8 รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี

หัวข้อ : 8 รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี
อ่านเพิ่มเติม : https://sme.ktb.co.th/sme/productListAction.action?command=getDetail&cateMenu=KNOWLEDGE&cateId=45&itemId=303

 

 

ในระบบภาษีของเราก็มีสิ่งที่เรียกว่ารายจ่ายต้องห้ามทางภาษีอยู่ กล่าวคือ มีรายจ่ายจำนวนหนึ่งในบัญชีบริษัททั่วไปที่ต้องนับเป็นรายจ่าย เพราะเป็นการเสียเงินของบริษัท แต่รายจ่ายเหล่านั้น ห้ามนำไปคิดคำนวณเป็นรายจ่ายตอนเสียภาษีเด็ดขาด เพราะผิดกฎหมาย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น มีหลัก ๆ ดังนี้

 

1. รายจ่ายส่วนตัวของผู้บริหารที่อยู่นอกระเบียบบริษัท

เช่น ค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลืองานบุญ งานบวช หรือกระทั่งงานศพของพนักงาน เป็นต้น รายจ่ายแบบนี้ถ้าไม่มีกำหนดในระเบียบชัดเจน ห้ามนำมาหักภาษีเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นตามอำเภอใจและเป็นรายจ่ายส่วนตัวของผู้บริหารบริษัทเอง ไม่ใช่ของบริษัท หากบริษัทมองว่ารายจ่ายเหล่านี้ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นและจะใช้เงินบริษัทมาจ่าย ควรทำการระบุไว้ในระเบียบของบริษัทให้ชัดเจน

 

2. รายจ่ายเพื่อรับรองลูกค้าที่เกินโควต้า

คนทำธุรกิจโดยทั่วไปจะเข้าใจว่ากว่าจะปิดดีลกับลูกค้าได้ ต้อง “เลี้ยง” ลูกค้าไปหลายรอบ อย่างไรก็ดีการเลี้ยงเหล่านี้ในทางกฎหมายมีโควต้าว่า

  • ต้องเลี้ยงไม่เกินหัวละ 2,000 บาทต่อครั้งเท่านั้น (นับหัวรวมพนักงานที่พาไปเลี้ยงด้วย)
  • รายจ่ายพวกนี้จะต้องไม่เกิน 0.3% ของรายได้บริษัท
  • เพดานของรายจ่ายตรงนี้สูงสุดอยู่ที่ 10 ล้านบาท 

หมายความว่าไม่ว่าบริษัทจะต้องเลี้ยงลูกค้าแค่ไหนกว่าจะปิดดีลได้ แต่รายจ่ายตรงนั้นจะไม่สามารถเอามาหักออกจากรายได้ตอนเสียภาษีถ้าเกินเพดานที่ว่าไป

 

3. รายจ่ายที่ไม่มีผู้รับ

คือ รายจ่ายที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนไปว่าจ่ายไปที่ใคร อาจพบได้มากในบริษัทขนาดเล็ก เพราะบริษัทต้องตั้งงบเบ็ดเตล็ดไว้จัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รายจ่ายเหล่านี้หากจ่ายไปเป็นเงินสด และผู้รับไม่มีการออกใบเสร็จไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่าจ่ายไปที่ใคร จะไม่สามารถนำมาหักภาษีได้

 

4. รายจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม

อาจนับเป็นรายจ่ายของบริษัทแต่สรรพากรไม่นับ คือรายจ่ายที่เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม คือการทำธุรกรรมทางการเงินของบริษัทใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายสินค้าหรือบริการ จะมีเงินส่วนหนึ่งที่ต้องจ่ายไปเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือต้องเก็บไว้เพื่อนำจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มกับสรรพากร 

เช่น บริษัทขายของได้ 100 บาท บริษัทได้เงินจริง 93 บาท อีก 7 บาทต้องเก็บไว้นำจ่ายเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มให้สรรพากร 7 บาทนี้ ไม่สามารถเอามาคิดเป็น “รายจ่าย” ของบริษัทตอนเสียภาษีได้

 

5. รายจ่ายให้กับบริษัทแม่หรือบริษัทลูก

บริษัทจำนวนมากมีการซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทในเครือข่ายที่เป็นบริษัทแม่หรือบริษัทลูก ซึ่งใน

  • ทางบัญชี บริษัทก็จะลงเป็นค่าใช้จ่ายกัน
  • ทางภาษี ตามกฎหมายไทย บริษัทไม่ว่าจะแม่หรือลูกถือเป็นบริษัทเดียวกันในทางภาษี ดังนั้นการซื้อสินค้าและบริการกันเอง จึงเป็นเรื่องของการไหลเวียนของเงินในบริษัท ซึ่งนับเป็นรายจ่ายทางภาษีไม่ได้

 

6. รายจ่ายค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง

บริษัทจำนวนมากมีทรัพย์สินในรูปของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในทางบัญชีทั่ว ๆ ไปจะต้องมีการประเมินมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ตลอด เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งมากขึ้นหรือลดลง

กรณีที่ลดลง 

  • ทางบัญชี อาจถือเป็นรายจ่ายในงบการเงินได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์บริษัทลดลง
  • ทางภาษี เนื่องจากยังไม่มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้น และการประเมินมูลค่าก็ไม่มีหลักทางภาษีที่แน่นอนตายตัวในรายละเอียด ทางสรรพากรจึงห้ามเอาการที่มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทถืออยู่ซึ่งลดลงไปมาคิดเป็นรายจ่ายเด็ดขาด

 

7. รายจ่ายทรัพยากรธรรมชาติที่เสียไป

ในกรณีที่บริษัทสร้างรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติที่ตัวเองถืออยู่ เช่น การขุดแร่หรือตัดไม้มาขาย แน่นอนว่าจากมุมของบริษัท เมื่อเอาทรัพยากรมาใช้แบบนี้ ทรัพยากรย่อมลดลง

  • ทางบัญชี โดยทั่วไปถือเป็นรายจ่ายที่ต้องคำนวณกันไป
  • ทางภาษี ไม่สามารถนำมานับเป็นรายจ่ายได้ เพราะมันไม่มีเกณฑ์ชัดเจนในการประเมินมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกใช้ไป และถ้าเปิดโอกาสให้เอาส่วนนี้มาเป็นรายจ่าย บริษัทก็มีแนวโน้มจะประเมินมูลค่าทรัพยากรที่เสียไปเกินจริง

 

8. รายจ่ายค่าปรับ

ค่าปรับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอกับบริษัทไม่ว่าบริษัทจะทำผิดกฎหมายระดับเล็กน้อยหรือมาก และเมื่อต้องเสียค่าปรับ แน่นอนว่ามันเป็นเงินของบริษัทที่ต้องจ่ายออกไป

  • ทางบัญชี ต้องคิดเป็นรายจ่ายตามจริง
  • ทางภาษี จะไม่สามารถเอาค่าปรับต่าง ๆ มาคำนวณในส่วนของรายจ่ายได้ เพราะจากมุมของสรรพากร รายจ่ายตรงนี้ไม่ใช่รายจ่ายทางธุรกิจ แต่เกิดจากการที่ธุรกิจทำผิดกฎหมายและได้รับการลงโทษโดยรัฐ มันจึงเอามาคำนวณเป็น “รายจ่าย” ในทางภาษีของบริษัทไม่ได้

 

 

Published on 11 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

การวางแผนภาษีในการส่งเสริมการขาย

หัวข้อ : หลักการวางแผนภาษีในการส่งเสริมการขาย
อ่านเพิ่มเติม : https://sme.ktb.co.th/sme/productListAction.action?command=getDetail&cateMenu=KNOWLEDGE&cateId=45&itemId=311

 

 

ในทางธุรกิจนอกจากการขายสินค้าและบริการตามปกติแล้ว การส่งเสริมการขายก็เป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ดี การส่งเสริมการขายมีส่วนที่เกี่ยวข้องทางภาษีที่จะต้องพิจารณา จึงต้องมีการวางแผนด้านภาษีเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนที่เกี่ยวข้องทางภาษีที่เราต้องให้ความใส่ใจมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเราสามารถแยกคำตอบในการวางแผนภาษีส่งเสริมการขาย เป็นกรณีดังนี้

 

1. การลดราคาสินค้าทั่วไป

ด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องคิดจากราคาที่ลด ซึ่งก็ต้องมีใบกำกับภาษีที่ชัดเจนประกอบตอนยื่นภาษี 

ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องแยกเป็น 2 กรณี

  1. กรณีที่ส่วนลดเกิดขึ้นตอนซื้อขายสินค้าและบริการเลย ยอดขายตอนนั้นก็จะลงบัญชีเป็นรายได้ปกติ ไม่ต้องมีส่วนลดเข้ามาเพิ่ม
  2. กรณีที่ส่วนลดเกิดขึ้นภายหลังการซื้อขายสินค้าและบริการ (เช่น กรณีของ Cash Back) ในการรายงานบัญชี ให้รายงานรายได้จากยอดขายในราคาเต็ม และเพิ่มส่วนลดที่เกิดขึ้นไปได้ในส่วนของ “รายจ่าย” ซึ่งที่เพิ่มได้เพราะส่วนลดในแบบนี้ ไม่เข้าข่ายรายจ่ายต้องห้าม
  3. การลดราคาระดับล้างสต็อค

 

2. การลดราคาระดับล้างสต็อค

มีประเด็นภาษีต้องคำนึงเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ใช่การลดราคาระดับทั่วไป แต่ลดต่ำกว่าราคาตลาด ดังนั้นจึงต้องมีข้อคำนึงทางภาษีที่ต่างออกไป

ด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม สินค้าที่ลดแบบล้างสต็อคก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ราคาขายล้างสต็อค เหมือนสินค้าลดราคาทั่วไป

ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ถ้าการลดราคาแบบล้างสต็อคนั้นไม่ได้มีราคาต่ำกว่าราคาตลาด จะคิดเหมือนการลดราคาทั่วไป แต่ถ้าการขายมีราคาต่ำกว่าราคาตลาดเมื่อใด จะเข้าเงื่อนไขที่เราควรต้องจัดการอย่างพิเศษถึงจะมีประสิทธิภาพทางภาษีสูงสุด หรือพูดในภาษากฎหมายก็คือต้อง “มีเหตุอันสมควร” ในการขายสินค้าราคาต่ำกว่าราคาตลาด

เงื่อนไขสำหรับสินค้าที่จะนำมาลดล้างสต็อค

  • ต้องเป็นสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ สินค้าที่มีตำหนิ สินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และเศษซาก” (ดูเพิ่มเติมที่คำสั่งกรมสรรพากร ป.79 /2541) ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนดไว้
  • สินค้าพวกนี้ต้องได้รับการตรวจสอบ และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้เป็นสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ สินค้าที่มีตำหนิ สินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และเศษซาก 
  • ต้องมีบุคคลร่วมสังเกตการณ์ประกอบด้วยฝ่ายคลังสินค้าและฝ่ายบัญชี โดยลงลายมือชื่อเป็นพยานในการขาย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชี
  • ถ้าบริษัทนำสินค้าเหล่านี้ไปขายล้างสต็อค ถือได้ว่าบริษัทได้ขายทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีเหตุอันสมควร

ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขดังนี้ เจ้าพนักงานด้านภาษีก็จะมีสิทธิ์ในการประเมินรายได้จากการล้างสต็อคของเราในราคาตลาด เช่น ถ้าปกติเราขายสินค้าในราคา 100 บาท แต่ขายลดล้างสต็อคไปในราคา 30 บาท เจ้าพนักงานก็มีอำนาจที่จะให้เราเพิ่มรายได้ในบัญชีไปให้เป็นราคาตลาด ซึ่งถือว่าเรามีราคาได้จากการขายสินค้านั้น 100 บาท เป็นต้น

 

3. การแถมสินค้าหรือการแจกสินค้าฟรี

ด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องเสียตามมูลค่าตลาด  ถ้าไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นต่าง ๆ อย่าง

  • มูลค่าของสินค้าที่แถมพร้อมกับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ไม่ว่าสินค้าที่แถมนั้นจะเป็นสินค้าประเภท และชนิดเดียวกับสินค้าที่ขายหรือบริการที่กระทำหรือไม่ แต่มูลค่าของสินค้าที่แถมจะต้องไม่เกินมูลค่าของสินค้าที่ขายหรือมูลค่าของการให้บริการ ถ้าเป็นการแถมในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องนำมูลค่าของแถมมาคำนวณรวมเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ถ้าเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น หนังสือ และพวกสินค้าเกษตร (ดูรายละเอียด ได้ที่ มาตรา 81 (1) ของประมวลรัษฎากร) ก็ไม่ต้องนำมูลค่าของแถมมาคำนวณรวมเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นกัน

ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล คิดเหมือนการขายสินค้าราคาต่ำกว่าตลาดแบบการ “ล้างสต็อค” คือถ้าไม่มี “เหตุสมควร” เจ้าพนักงานจะมีอำนาจในการสั่งให้เอา “ของแถม” มาคิดเป็นรายได้ของบริษัทตามราคาตลาดในบัญชีภาษี

 

ในแง่นี้ “ของแถม” ที่มีประสิทธิภาพทางภาษีก็คือ “สินค้าที่เสื่อมคุณภาพ สินค้าที่มีตำหนิ สินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และเศษซาก” ซึ่งผ่านกระบวนการต่างๆ ให้มันมี “เหตุสมควร” ในการที่บริษัทจะขายออกไปในราคาต่ำกว่าตลาด ดังที่อธิบายไว้แล้วในหัวข้อการลดล้างสต็อค

 

 

Published on 11 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

ไขปัญหายอดฮิตเอสเอ็มอี ของการทำวิจัยและพัฒนาสินค้า

หัวข้อ : ไขข้อกังวล Top Hits เกี่ยวกับการทำR&D
อ่านเพิ่มเติม : https://sme.ktb.co.th/sme/previewPdf.action?fileId=23#book/9


การทำวิจัยและพัฒนาสินค้าหรือการทำ R&D เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจทำกำไรได้มากขึ้น เราได้รวบรวมปัญหาเกี่ยวกับการทำ  R&D ของผู้ประกอบการ พร้อมคำตอบเเละตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

  1. ไม่มีบุคลากร เเละเครื่องมือจะทำได้อย่างไร 

ผู้ประกอบการที่ขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ หรือเครื่องมือทำ R&D สามารถขอการสนับสนุนจากหน่วยงานที่พร้อมให้บริการวิจัย ซึ่งเเบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม

  • กลุ่มเเรกคือ สถาบันการศึกษาที่เป็นมหาวิทยาลัยภาครัฐ 
  • กลุ่มที่สอง ศูนย์วิจัยเฉพาะอุตสาหกรรม
  • กลุ่มที่สาม ศูนย์วิจัยจากหน่วยงานภายใต้การกำกับดูเเลของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย เเละนวัตกรรม 

การสนับสนุนของหน่วยงานดังกล่าวประกอบด้วย

  • ให้คำปรึกษาเบื้องต้น ให้ใช้เครื่องมือ / ทีมวิจัย / สถานที่ ถ่ายทอดเทคโนโลยี เเละในบางเเห่ง เช่น ศูนย์วิจัยของ สวทช. หรือ วว. จะมีบริการเครื่องมือ / สถานที่ / ทีมวิจัย หรือเเม้กระทั้งผลงาน R&D ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ประกอบการไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ด้วย
  • จัดโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างนวัตกรรมครบวงจร ในรูปแบบอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 
  • เป็นพี่เลี้ยงช่วยพัฒนาสินค้าตั้งเเต่ต้นจนจบ คอยให้คำปรึกษา ช่วยประสานงานผู้เชี่ยวชาญมาร่วมทำ R&D ไปจนถึงการช่วยหาช่องทางส่งเสริมการขายกหลังพัฒนาสินค้าสำเร็จ

ซึ่งการสนับสนุนแต่ละระดับก็เหมาะสมกับผู้ประกอบการที่มีเงื่อนไขของการพัฒนาสินค้าที่ต่างกัน 

  • การให้คำปรึกษาอาจเหมาะสมกับผู้ที่เริ่มต้นมองหาโจทย์การพัฒนาสินค้า 
  • การขอรับบริการเครื่องมือ/ทีมวิจัย/สถานที่ เเละการถ่ายทอดผลงาน R&D เหมาะสมกับผู้ที่มีโจทย์พัฒนาสินค้าที่ชัดเจน เเละมีเงินทุนระดับหนึ่ง 
  • การพึ่งพาแบบพี่เลี้ยงเหมาะสมกับผู้ที่ริเริ่มทำธุรกิจ เเต่มีไอเดียการพัฒนาสินค้าที่แปลกใหม่เพียงพอที่จะผ่านการคัดเลือกเข้าโครงการต่างๆ ที่พี่เลี้ยงจัดขึ้น รวมไปถึงมีเวลาในการรับคำแนะนำจากพี่เลี้ยงเเละหน่วยงานต่างๆ ที่พี่เลี้ยงส่งมาให้คำปรึกษาหรือร่วมทำ R&D เพิ่มเติม

  1. หากข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรืองานวิจัยใหม่ๆ ไม่รู้จะหาจากไหนดี 

ผู้ประกอบการสามารถติดตามผลงานวิจัยใหม่ๆ ได้ด้วยตนเองหรือตามช่องทางออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยในปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่สนับสนุนการจัดทำนวัตกรรม เช่น สวทช. สำนักงานนวัตกรรมเเห่งชาติ (สนช.) หรือ สำนักงานกองทุนสนุบสนุนการวิจัย (สกว.) ฯลฯ ได้รวบรวมผลงาน R&D ในระดับพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์จากหลากหลายเเห่ง

หากสนใจไปเห็นด้วยตัวเองทำได้ด้วยการไปร่วมงานโชว์เคส ทั้งมหกรรมเเละงานประกวดรางวัลที่เกี่ยวกับนวัตกรรมโดยตรง โดยจุดเด่นของงานเหล่านี้คือ เป็นงานที่รวมตัวของผู้ประกอบการเเละนักวิจัยที่สามารถพัฒนาผลงาน R&D ในระดับต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้มีอยู่ 3 รูปแบบให้เลือกเข้าร่วม คือ

  • แบบเเรก คือ งานมหกรรมเเสดงผลงานนวัตกรรม ซึ่งจะมีการนำเสนอผลงาน R&D ขายได้จริง ของผู้ประกอบการเเละนักวิจัยจากหลายอุตสาหกรรม พร้อมการเสวนาหัวข้อน่าสนใจ
  • เเบบที่สอง คือ งานประกวดรางวัลนวัตกรรม ซึ่งเป็นงานจัดเเข่งขันประกวดผลงานนวัตกรรมในระดับต่อยอดเชิงพาณิชย์เเล้ว จากผู้เข้าเเข่งขันทั่วประเทศ 
  • เเบบที่สาม คือ งานเเสดงสินค้าเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการของอุตสาหกรรมนั้นไว้อย่างหลากหลาย เเละมักจะมีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมนั้นๆ มานำเสนออยู่เสมอ

แต่หากต้องการดูผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถเข้าดูได้ที่เว็บไซต์ซึ่งรวบรวมผลงาน R&D ในระดับพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์จากศูนย์วิจัยต่างๆ ไว้เเล้ว เเละยังมีข้อมูลสำหรับติดต่อผู้วิจัย/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ให้อีกด้วย

  1. กลัวเเพง หรือไม่ค่อยมีทุน ทำอย่างไรดี?

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังมีเงินทุนไม่เพียงพอ สามารถขอรับการสนับสนุนจากโครงการสินเชื่อพิเศษสำหรับการทำ R&D จากสถาบันการเงินชั้นนำได้ ซึ่งโครงการเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐกับธนาคารพาณิชย์ มีเสนอให้เข้าร่วมได้ 3 รูปแบบ ได้เเก่ 

  1. โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ของ สวทช. ที่จะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ภายใต้วงเงินสูงสุด 30 ล้านบาท 
  2. โครงการ นวัตกรรมดี...ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสินเชื่อวงเงินสูงสุด 30 ล้านบาท โดย สนช. จะจ่ายดอกเบี้ยเเทน SMEs ให้ใน 3 ปีแรก
  3. โครงการ Startup&Innobiz ที่จะให้สินเชื่อวงเงินสูงสุด 40 ล้านบาท ในลักษณะที่บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาย่อม (บสย.) จะเป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อให้ ซึ่งนับว่าเหมาะสมกับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นเเละยังมีหลักทรัพย์เพื่อขอยื่นกู้ตามโครงการปกติ ไม่เพียงพอเป็นอย่างยิ่ง

หากผู้ประกอบการรายใดที่มีไอเดียนวัตกรรมสร้างสรรค์เเละต้องการเงินสนับสนุน สามารถยื่นขอเงินทุนให้เปล่าเพิ่มเติมจากโครงการ 4 ประเภท (ตาราง ที่ 5 ) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งมีการช่วยออกค่าใช้จ่าย R&D สูงถึง 50%-75% โดยบางโครงการจะให้เงินสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างนวัตกรรมที่น่าสนใจ หรือสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ บางโครงการก็มีวัตถุประสงค์ให้ผู้ประกอบการได้ทำ R&D ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้วย

  1. ถ้าสนใจทำ R&D ควรเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน?

หากผู้ประกอบการเริ่มสนใจในการทำ R&D เเต่ยังมีข้อสงสัยว่าควรเริ่มต้นจากจุดไหน เเละสงสัยว่าจะทำ R&D เรื่องอะไรดี สามารถดูได้จากข้อมูลเเละวิเคราะห์เส้นทางการทำ R&D ในภาพด้านล่างนี้

Published on 11 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

เมื่อโควิดทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวต้องหยุดพัก แล้วจะปรับยังไงให้องค์กรได้ไปต่อ

เมื่อโควิดทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวต้องหยุดพัก แล้วจะปรับยังไงให้องค์กรได้ไปต่อ

อุตสาหกรรมที่บาดเจ็บมากที่สุดจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ  เนื่องจากที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 22 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเจอผลกระทบหนักถ้วนหน้า 

แต่ท่ามกลางการบาดเจ็บล้มตาย ย่อมมีผู้รอดชีวิตเสมอ  ไม่ใช่เพราะมีร่างกายแข็งแกร่ง แต่อยู่ที่ทัศนคติทำให้ตั้งหลักได้เร็ว และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ด้วยกันทั้งองค์กร 

วิธีนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าประสบความสำเร็จมาแล้ว จากตัวอย่างของ Local Alike บริษัทท่องเที่ยวสตาร์ทอัพที่แม้จะทำธุรกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise แต่ก็ยังฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนองค์กรรอดพ้นจากวิกฤต แถมยังต่อยอดธุรกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคตย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 Local Alike แจ้งเกิดในตลาดท่องเที่ยวชุมชนผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวโดยชุมชนกับนักท่องเที่ยวที่สนใจในเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเข้าด้วยกัน โดยในระยะแรกจับกลุ่ม B2B (Business to Business) และ B2G (Business to Government) เป็นหลัก ทำให้มีลูกค้ามากกว่า 50 ราย ทั้งในภาคที่เป็นองค์กรเอกชนอย่างไทยแอร์เอเชีย เอสซีจี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซีพีเอฟ และหน่วยงานภาครัฐอย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาชุมชม และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เป็นต้น 

โดย Local Alike จะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านการท่องเที่ยวของชุมชน และทำให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน กลายเป็นโมเดลที่ทำให้ Local Alike ประสบความสำเร็จกลายเป็นที่จับตาในฐานะสตาร์ทอัพดาวรุ่งใน Travel Tech 

แม้จะมีลูกค้า B2C (Business to Consumer) เข้ามาบ้างก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 100% ที่ชอบท่องเที่ยวแบบเจาะลึกในชุมชน ปลายปีที่ผ่านมา Local Alike จึงขยายธุรกิจใหม่เพื่อเจาะเข้าไปในกลุ่มลูกค้า B2C คนไทยบ้าง ภายใต้แบรนด์ Local Aroi หรืออาหารชุมชน อันจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ให้กับคนในชุมชนต่อยอดจากการท่องเที่ยวชุมชน ผ่านการจัดเตรียมอาหารมื้อพิเศษแบบ Chefs Table ให้คนเมืองมาลิ้มรส ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นโดยชาวบ้านในชุมชน และปรุงด้วยเชฟชาวบ้าน เพื่อคงรสชาติดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและเรื่องราวของแต่ละชุมชนจากทั่วประเทศ ซึ่งต่อมาได้ขยาย Private Dinner Catering และ Cooking Class 
โปรแกรมแต่ละอย่างดังกล่าวที่จัดขึ้นในแต่ละชุมชนหลายสิบอีเวนท์เมื่อปลายปีก่อนถูกจองเต็ม เช่นเดียวกับโปรแกรมในปีนี้ที่มีลูกค้าจองเต็มล่วงหน้าเช่นกัน แต่..........

 “พอ COVID-19 มาปุ๊ป โปรแกรมท่องเที่ยวของ Local Alike และโปรแกรมต่างๆ ของ Local Aroi ต้องถูกระงับจากมาตรการล็อคดาวน์ทันที และส่วนหนึ่งคนยังไม่กล้าท่องเที่ยวด้วย ทำให้รายได้เราหายไปทันที 20 ล้านบาท” คุณสมศักดิ์ บุญคำ หรือไผ Founder & CEO ของ Local Alike กล่าว

เดือนกุมภาพันธ์จึงเป็นห้วงเวลาที่ผู้บริหาร Local Alike ยอมรับว่าองค์กรอยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัส แต่การเป็นสตาร์ทอัพที่มีหัวใจของการทำงานที่คล่องตัว ตัดสินใจไว และทุกคนในองค์กรมีส่วนในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ทำให้ Local Alike ค่อยๆ ฟื้นตัวมาได้ โดยใช้เวลาเพียงเดือนเดียวในการปรับตัว Local Aroi ให้กลายเป็น Local Aroi Dee Delivery แพลตฟอร์มการสั่งอาหารชุมชนผ่านเดลิเวอรี 

“มันเป็นไอเดียส่งความอร่อยจากท้องถิ่นถึงบ้านคุณในรูปแบบ Delivery โดยเราให้ชุมชนส่งวัตถุดิบหลักมา ส่วนทีมงาน Local Aroi  จะทำหน้าที่เป็นเชฟ และ Food Stylist นำวัตถุดิบมาทำเป็นเมนูฟิวชั่นให้ถูกจริตคนเมือง จากวัตถุดิบท้องถิ่นนั้นๆ อาทิ ใบโกงกาง จากชุมชนบางหญ้าแพรก จากสมุทรสาคร, กะปิ จากชุมชนคลองโคน สมุทรสงคราม, พริกแกงเขียวหวาน จากนครศรีธรรมราช และปอเปี๊ยะ จากคลองเตย เป็นต้น”

แม้จะมีจุดแข็งที่ขายอาหารผ่านสตอรีสร้างความแตกต่างจากเจ้าอื่นได้อย่างสบายๆ ท่ามกลางสงครามฟู้ดเดลิเวอรีที่แข่งขันกันดุเดือดก็ตาม แต่อุปสรรคก็ยังมีไว้ให้ฝ่าฟัน เพราะค่าส่งและ GP ที่เจ้าของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีเก็บ 30% ยังเป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ต้องทลายมันลงมา

“เราขายอาหาร 60 บาท แต่เจอค่าส่งแพงกว่าค่าอาหาร เราคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก เราจึงอาศัยความสัมพันธ์จากการเข้าไปทำท่องเที่ยวชุมชนในสลัมคลองเตยก่อนหน้านี้ ให้พี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์ รวบรวมพรรคพวกที่ว่างงานจากการล็อคดาวน์ มาตั้งกลุ่มคลองเตยไบค์ เราให้ค่าจ้างเขาเป็นรายวัน แล้วเราก็มาบริหารจัดการค่าจัดส่งไปยังลูกค้าในราคาที่ถูกกว่าแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี” 

มีท่องเที่ยวชุมชนแล้ว อาหารชุมชนแล้ว ในเวลาไล่เลี่ยกัน Local Alike ก็ได้ขยายอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นคือ Local A lot ในฐานะสินค้าชุมชนบ้าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาสร้างรายได้หล่อเลี้ยงให้กับองค์กรและชุมชนในช่วงธุรกิจท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก

Local A lot เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับสินค้าชุมชน จากการที่เราทำงานร่วมกับชุมชนมานาน เราพบว่าชุมชมมีของดีเยอะมาก เราเลยตั้งชื่อนี้”

แต่ใช่ว่าจะสักแต่ขายของลูกเดียว โดยไม่เข้าใจสถานการณ์ ทุกอย่างต้องมีไอเดียการขายทั้งนั้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสอย่างนี้

“เราให้แม่ๆ ในชุมชน เย็บหน้ากากจากผ้าทอมือมาขายเป็นหน้ากากชุมชน หรือบางแห่งผลไม้ออกพอดี เราก็ขายมังคุดชุมชน รวมถึงออกโปรดักท์เป็นถุงยังชีพชุมชนเลย โดยเราเอาของดีจากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารอาหารแห้งมารวมอยู่ในถุงยังชีพ เพื่อนำมาขายให้กับองค์กรเอกชน หรือพรรคการเมืองที่ต้องซื้อไปแจกผู้ประสบปัญหาอยู่แล้ว ปรากฏว่าผลตอบรับดีมาก เฉพาะแค่หน้ากาก เราขายได้ 1,000 ชิ้นภายใน 2 วัน ทำให้หลังจากที่ Local A lot เปิดตัวมาได้ 45 วัน เราสร้างรายได้ให้ชุมชนมากถึง 3 ล้านบาท และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Local Alike ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด”คุณไผ กล่าวถึงบทเรียนที่เขาได้รับจากวิกฤตนี้ว่ามีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน 

เรื่องแรก ธุรกิจท่องเที่ยวมีความเปราะบางมากกว่าที่คิด ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ต้องเรียนรู้ที่จะหาโมเดลใหม่เพื่อสร้างรายได้จากช่องทางอื่น

เรื่องที่สอง ธุรกิจทัวร์ต้องมีความเกื้อกูลกันมากขึ้น (Inclusive) ในกรณีของ Local Alike หากไม่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนไว้ตั้งแต่แรก ชุมชนก็คงไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือยามลำบากด้วยการขายสินค้าในราคาต้นทุนให้ Local Aroi และ Local A lot แจ้งเกิดได้ ดังนั้นธุรกิจท่องเที่ยวที่เข้าไปทำในชุมชมแต่ไม่สนใจชุมชมรอบข้างก็จะอยู่ยาก

และเรื่องสุดท้ายที่สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการ คือ การสร้างทีมให้เข้าใจภารกิจเดียวกัน และพร้อมที่จะ Reskill สู้ไปด้วยกัน จะสังเกตได้ว่าวิกฤตครั้งนี้ ทีมไหนมี Grow Mindset สูงมักจะอยู่รอด

และบทเรียนทั้งหมดก็พิสูจน์ได้ว่า Local Alike ไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังพลิกวิกฤตให้ธุรกิจและชุมชนมีโอกาสเพิ่มรายได้ไปด้วยกันในอนาคต

“ในอนาคต Local Aroi และ Local A lot มีศักยภาพที่จะเติบโตไปได้อีกไกล เพราะจับตลาดแมส เมื่อเทียบกับ Local Alike เป็นการที่ชวนคนไปเที่ยวชุมชน หลายคนอาจจะคิดเยอะ เพราะแพ็กเกจหลักพันขึ้นไป แต่สองอันนี้แค่หลักร้อย แล้วจุดเด่นคือ สตอรี ที่ทำให้เราต่างจากคนอื่น แค่นำเสนอผ่านอาหารและสินค้าชุมชนเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือ พัฒนาอาหาร ปรับเมนู และปรับแพ็กเกจจิ้งสินค้าทำสไตล์ให้สวยขึ้นเท่านั้นเอง”

รู้จักเพิ่มมูลค่า และคว้าโอกาสในวิกฤต

Published on 11 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

Meat Avatar เนื้อจำแลงจากพืชจากเทรนด์อาหารโลกสู่ตลาดเมืองไทย

 

ในสหรัฐอเมริกา เนื้อที่ทำจากพืช (plant-based meat) ได้ถูกผลิตขึ้นในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา และค่อยๆเติบโตเป็นทางเลือกให้กับผู้รักสุขภาพ และในช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ แนวโน้มการเติบโตของเนื้อจากพืช เบอร์เกอร์เนื้อจากพืช พุ่งสูงขึ้น และเป็นเทรนด์อาหารในหลายประเทศทั่วโลก  

ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเนื้อจากพืช หรือโปรตีนพืช มีหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมถึงการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดยกระบวนการเลี้ยงปศุสัตว์มีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ฟาร์มบางแห่งมีประเด็นเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ และยังมีจริยธรรมเรื่องการฆ่าสัตว์ ผู้บริโภคบางกลุ่มจึงมองว่า การบริโภคเนื้อจากพืชมีส่วนช่วยในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ต้องฆ่าสัตว์ และเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ในประเทศไทย Meat Avatar คือหนึ่งในบริษัทที่เห็นโอกาสธุรกิจเนื้อจากพืช และได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองคนไทยและคนเอเชีย ด้วยเมนูแรก “หมูกรอบจำแลง” พร้อมปรุง ซึ่งมีส่วนประกอบโปรตีนสกัดจากธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง เห็ด ข้าวเจ้า ข้าวสาลี รวมถึงสีธรรมชาติจากบีทรูทและทับทิม โดยเล็งกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์ รวมถึงคนที่กินมังสวิรัติ

 

คุณวิภู เลิศสุรพิบูล ผู้ร่วมก่อตั้ง Meat Avatar กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า ตอนเรียนปริญญาโท อยู่ที่สหรัฐอเมริกาช่วงปี 2551-2552  ได้เห็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่พัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารวีแกน เป็นต้น พอกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกอาหาร จึงคลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจอาหาร และมีโอกาสไปเดินงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง จึงเห็นเทรนด์อาหารในระดับโลก

 

คุณวิภู เล่าว่า ได้มีโอกาสกลับไปสหรัฐ และเข้าร่วมงาน Exhibition ไปเจอ Beyond Meat (บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตเนื้อจากพืช) คิดว่าน่าสนใจ ลองชิมแล้วว่าอร่อย จากนั้นก็ลองพยายามดูว่า จะนำเข้ามาที่ไทยได้ไหม”

ในตอนแรกที่ Beyond Meat วางตลาดในสหรัฐ ราคาผลิตภัณฑ์แพงกว่าเนื้อสัตว์ถึง 2 เท่า พอคุณวิภูลองคำนวณต้นทุนในการนำเข้าเนื้อจากพืชของ Beyond Meat ทั้งค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า รวมถึงการแบ่งกำไรให้กับห้างสรรพสินค้า จึงได้ข้อสรุปว่า แทบเป็นไปไม่ได้ที่ออกตลาด Mass ในไทย จับกลุ่มได้แต่ผู้บริโภคระดับบนเท่านั้น เนื่องจากมีราคาแพงมาก”

 

เมื่อการนำเข้า Beyond Meat มาวางขายในไทยไม่ตอบโจทย์ คุณวิภูจึงคิดต่อว่า ทำไมถึงไม่ทำเองในไทย ซึ่งเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมีเทคโนโลยีอาหารที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากนั้นจึงได้เริ่มฟอร์มทีมทำโปรเจ็คส์เนื้อจากพืชเมื่อปี 2558 พร้อมกับทำธุรกิจอื่นควบคู่กันไปด้วย โดยมีคุณวรุตม์ จันทร์โพธิ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Meat Avatar โดยคุณวรุตม์ กล่าวว่า ทางทีมงานเริ่มมาทำจริงจังเต็มตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และได้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (prototype) ในช่วงปลายปีที่แล้ว ก่อนจะมีสินค้าออกจำหน่ายในปี 2563

หากเปรียบเทียบบริบทธุรกิจระหว่างสหรัฐและไทย คุณวิภู กล่าวว่า ในปัจุบัน บริษัทที่ผลิตเนื้อจากพืชในสหรัฐ ชูประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าสุขภาพ แต่ในประเทศไทย ความห่วงกังวลด้านสิ่งแวดล้อมยังมีดีกรีน้อยกว่าโลกตะวันตก Meat Avatar จึงชูเรื่องสุขภาพและจริยธรรมการฆ่าสัตว์พื้นฐานประเทศไทยมีเรื่องการกินเจ กินมังสวิรัติที่ดีอยู่แล้ว คนไทยเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเอง และร้านอาหารมังสวิรัติ ร้านอาหารวีแกนเปิดขึ้นมาเยอะ โดยเฉพาะในโซนกลางเมือง” 

 

คุณวรุตม์ กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันมองเรื่องสุขภาพ การออกกำลังกายมาควบคู่กับอาหารคลีน และมีโปรตีนทางเลือกมากขึ้น ทำให้มองเห็นโอกาสธุรกิจเนื้อจากพืชในไทย แต่คุณวิภูเสริมว่า หนึ่งในปัญหาที่พบคือ คนยังไม่รู้จักว่าเนื้อจากพืชคืออะไร บริษัทจึงต้องทำการตลาดและให้ความรู้ว่า เนื้อจากพืชต่างจากอาหารเจ-มังสวิรัติอย่างไร 

อาหารเจมังสวิรัติรูปแบบเดิม ส่วนมากจะเป็นการเอาแป้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีนเกษตร มาขึ้นรูปให้เหมือนเนื้อสัตว์จริง โดยที่คุณสมบัติยังไม่ได้ เช่น โปรตีนเกษตรยุคเก่ามีกลิ่นค่อนข้างแรง กลิ่นถั่ว กลิ่นผักค่อนข้างแรง คุณค่าทางโภชนาการก็ยังไม่ครบถ้วน ส่วนมากมีคาร์โบไฮเดรตสูง และรสชาติอาจยังไม่อร่อยถูกปากนัก สิ่งที่เรานำเสนอ plant-based ของเรา คือ เนื้อที่ทำจากพืชและทดแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติคล้ายเนื้อสัตว์จริงมากที่สุด และต้องมีโปรตีนมากกว่าคาร์โบไฮเดรตคุณวิภู กล่าวว่า Meat Avatar มีคุณสมบัติของเนื้อจากพืช 5 ประการได้แก่ รูปลักษณ์ รสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการ 

 

กว่าจะมาเป็น หมูกรอบจำแลง” ที่วางจำหน่าย ทางทีมงานใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นสูตร อาทิ การคัดเลือกธัญพืช คิดหาวิธีดึงกลิ่นออกจากพืชผักที่นำมาเป็นส่วนประกอบ และการทำให้เนื้อสัมผัสมีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ 

คุณวิภูและคุณวรุตม์ กล่าวว่า การคิดค้นพัฒนาสูตรอาหารเนื้อจากพืชในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องของความพยายามและตั้งใจในกระบวนการทดลอง ได้ทิ้งผลิตภัณฑ์ต้นแบบไปจำนวนมาก โดยทางทีมงานมีการวิจัยพัฒนา ดูข้อมูลจากต่างประเทศ รวมถึงขอความช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สถาบันอาหาร อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง

เราไม่ได้ปิดว่า ทุกอย่างต้องเป็น in-house ของเรา เราสามารถที่จะออกไปปรึกษาเขาได้ เพื่อจะได้มีองค์ความรู้ และเปิดโลกมากขึ้น เราไม่ได้ปิดว่า ฉันรู้อยู่แค่นี้ ฉันก็จะทำของฉันอยู่แค่นี้ บางทีมันจะไปไม่ได้ เราจะต้องยอมรับความคิดของคนอื่นเข้ามาเพื่อให้ก้าวหน้าไปได้ และทำให้เร็วขึ้นคุณวิภู ยกตัวอย่างว่า ได้ปรึกษาเรื่องเทคนิคกับทางสถาบันอาหาร เพราะเป็นองค์กรที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร 

 

ในเรื่องปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจเนื้อจากพืช คุณวิภู มองว่ามี 2 เรื่องหลัก คือ การตลาดและรสชาติของผลิตภัณฑ์ การตลาดต้องทำให้ผู้บริโภครับรู้และเห็นความแตกต่างของเนื้อจากพืช ส่วนเรื่องรสชาติ อาหารที่จะขายได้ ต้องอร่อย และราคาต้องอยู่ในช่วงราคาที่จับต้องได้ ไม่แพงเกินไป”  

สำหรับอาหารพร้อมปรุง นอกจากตลาดรีเทล-ซูเปอร์มาร์เก็ต Meat Avatar มีแผนที่จะเข้ากลุ่มฟู้ดเซอร์วิส โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง ส่งวัตถุดิบให้เชฟรังสรรค์เมนูให้ลูกค้าได้ชิม ถ้าลูกค้าติดใจก็อาจซื้อกลับไปทำเองที่บ้าน

นอกจากหมูกรอบแล้ว Meat Avatar ยังเตรียมเปิดตัว หมูสับเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชตัวต่อไป และบริษัทยังมีแผนที่จะหาพันธมิตร โดยจะร่วมมือกับโรงงานผลิตอาหารพร้อมทาน รวมถึงวางแผนส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นต้น

 

ในสนามแข่งขันธุรกิจเนื้อจากพืชในประเทศไทย นอกจาก Meat Avatar ยังมีแบรนด์ Let's Plant Meat เบอร์เกอร์เนื้อจากพืช รวมถึงผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายก็หมายตาธุรกิจนี้ไว้ด้วยเช่นกัน คุณวิภู กล่าวว่า ทุกคนกลัวเจ้าใหญ่ เพราะเขามีทุกอย่างในมือ แต่ผมมองว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นเรื่องปลาเร็วกินปลาช้า เรามาก่อนเขา ทุกคนรู้จักเราก่อน เราทำให้คนติดใจเรื่องรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ และราคา ผมเชื่อว่าจะทำให้เราแข่งกับเจ้าใหญ่ได้เหมือนกัน

Meat Avatar ยังมองหาความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อมาช่วยเรื่องการขยายและพัฒนาธุรกิจเนื้อจากพืช ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่  

 

ในโลกการแข่งขันทางธุรกิจ ปลาใหญ่อาจไม่ได้กินปลาเล็กเสมอไป หาก SME มีไอเดีย มองเห็นโอกาส และสามารถเปลี่ยนไอเดียเป็นธุรกิจด้วยความรวดเร็วว่องไว 

 

 

Published on 11 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ