
หัวข้อ : วารสาร K Sme Inspried ต่าง Gen แต่เป้าหมายไม่แตกต่าง
อ่านเพิ่มเติม :www.kasikornbank.com/th/business/sme/Inspired-Jan-2019.aspx
ข้อความที่สื่อผ่านเฟซบุ๊กนับเป็นปราการด่านแรกทำให้ผู้พบเห็นอ่านแล้วเกิดความสนใจ บทความหรือคำโฆษณาจะต้องมีพลังโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจได้ในทันที แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ก็พอจะมีสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับที่ใช้กัน และมักได้ผลเสมอ
การเขียนคำโฆษณา หมายถึง ข้อความที่ทำให้ผู้บริโภคเล็งเห็นถึงคุณค่าที่เป็นเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจซื้อสินค้ามากกว่า “ราคา” กูรูทางด้านการเขียนข้อความโฆษณากล่าวไว้อีกด้วยว่า นักเขียนคำโฆษณาคือ “พนักงานขายที่อยู่หลังแป้นพิมพ์” เพราะข้อความที่เขียนต้องทำให้เกิดการขาย คำโฆษณาที่ดี “ต้องยาวพอที่จะปกปิด (ครอบคลุม) ส่วนสำคัญ และสั้นพอที่จะเร้าใจ” สรุปเป็นเทคนิคสั้น ๆ ได้ว่า “สั้นกระชับ ครอบคลุม กระตุ้นต่อมอยาก”
การเขียนข้อความบนโฆษณาเฟซบุ๊กให้ขายดี อาจจะไม่ถึงกับต้องเขียนได้ระดับเดียวกับครีเอทีฟ แต่เป้าหมายคือ
1. ตั้งคำถาม เรียกร้องให้สนใจ
กระตุ้นความสนใจ ด้วยคำถามให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึง เช่น คิดจะย้ายบ้าน? หรือ อยากแต่งสวน?
ข้อควรระวัง : เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะโพสต์ที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะจ่ายเงินซื้อโฆษณากับเฟซบุ๊กเท่านั้น เนื่องจากการเลือกใช้ประโยคคำถามในข้อความ อาจจะทำให้ซื้อโฆษณาไม่ผ่านได้
2. อย่าใช้คำที่เป็นทางการเกินไป
เพราะเฟซบุ๊กเป็นแพลตฟอร์มที่มีบุคลิกของความเป็นเพื่อน ดังนั้น ภาษาที่เป็นทางการมากเกินไปจะทำให้ไม่น่าสนใจ และเลี่ยงการภาษาที่สูงส่งเกินเข้าใจ
3. หากซื้อโฆษณา อย่าแก้ไขโฆษณาเร็วเกินไป
เทคนิคนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเขียนโดยตรง แต่ควรรู้ไว้ว่า
4. อ่านจบได้ไม่ต้องคลิก “ดูเพิ่มเติม”
เทคนิคนี้อาจต้องมีการทดสอบข้อความโฆษณา โดยเฉพาะการเลือกใช้ข้อความโฆษณาแบบยาวกับแบบสั้น เพราะกูรูโฆษณาส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่า
เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่จะไม่อ่านโฆษณาทั้งชิ้น แต่จะใช้การลากนิ้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเห็นโฆษณาแล้วอ่านข้อความจบ ครบถ้วน ชวนให้อยากแล้วคลิกไปซื้อ หรือลงหน้าเว็บผลิตภัณฑ์ได้ทันทีก็จะเป็นการดีสำหรับพวกเขาและธุรกิจ อย่างไรก็ตาม กฎทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เพื่อความมั่นใจแนะนำให้ทำโฆษณาทดสอบโฆษณาก๊อบปี้ยาวกับสั้นเทียบกันก่อน
5. เริ่มต้นข้อความด้วย “ตัวเลข”
ถ้าคุณขายสินค้าจับต้องได้ ผู้พบเห็นโฆษณาอาจต้องการรู้ว่า มันมีราคาเท่าไร โดยเฉพาะหากคุณกำลังจะเซลสินค้าตัวนั้น โอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจแทบจะทันที เทคนิคนี้ เชื่อว่า น่าจะมีอาการคลิกลั่น เกิดกับผู้บริโภคอย่างแน่นอน
Published on 15 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : วารสาร K Sme Inspried Small - scale แจ็คผู้ไล่ยักษ์
อ่านเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/k-sme-inspired/Inspired/Inspired-Dec-2018.aspx
เมื่อผู้หญิงไม่หยุดสวย ช่วยให้ตลาดเครื่องสำอางไทยโตไม่หยุด แบบไม่แคร์เศรษฐกิจหรือการเมือง โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ผลิตจากธรรมชาติ เครื่องสำอางเฉพาะกลุ่ม แม้แต่เครื่องสำอางที่จับตลาดชาวมุสลิมก็มีมูลค่าสูงถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ นับเป็นขุมทรัพย์ที่เอสเอ็มอีมีโอกาสไม่น้อย สำหรับมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยอยู่ที่ประมาณ 2.51 แสนล้านบาท แยกเป็น ตลาดในประเทศ 66.9% ตลาดส่งออก 33.1%
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีการเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับเครื่องสำอางประเภทอื่นๆ อาจเป็นผลจากสภาพอากาศ มลภาวะต่างๆ ทำให้ความต้องการเครื่องสำอางที่ช่วยปกป้อง หรือซ่อมแซมผิวหรือร่างกายได้รับความนิยม นอกจากนี้ พฤติกรรมคนไทยที่หันมาเพิ่มขั้นตอนในการดูแลผิวหน้า ทำให้เครื่องสำอางประเภทมาส์กหน้า (Mask) ที่มีสารบำรุงผิวเข้มข้นได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ด้วยคุณภาพมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัย ประกอบกับการมีวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอาง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ รวมถึงความหลากหลายของประเภทเครื่องสำอาง ซึ่งมีเอกลักษณ์และนวัตกรรมการผลิตที่หลากหลายเครื่องสำอางของไทยจึงได้รับความนิยมในต่างประเทศ
เด็ก ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กยุคใหม่เริ่มเปิดกว้างต่อการใช้เครื่องสำอางเพื่อดูแลและเสริมบุคลิกภาพในกลุ่มเด็กมากขึ้น แต่เครื่องสำอางควรต้องมีความปลอดภัย เนื่องจากผิวเด็กมีความบอบบาง
ผู้ชาย หันมาใส่ใจตัวเองเพื่อเสริมบุคลิกภาพ ซึ่งกระแสดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและดูแลเส้นผม น่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและน้ำหอมที่มีการใช้อยู่แล้ว
ผู้สูงอายุ จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกมีประมาณ 1,000 ล้านคน ซึ่งผู้สูงอายุบางกลุ่มมีกำลังซื้อและมีความต้องการสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตรวมถึงการเสริมบุคลิกภาพที่ดี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ต่อต้านริ้วรอยให้ดูอ่อนกว่าวัย และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้สูงอายุ
ประเทศมุสลิม ตลาดเครื่องสำอางสำหรับชาวมุสลิมในตลาดโลกเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7% ต่อปี โดยประเภทของเครื่องสำอางที่น่าสนใจได้แก่ เครื่องสำอางที่ใช้สำหรับดูแลเส้นผมสำหรับผู้ชาย และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวสำหรับเด็ก ซึ่งตลาดมุสลิมที่มีมูลค่าสูงได้แก่ อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี มาเลเซีย และบังกลาเทศ ตามลำดับ
นักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องสำอางของผู้ผลิตชั้นนำของโลก ทำให้สินค้ามีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับที่ถูกส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศ และไทยยังมีสินค้าเครื่องสำอางที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ทั้งพืชและสมุนไพรที่มีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมซื้อ เครื่องสำอาง/ครีมบำรุงผิว 25.5%
Published on 15 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : วารสาร K Sme Inspried สมการทำธุรกิจแบบ WIN - WIN
อ่านเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/k-sme-inspired/Inspired/Inspired-Oct-2018.aspx
ข้อจำกัดของการทำบัญชีระบบเดิมที่มีมากมาย เช่น การรวบรวมข้อมูลตัวเลขที่กระจายอยู่กับฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งยากต่อการอัปเดต ยิ่งนานวันเอกสารที่สะสมเพิ่มจำนวนทำให้การปิดงบล่าช้า ส่งผลหลาย ๆ เรื่องหนัก-เบา ต่างกันไป เช่น ถูกสรรพากรตรวจสอบต้องจ่ายภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับมหาโหด หรือลูกน้องคนขยันโกงเงิน กลายเป็นปัญหาที่วนเวียนแบบนี้ปีแล้วปีเล่า
บัญชีภายใน
บัญชีชุดสรรพากร
ขอเพียงนับหนึ่ง เริ่มต้นปฏิวัติการทำบัญชีชุดเดียวบนโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป
Published on 15 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
หัวข้อ : วารสาร K Sme Inspried นวัตกรรมนำความล้ำ ทำให้ชีวิตง่าย ขยายโอกาสธุรกิจ
อ่านเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/k-sme-inspired/Inspired/Inspired-Sep-2018.aspx
วิถีชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจกับสุขภาพและอาหารการกินที่ดีมากขึ้น ทำให้มูลค่าสินค้าออร์แกนิกเฉพาะในไทยสูงถึงเกือบ 3 พันล้านบาท และมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ภายใต้นโยบายสนับสนุนของภาครัฐที่ส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เช่น
น่าจะทำให้อุปสงค์และอุปทานตลาดออร์แกนิกในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
นอกเหนือจากสินค้าออร์แกนิกรูปแบบเดิม ๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดแล้ว มีการคาดการณ์ว่า กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิกที่มาพร้อมนวัตกรรมและตอบโจทย์เทรนด์การบริโภคหรือการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามามีบทบาทในตลาดออร์แกนิกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มต่อไปนี้
1. ราคาจับต้องได้-ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
พฤติกรรมผู้บริโภค
กลยุทธ์ทางการตลาด
กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด
สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ
2. เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
พฤติกรรมผู้บริโภค
กลยุทธ์ทางการตลาด
กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด
สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ
3. มุ่งเน้นคุณภาพความปลอดภัยด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ให้คุณค่าเฉพาะ (Functional Food Product)
พฤติกรรมผู้บริโภค
กลยุทธ์ทางการตลาด
กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด
สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ
การจะอยู่ในธุรกิจออร์แกนิกนั้น นอกเหนือจากการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์แล้ว ปัจจัยความสำเร็จของผู้ประกอบการยังขึ้นอยู่กับ
1) การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เช่น การได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก จากองค์กรหรือสถาบันที่ได้รับการยอมรับ การรีวิวจากผู้บริโภค/ผู้ใช้จริง
2) สร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ ทั้งในเรื่องของนวัตกรรมอาหาร การออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น อาหารออร์แกนิกสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (ฟรีซพร้อมอุ่นสำหรับสังคมเมือง) ข้าวออร์แกนิกน้ำตาลต่ำ (สำหรับกลุ่มที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก) อาหารออร์แกนิกกลุ่มฟรีฟอร์ม (สำหรับคนแพ้กลูเตน) เป็นต้น
3) การเพิ่มช่องทางการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น
Published on 15 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจนุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนกรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ความว่า
เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้าง และผู้ประกันตนซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติร้ายแรง กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ประกอบกับมีการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีกคราวหนึ่ง เพื่อควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) มิให้นำไปสู่การระบาดระลอกใหม่ อันส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในท้องที่ประเทศไทย จึงควรลดหย่อนการออกเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46/1 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 ถึงงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราฝ่ายละร้อยละสองของค่าจ้างของผู้ประกันตน
ข้อ 2 ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 ถึงงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละเก้าสิบหกบาท
ข้อ 3 ในกรณีที่มีการส่งเงินเกินกว่าจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามประกาศนี้ ให้นายจ้าง หรือผู้ประกันตนตามข้อ 1 หรือข้อ 2 แล้วแต่กรณี ยื่นคำร้องขอรับเงินในส่วนที่เกินคืนได้ ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา
ประกาศ ณ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2563
สุชาติ ชมกลิ่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
Published on 15 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย