราก็จะถูกจำกัด ในวิกฤตแบบนี้ไม่มีใครสามารถไปรอดได้เพียงผู้เดียวเพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด การจับมือฝ่าปัญหาไปด้วยกันทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับชุมชน ได้เห็นว่าแต่ละร้านก็พยายามช่วยเหลือกันและกันด้วย นี่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การพลิกโมเดลธุรกิจในครั้งนี้ของเราเติบโตไปในทิศทางที่ดีและค่อนข้างที่จะยั่งยืน เพราะถ้าวันนี้เราเอาตัวเรารอดไปได้ผู้เดียวแต่คนรอบข้างในย่านของเราไปไม่รอด สุดท้ายธุรกิจของเราก็คงไม่สามารถยืนอยู่ได้เช่นเดียวกัน”
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้ได้เห็นภาพความร่วมมือกันระหว่างธุรกิจ โดยเฉพาะรายเล็ก ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะยุคนี้การทำธุรกิจแบบลุยเดี่ยวอาจจะไม่ใช่วิถีทางเอาตัวรอดเมื่อเกิดปัญหาแต่การจับมือร่วมกันเป็นเครือข่ายต่างหากที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเช่นเดียวกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ Locall Thailand
ที่สำคัญในอนาคต Locall Thailand ไม่ได้เป็นเพียง Delivery Platform สำหรับสั่งอาหารเท่านั้นแต่ Locall Thailand ยังมองถึงการก้าวไปเป็นเครื่องมือที่ส่งต่อของดีทั้งสินค้า บริการ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวจากแต่ละย่านถึงหน้าบ้านลูกค้าอีกด้วย
Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
พาคาเมี่ยนต่อยอดสินค้าพื้นบ้านด้วยดีไซน์
การ “ต่อยอด” ทางธุรกิจ คือ การสร้างแนวคิดในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่จากพื้นฐานของธุรกิจเดิมที่เคยทำอยู่ก่อนแล้ว อาจมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจเดิม หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็เป็นได้ “พาคาเมี่ยน” (Pakamian) เป็นตัวอย่างหนึ่งของธุรกิจที่เกิดขึ้นจากไอเดียการต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัว โดยใช้แนวคิดในเรื่องของการออกแบบดีไซน์มาปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมที่คนเริ่มเสื่อมความนิยม ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความทันสมัย มีมูลค่าสูงขึ้น และสามารถทำให้คนกลับมาให้ความสนใจได้อีกครั้ง
ความน่าสนใจของ “พาคาเมี่ยน” คือ การเป็นผลิตภัณฑ์จาก “ผ้าขาวม้าไทย” ที่เริ่มทำตลาดมานานกว่า 10 ปี จากไอเดียต่อยอดทางธุรกิจของอดีตเออีสาวจากเอเยนซีโฆษณาอย่าง “ณัฐวรรณ โกมลกิตติพงศ์” ผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของโรงงานทอผ้าขาวม้าเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี
เพราะในขณะที่โรงงานทอผ้าขาวม้ารายอื่นๆ เริ่มทยอยปิดตัวลงตามวิกฤตเศรษฐกิจ และสภาพของสังคมไทยที่มีการใช้งานผ้าขาวม้ากันลดน้อยลง แต่ที่โรงงานทอผ้าขาวม้า “ยิ่งเจริญ” ของครอบครัว “โกมลกิตติพงศ์” กลับมีการแตกหน่อธุรกิจใหม่จากฐานการผลิตเดิม ด้วยการนำผ้าขาวม้ามาปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ทั้งในเรื่องสีสัน และการดีไซน์ จนได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีหน้าตาแตกต่างไปจากเดิม แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเป็นผ้าขาวม้า ที่มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ในสังคมยุคใหม่ที่ต้องมีเรื่องของดีไซน์ และไลฟ์สไตล์เข้ามาเป็นองค์ประกอบหลัก
“พาคาเมี่ยนเปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี 2550 ที่งาน BIG&BIH หลังจากที่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ และเข้าทำงานในบริษัทโฆษณาอยู่ประมาณ 6 ปี จึงเริ่มอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่เมื่อได้ลองทำมาหลายอย่างก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ จึงเริ่มมองหาจากสิ่งรอบตัว และเมื่อเห็นว่าที่บ้านทำเป็นโรงงานทอผ้าขาวม้าอยู่แล้วจึงเป็นสิ่งที่ลงทุนได้ง่ายจากเงินเก็บที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย โดยเริ่มจากการทำแค่ธุรกิจแบบยี่ปั๊ว คือ ซื้อมาขายไป ด้วยการนำผ้าขาวม้าจากโรงงานของครอบครัวไปเสนอขายตามร้านค้าในสวนจตุจักร”
คุณณัฐวรรณ โกมลกิตติพงศ์ (แอน) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “พาคาเมี่ยน” (Pakamian) เกริ่นนำถึงจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจในครั้งนี้ โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อได้ทำการศึกษาเทรนด์ของตลาด เริ่มเห็นการเติบโตของที่อยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดมิเนียม จึงเกิดไอเดียทำสินค้าในกลุ่มของตกแต่งบ้าน เช่น หมอน และตุ๊กตา ออกจำหน่าย และจากการได้ไปออกร้านที่งาน BIG&BIH ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะเป็นสินค้าที่ทำจากผ้าขาวม้า 100% ทำให้มองเห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ชื่นชอบผ้าขาวม้า ก็เริ่มรู้สึกสนุกกับการทำธุรกิจมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์จากเมื่อครั้งเป็นเออีในบริษัทเอเยนซีโฆษณา ทำให้ คุณแอน เกิดการพัฒนาในเรื่องของแนวคิดการดีไซน์ และการทำตลาด ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจของตนเองได้เป็นอย่างดี พร้อมกับการทำวิจัยตลาดเพื่อศึกษาแนวโน้มของตลาด และเรียนรู้มุมมองของกลุ่มเป้าหมายที่ยังมองว่า ผ้าขาวม้า มีความเก่า เชย ล้าสมัย แม้จะมีประโยชน์ด้านการใช้งานอย่างหลากหลายรูปแบบก็ตาม
เมื่อรับรู้ว่า จุดอ่อนของผ้าขาวม้า คือ ความเก่า เชย ไม่ทันสมัย และรูปแบบการใช้งานยังไม่ถูกใจ พาคาเมี่ยนจึงถูกพัฒนาขึ้นด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ให้มีความทันสมัย เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยสร้างความโดดเด่นด้วยสีสัน และลายผ้า ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น การสร้างแพทเทิร์นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ลายตารางหมากรุก และเพิ่มการใช้สีจากเดิมที่มีการใช้สีหลักเพียง 5 สี คือ ขาว ดำ แดง เหลือง และกรมท่า
“จากข้อมูลที่รวบรวมได้ เราพบว่า คนจะติในเรื่องสีสันของผ้าขาวม้าเป็นอันดับแรก เพราะผ้าขาวม้าไม่เคยได้รับการพัฒนาในเรื่องของสีสัน และแพทเทิร์นบนลายผ้ามาเป็นเวลานาน เราจึงนำสีสันมาเล่นบนลายผ้า เช่น สีฟ้า สีชมพู ส้ม ม่วง สีพาสเทล หรือสีที่ไม่เคยมีอยู่บนผ้าขาวม้า จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่ทำให้ลูกค้าจดจำความเป็นพาคาเมี่ยนได้มากขึ้น และยังมีการปรับแพทเทิร์นจากเดิมที่เคยเป็นตารางหมากรุกขนาดใหญ่ 2x2 นิ้ว ก็ทำให้ลวดลายดูมีความสนุกสนานมากขึ้น ด้วยการใส่เส้นสายเล็กๆ เพิ่มเข้าไป หรือมีการทำด้ายพุ่งที่แตกต่างไปจากเดิม
แต่เดิมการออกแบบผ้าขาวม้าที่มีขนาด 90x 200 ซ.ม. จะมีลวดลายเชิงตรงชายผ้าทั้งสองด้าน เราก็เปลี่ยนด้วยการนำลายเชิงมาไว้ตรงกลางผืนผ้า แล้วนำลายตารางไปไว้ตรงปลายผ้า เป็นสไตล์การทอแบบใหม่ที่ทำให้มีความเป็นโมเดิร์นมากขึ้น และดูแปลกตา และสร้างความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด 100%
ที่ผ่านมา เราออกแบบแพทเทิร์นใหม่มาประมาณ 30 ลาย แต่มีการใช้หลักๆ 15 ลาย”
คุณณัฐวรรณ กล่าวเสริมว่า พาคาเมี่ยน เน้นการทำตลาดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน และเริ่มมองหาความเป็นตัวตนของตนเอง จึงต้องการแสดงออกแบบ 100% ซึ่งการทำธุรกิจในช่วงแรกเป็นช่วงที่คอนโดมิเนียมเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จงสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ จากสินค้าตกแต่งบ้านก็เริ่มขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ออกไปสู่กลุ่มอื่นๆ จนถึงปัจจุบันมีสินค้าทำตลาดอยู่ 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ผ้าขาวม้า ผ้าพันคอ กระเป๋า สเตชันนารี่ ตุ๊กตา เบาะหมอน และเสื้อผ้า รวมกว่า 30 รายการ
โดยชื่อแบรนด์ “พาคาเมี่ยน” (Pakamian) มีความหมายที่สะท้อนภาพของกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “ชุมชนคนรักผ้าขาวม้า” นั่นเอง
ที่ผ่านมา ก็มีปัญหาการลอกเลียนแบบรูปแบบสินค้าอยู่บ้าง แต่ก็ทำได้เพียงการพัฒนาตัวเองให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดีไซน์ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อวิ่งหนีให้เร็วยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยสินค้าแต่ละชิ้นก็มีความเป็นตัวตนของพาคาเมี่ยนแฝงอยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลอกเลียนแบบได้ยาก
“เพราะสินค้าลอกเลียนแบบกันได้ แต่ในเรื่องของสไตล์ และการดีไซน์ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ เช่น กางเกงที่เราออกแบบมา ถ้าจับกางออกแล้ววาดแพทเทิร์นตามนั้นก็ทำตามได้แล้ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือน คือ สีสัน และแพทเทิร์นของลายผ้าที่ไม่สามารถดึงไปจากพาคาเมี่ยนได้ หรือจะทอลอกเลียนแบบก็ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเราใช้ฟันหวีที่แตกต่างจากการทอผ้าขาวม้าทั่วไป”
สำหรับผ้าขาวม้าทอของพาคาเมี่ยน ผลิตจากใยฝ้าย 100% จากแหล่งวัตถุดิบที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยเริ่มจากการผลิตเส้นด้ายจากการย้อมสีขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ได้เฉดสีที่ต้องชัดเจนไม่เพี้ยน โดยผ่านกระบวนการออกแบบสีด้วยคอมพิวเตอร์แล้วจึงนำมาเทียบกับแพนโทนสี หรืออาจผสมสีขึ้นใหม่ในแล็ปเพื่อให้ได้สีที่ต้องการ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องการความแม่นยำ โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าองค์กรที่ต้องการสินค้าจำนวนมาก และต้องการสเปคพิเศษ
ปัจจุบัน พาคาเมี่ยน มีกำลังการผลิตที่แยกต่างหากจากโรงงานดั้งเดิมที่มีน้องชายมารับช่วงต่อในการดูแลกิจการของครอบครัวต่อจากคุณพ่อ โดยสายการผลิตของพาคาเมี่ยนจะมีกำลังการผลิตประมาณ 1,000 ผืนต่อวัน จากเครื่องทอผ้าจำนวน 25 ตัว
สำหรับการทำธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา คุณณัฐวรรณ มองว่า อุปสรรคส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเรียนรู้เสียมากกว่า โดยเฉพาะการเรียนรู้ในเรื่องของกระบวนการทอผ้า และการเรียนรู้เรื่องวัตถุดิบ เพราะแม้ว่าจะคลุกคลีอยู่กับธุรกิจทอผ้าขาวม้ามาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นเรื่องที่ตนไม่เคยให้ความสนใจที่จะเรียนรู้มาก่อน แต่เมื่อต้องออกแบบลายผ้าเองจึงต้องมีการเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้สามารถสั่งงานกับช่างทอผ้าได้ ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องที่ทำได้ค่อนยากเนื่องจากช่างทอยังทำงานบนวิถีแบบเดิมๆ
“เราทำธุรกิจมานานกว่า 10 ปี ทำให้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในส่วนของพาคาเมี่ยนเรามีความรู้จักวัตถุดิบของเรามากขึ้น วันนี้ถ้าลูกค้าลูกค้าโยนโจทย์อะไรมาให้ทำเราก็สามารถบอกได้ทันทีว่า ทำได้ หรือไม่ได้ ใช้เวลาประมาณกี่วัน และในแง่ของตลาดผ้าขาวม้าโดยรวม เรามองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ ผ้าขาวม้ากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ทำให้มุมมองของคนยุคใหม่มองผ้าขาวม้าด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น และกล้าที่จะใช้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพาคาเมี่ยนจะทำตลาดมานานกว่า 10 ปี แต่ คุณณัฐวรรณ ก็ยอมรับว่า ธุรกิจเพิ่งเริ่มตั้งหลักได้ดีในช่วง 5 ปีที่ผ่าน โดยการทำธุรกิจในช่วงแรกๆ ตลาดขยายตัวได้ดีมาก เพราะมีลูกค้าต่างประเทศให้ความสนใจค่อนข้างมาก จึงมีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นต้น
กระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้กระทบต่อตลาดส่งออก ปัจจุบันจึงหันมาเน้นการทำตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยมีตลาดหลักในกลุ่มลูกค้าองค์กรประมาณ 60% และลูกค้าทั่วไปประมาณ 20% มีจุดขายที่กระจายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การค้าต่างๆ ค้า อาทิ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ หอศิลป์ ลอฟท์ ไอคอนสยาม ศูนย์ศิลปาชีพ อยุธยา และร้านเอกชัย สาลีสุพรรณ อีกทั้งยังมีการทำตลาดในช่องทางออนไลน์ที่สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 70% ของรายได้
“หลังจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะเน้นไปที่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับยุคสมัย และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เป็นหลัก เช่น แมสผ้า ที่ใช้เทคนิคการเคลือบผ้าแบบสะท้อนน้ำ โดยพัฒนาร่วมกับกรมพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อให้แมสผ้าขาวม้าของพาคาเมี่ยนมีคุณภาพที่สามารถสู้กับแมสผ้าในท้องตลาดได้
ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ ที่จะทำอย่างไรให้สินค้าของเราผลิตออกมาได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก เป็นการบ้านที่เราต้องคิดต่อไปอีก นอกจากนี้ ยังมีกระเป๋าผ้าอเนกประสงค์ ที่สามารถใส่แมสผ้าได้ รวมถึงตลาดเสื้อผ้าก็มีความน่าสนใจ เพราะเสื้อผ้าเป็นสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่คนให้ความสนใจ และซื้อเพื่อเปลี่ยนใหม่อยู่ตลอดเวลา”
นอกจากวิกฤติเศรษฐกิจและสถานการณ์ในเรื่องโควิด-19 ยังมีเรื่องของโครงการผ้าขาวม้าประชารัฐที่กำลังมีการรณรงค์ให้เกิดการใช้ผ้าขาวม้าทอมือ ในอีกแง่มุมหนึ่งก็ได้ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของพาคาเมี่ยนอยู่บ้าง ทำให้ต้องพลาดการสั่งซื้อจากลูกค้าองค์กรอยู่หลายครั้ง เนื่องจากลูกค้าองค์กรหลายแห่งระบุประเภทของผ้าขาวม้าที่ใช้ต้องมาจากการทอมือเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของโครงการนี้ ซึ่งพาคาเมี่ยนไม่ได้ใช้กระบวนการผลิตแบบทอมือ เนื่องจากการทอมือไม่ตอบโจทย์การผลิตจำนวนมากๆ ในเวลาที่จำกัด เพราะการทอมือต้องใช้เวลามากกว่าการผลิตโดยเครื่องจักร
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณณัฐวรรณ ย้ำว่า ควรเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่รู้จักมากที่สุดก่อนที่จะไปมองอย่างอื่น เนื่องจากการทำธุรกิจในประเภทที่ไม่มีความรู้ หรือไมคุ้นเคย อาจถูกผู้อื่นหาช่องทางเอาเปรียบได้
“เราควรหันไปมองว่า สิ่งรอบตัวที่เรารู้จักเขาดีที่สุดคืออะไร สามารถนำมาต่อยอด ปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้กับยุคสมัยได้หรือไม่ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และการที่ได้ทำอะไรด้วยใจรักจะทำให้ทำได้อย่างสนุกสนาน และคนที่จะมาซื้องานของเราไปจะสามารถรับรู้ความรู้สึกตรงนี้ได้ รวมถึงการเรียนรู้ในสิ่งที่จะทำ ต้องศึกษาเพื่อให้รู้จักสิ่งนั้นอย่างแท้จริง เหมือนอย่างที่แอนต้องมาเรียนรู้กระบวนการทอผ้าว่ามีอะไรบ้าง เพื่อให้เราเรียนรู้รากของเราให้ลึกมากขึ้น และสามารถต่อยอดออกไปให้ไกลได้มากขึ้น” คุณณัฐวรรณ กล่าว
Published on 3 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย