สถาบันรหัสสากล GS1 Thailand เป็นหน่วยงานที่ให้บริการเกี่ยวกับการเป็นนายทะเบียนกำหนดเลขหมายบาร์โค้ดมาตรฐานสากล และรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ภาษาสากล ร่วมกับบริษัทนับแสนรายจากทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการจัดจำหน่ายสินค้าในสมัยใหม่ (Modern Trade) และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการส่งออก ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น การค้าปลีก การค้าส่ง การขนส่งและโลจิสติกส์ , สุขภาพ (Healthcare) และเฉพาะในยุคที่ BIG DATA มีความสำคัญมากขึ้นข้อมูลที่ได้จาก บาร์โค้ด จะเป็นส่วนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ

ความสำคัญของบาร์โค้ดในการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SME สามารถแบ่งออกได้เป็นสามส่วนด้วยกัน 

 

1.IDENTIFY -มาตราฐานสากลสำหรับการระบุสิ่งต่างๆ

เลขหมายบ่งชี้มาตรฐานสากล เพื่อบ่งชี้ถึงข้อมูลรายละเอียดของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นขนาด ปริมาณ แบรนด์สินค้า เจ้าของสินค้า รวมไปถึง แหล่งผลิต, เส้นทางการขนส่ง, บริการ และสินทรัพย์

 

2.CAPTURE – มาตราฐานสากลสำหรับการบันทึกข้อมูล

ทุกครั้งที่มีการสแกนบาร์โค้ดตั้งแต่ที่ออกมาจากแหล่งผลิตจนถึงมือผู้ซื้อนั้น ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกเข้าระบบไว้ ทำให้เรารู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสินค้าของเราบ้างไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของการขนส่ง , การจัดการสต๊อก, การเก็บข้อมูลยอดขาย , ไปจนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค 

 

3.SHARE-มาตราฐานสากลสำหรับการแบ่งปันข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์

ข้อมูลทั้งหมดที่เราสามารถเก็บมาได้ตั้งแต่ต้นทางนั้นผู้ประกอบการ SME สามารถแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกับคู่ค้าในซัพพลายเชนของตัวเองได้ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงการทำงาน ตั้งแต่การผลิตไปการจัดจำหน่ายจนถึงในเรื่องของการทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ 

 

GS1 Thailand มีบริการให้แก่ผู้ประกอบการสี่ด้านด้วยกัน

 

1.การออกหนังสือรับรองการเป็นสมาชิกสถาบันรหัสสากลสำหรับการออก บาร์โค้ด ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำบาร์โค้ดไปใช้ในการทำธุรกิจได้ทั่วโลกโดยจะเป็นรหัสผ่านการรับรองจากสถาบัน GS1 สากล และยังรวมไปถึงหมายเลขประจำตัวสินค้า (GTIN) หรือ หมายเลขประจำตัวบริษัทสากล (GCP) ซึ่งเป็นมาตราฐานที่ผู้ประกอบการทั่วโลกต้องมีในการที่จะทำธุรกิจเรื่องการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนโดยเฉพาะ

 

2.การคำนวณหมายเลขและการตรวจสอบคุณภาพ บาร์โค้ด (Barcode Verification) ให้มีความถูกต้องตามมาตรฐานสากล

เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบาร์โค้ดที่ผลิตออกมาในแต่ละ Lot ได้คุณภาพ จำเป็นต้องมีการทดสอบและเปรียบเทียบสัญลักษณ์กับมาตรฐานของคุณภาพของการพิมพ์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดและความล่าช้าที่อาจจะเกิดขึ้น หากบาร์โค้ดนั้นไม่สามารถสแกนได้หรือใช้เวลาในการสแกนที่นาน การใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจสอบเรียกว่า Barcode Verifier จะทำให้เกิดความมั่นใจว่าบาร์โค้ดพวกนี้จะทำงานตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดี หรือหากไม่ได้มาตรฐานจะได้รับคำแนะนำเพื่อการปรับปรุงคุณภาพของบาร์โค้ดให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกจุดในระบบ Supply Chain

 

3.การฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้เรื่อง บาร์โค้ด และความรู้ทางธุรกิจ

การอบรมเรื่อง บาร์โค้ดนั้นจะเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการใช้งานมาตรฐานสากล GS1 ให้ถูกต้องที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจ ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือการอบรม ที่สถาบันฯ และ การอบรมออนไลน์ โดยแบ่งเป็น 2 หลักสูตรคือ

1.หลักสูตร มากกว่าสัญลักษณ์บาร์โค้ด คือการบริหารจัดการข้อมูลสินค้าที่ดียิ่งขึ้น

2.หลักสูตร Supply Chain ที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นด้วยมาตรฐานสากล GS1

 

ในส่วนของความรู้ทางธุรกิจนั้น GS 1 Thailand ทำงานร่วมกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEW ECONOMY ACADEMY) เพื่อให้ความรู้กับผู้ประกอบการด้านการทำการค้าในยุค 4.0 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ด้านดิจิทัล ด้านบริหารจัดการธุรกิจสู่สากล ความรู้เบื้องต้นเพื่อการส่งออก และความรู้เฉพาะทางด้านการตลาดระหว่างประเทศ

 

4.ระบบฐานข้อมูลสินค้า (GS1 Thailand Member Portal) สำหรับให้สมาชิกใช้บริหารจัดการข้อมูลสินค้าของตนเอง นอกจากนี้ยังมีข้อมูล Customer Feedback ข้อติชมเกี่ยวกับสินค้าจากผู้บริโภคไปยังเจ้าของสินค้า และ E-Learning เรียนรู้การใช้งานมาตรฐาน GS1 โดยระบบนี้สมาชิกสามารถดำเนินการผ่าน Web Application ของสถาบันฯ





ผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกโดยจะมีค่าลงทะเบียนแรกเข้าและค่าสมาชิกรายปีขึ้นอยู่กับโครงสร้างของหมายเลขบาร์โค้ดและขนาดของธุรกิจของท่าน  โดยสามารถกรอกใบสมัครยื่นเอกสารได้ที่สถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เลขที่ 2 อาคารปฎิบัติการเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ถนนนางลิ้นจี่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:00 – 17:00 น.
ติดต่อทางโทรศัพท์ผ่าน Call Center:  0-2345-1000, 0-2345-1200 หรือ ดาวน์โหลดใบสมัครผ่านเวบไซต์หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง
www.gs1th.org และยื่นเอกสารทางอีเมล์ info@gs1th.org

Published on 16 October 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย


บทความแนะนำ

SCB Business Center เติมเต็มจุดอ่อน เสริมสร้างจุดแข็งให้เอสเอ็มอี

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ดูได้จากจำนวนผู้ประกอบการในปัจจุบันที่อยู่ในระบบกว่า 3 ล้านราย สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเทรนด์ความต้องการของคนที่อยากมีธุรกิจของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา หรือแม้แต่พนักงานประจำ และคนในวัยเกษียณที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ

แต่ปัญหาของผู้ประกอบการมือใหม่เหล่านี้ คือยังขาดประสบการณ์การจัดการด้านต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจมานานแล้วก็ตาม แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งกระแสดิจิทัลดิสรัปชั่น หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดมากก่อน เช่น การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อผู้ประกอบการซึ่งอาจจะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ทัน

อุปสรรคต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักอยู่ตลอดเวลา และมีความต้องการที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่เพียงก้าวข้ามปัญหา แต่ยังสามารถตั้งหลัก และนำพาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง นี่จึงเป็นที่มาในการจัดตั้ง SCB Business Center เมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อเป็น Center of Excellence ให้เอสเอ็มอีอย่างครบวงจร

คุณพิทูร สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการ Sales Planning & Performance Management ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายย่อยส่วนใหญ่มักขาดข้อมูลข่าวสารความรู้ในการประกอบธุรกิจ และขาดที่ปรึกษา SCB Business Center จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับเอสเอ็มอี และยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสร้าง Ecosystem เชื่อมต่อระหว่างลูกค้าเอสเอ็มอีให้เกิดเป็นเครือข่าย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจซึ่งกันและกัน 

“เรามีการจัดสัมมนาเติมความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ตลอดเวลา โดยจัดเฉลี่ยเดือนละ 3-4 ครั้ง เพื่ออัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ ทั้งเทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ เทรนด์ของตลาดที่มีศักยภาพ รวมถึงให้ความรู้เพื่อเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งการจัดงานสัมมนาจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ เช่น Wongnai เราเชิญมาให้ความรู้ ด้านการตลาด การบริหารจัดการหน้าร้าน การลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร หรือบางครั้งมีการจัดสัมมนาในหัวข้อด้านการเงิน การจัดการบัญชี และภาษีที่เป็นจุดอ่อนของเอสเอ็มอี โดยมีพาร์ทเนอร์เก่งๆ เช่น AccRevo ที่เข้ามาให้ความรู้ในการจัดการเรื่องบัญชี-ภาษี การวางแผนภาษีที่ถูกต้อง รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุนด้านบัญชี โดยขอโปรโมชั่นพิเศษจากพาร์ทเนอร์ เพื่อเป็นสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการแพลทฟอร์มต่าง ๆ จากพาร์ทเนอร์ นอกจากเชิญพาร์ทเนอร์มาให้ความรู้แล้ว SCB Business Center ยังมีกิจกรรมสัมมนาเพื่ออัพเดทเทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ กิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือมาฟังแนวทางการแก้ปัญหาในการทำธุรกิจ จากผู้เชี่ยวชาญแวดวงต่างๆ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เอสเอ็มอีต้องการ เช่น การเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อธุรกิจจากธนาคาร โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญของธนาคารเข้ามาให้ข้อมูลความรู้ หรือบางครั้งได้เรียนเชิญผู้บริหารของธนาคารที่ดูสายงานธุรกิจที่ประเทศจีนมาให้ความรู้เรื่องการเปิดตลาดจีน แนวทางการค้า สินค้าที่น่าสนใจ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดจีน นอกจากนี้ยังมีพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเอสเอ็มอีบุกตลาดอเมริกา คือ  Amazon ที่มาให้ความรู้ในการเปิดช่องทางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Amazon.com เป็นต้น 

การสัมมนาทั้งหมดนี้ถือเป็นการสร้างเวทีให้ผู้ประกอบการได้มาทำความรู้จักกัน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด สร้างเครือข่ายความร่วมมือ รวมถึงจับคู่ธุรกิจ จุดประกายไอเดียใหม่ ๆ ให้กับเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ SCB Business Center

เราเชื่อว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีพันธมิตร และเครือข่ายที่ดี ธนาคารไทยพาณิชย์ยินดีเป็นตัวกลางในเชื่อมโยงพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือก และช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการ นี่คือหัวใจหลักของการก่อตั้ง SCB Business Center ขึ้นมา เพราะเรามองว่า ถ้าลูกค้ามีเครือข่ายที่แข็งแรง ธุรกิจเขาย่อมแข็งแรง ลูกค้าอยู่ได้ แบงก์ก็อยู่ได้ คอยสนับสนุนกัน และเติบโตไปด้วยกันเรื่อย ๆ”

อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้การจัดกิจกรรมสัมมนาต้องระงับไปชั่วคราว แต่ SCB Business Center ก็ไม่หยุดให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยที่ผ่านมาได้มีการให้ความรู้ผ่านเว็บไซต์และเฟซบุ๊ค SCB SME และ SCB Thailand อาทิ การปรับตัวทำธุรกิจในยุค New Normal และแนะนำวิธีการนำสินค้าไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การเจาะตลาดประเทศ นอกจากนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ยังได้สร้างแพลตฟอร์ม Food Delivery “Robinhood” ตัวช่วยสำหรับธุรกิจร้านอาหาร แพลตฟอร์มสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรม “SCB Shop Deal” และแพลตฟอร์ม มณี Free Solutions” บริหารจัดการธุรกิจแบบมืออาชีพและครบวงจร 

คุณพิทูร กล่าวว่า SCB Business Center จะกลับมาให้ความรู้กับ SME ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ อบรม สัมมนา จับคู่ธุรกิจ อย่างต่อเนื่องเร็วๆ นี้ ในรูปแบบ Hybrid Seminar ผสมผสานทั้งรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์ เพราะต้องการช่วยเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และเสริมความแกร่งให้เอสเอ็มอีให้ไปต่อได้อย่างมั่นคง

ไม่เพียงแต่บริการอบรมสัมมนาเท่านั้น SCB Business Center ยังเป็น Co-Working Space แหล่งจุดประกายความคิดสำหรับผู้ประกอบการที่เต็มไปด้วยบริการที่ตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นบริการ  Financial Advisory ที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจ หากต้องการคำปรึกษาในการเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง การขยับขยายกิจการ สามารถเดินเข้ามาคุย หรือนัดพบเพื่อรับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่ SCB Business Center ได้ตลอดเวลา โดยเราจะช่วยวิเคราะห์งบการเงิน แนะนำแนวทางในการขอสินเชื่อ การเตรียมเอกสาร การเตรียมความพร้อมก่อนการขอสินเชื่อ และบริการทางการเงิน รับ โอน จ่าย ครบวงจร  

 นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้บริการออกหนังสือรับรองนิติบุคคล  รับรองสำเนาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate) ที่สาขาสยามสแควร์ด้วยเช่นกัน 

คุณพิทูร สรุปการทำงาน SCB Business Center ว่า ยังคงเน้นการสร้างเครือข่าย (Network) สร้างความรู้ (Knowledge) เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยโซลูชั่นทางการเงิน (Financial Solution) แต่ที่สำคัญอยากให้ผู้ประกอบการเปิดใจ รับความรู้ ปรับตัวเร็ว ก็จะรอดในทุกสถานการณ์ เพราะ Financial Solution เป็นแค่เครื่องมือสนับสนุนเท่านั้น
 

“ข้อดีของเอสเอ็มอีคือ คิดเร็ว ปรับตัวไว ยิ่งถ้ากล้าปรับตัวภายใต้วิกฤติ และมีคอนเนคชั่นที่แข็งแรง ก็จะส่งผลให้ทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเสริมกับแหล่งเงินทุนที่เติมเข้าไป ยิ่งทำให้เขาเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว”

Published on 16 October 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

เบลล์ ขอบสนาม เส้นทางความสำเร็จของ Content Creator เรื่องกีฬา

ความชื่นชอบเรื่องของกีฬาเกิดขึ้นตอนไหน

คุณเบล : ถ้าชอบกีฬา น่าจะชอบตั้งแต่จำความได้เลย แต่ถ้าฟุตบอล น่าจะตอนปี 1990 ก็ประมาณ 8-9 ขวบ เพราะว่าผมจำค่ำคืน UEFA Champions League ปี 1999 ได้ วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้จักฟุตบอล รู้จักแมนยูฯ

 

การเตรียมความพร้อมที่จะลงสนาม Content Creator

คุณเบล : สิ่งที่ผมคิดไว้ตั้งแต่ผมเรียนแล้วว่า ผมจะไม่รอมานั่งค้นหาประสบการณ์ตัวเองหลังจากผมได้รับใบปริญญา แต่ก่อนใบปริญญาจะอยู่สู่มือผม ผมต้องมีทุกอย่างครบหมดแล้ว คือพร้อมที่จะออกไปสู้คนอื่น

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นเพจขอบสนาม

คุณเบล : จนผมเรียนจบตอนปีสี่ ผมก็ได้ไปทำงานกับพี่บี้เลยทันที ที่ก่อกำเนิดเป็น เดอะ สกาฟิล์ม พอทำให้พี่ดังติดประเทศไปแล้วตอนนั้น ผมรู้สึกว่าเราควรมีงานของตัวเองบ้าง ผมก็มองแค่ว่า เราทำงานประจำเงินเดือนเท่านี้ ต้องนั่งไปอีกกี่ปีกว่าจะได้รถได้บ้าน ผมก็เลยคิดว่า มีงานเสริมแล้วกัน ก็เลยทำเพจนี่แหล่ะ เพจกีฬา นี่คือจุดเริ่มต้นครับผม

 

คิดว่าความเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะเป็นอย่างไร

คุณเบล : ผมคิดว่ายุคโซเชียลกำลังจะมา มันไม่มีทางที่คนจะนั่งดูทีวีไปเรื่อย ๆ  ปีที่ทีวีดิจิทัลกำลังจะประมูลกัน มันเป็นปีที่ YouTube เข้ามาแล้วครับ นี่คือความเปลี่ยนแปลงในวันที่ผมเห็น ผมรู้สึกว่าทางโซเชียล ถ้าคุณมาก่อนแล้วหาทางได้ก่อน คุณจะรู้ช่องทาง คือผมไม่ได้แค่เอาความชอบตัวเองเป็นหลัก แต่เรามองบริบทความเป็นจริงสังคมด้วยว่า ณ วันนี้ เราโตมากับสังคมแบบไหน และรูปแบบงาน ตำแหน่งงานจะเป็นอย่างไรในอนาคต ต้องมองตรงนี้ มองให้ครบ

 

รายการขอบสนามมีรูปแบบรายการอย่างไร

คุณเบล : สมัยก่อนที่ผมจะทำขอบสนาม ผมไปค้นคว้าข้อมูลนะครับ แล้วก็พัฒนาเนื้อหาของตัวเอง ในมุมของตัวเอง ตกผลึกมามันต้องมีความตลก มันต้องเป็นภาษาที่พูดกันในชีวิตประจำวัน ซึ่งวันนั้นยังไม่มีใครทำ แนวคิดแรกที่ผมเริ่มก็คือเอาข่าวกีฬามาอ่านให้ฟัง ผมเป็นเสียงแรกในโลกออนไลน์ หลังจากวันนั้น เพจรูปแบบนี้ก็เกิดขึ้นเยอะมากมาย  ดังนั้นผมเริ่มต้นวันที่ไม่มีคู่แข่งครับ เพราะว่าผมดูมาหมดแล้วว่าเขาทำอะไรกัน แล้วผมจะทำอะไรให้ไม่ซ้ำเขา ให้ไม่เหมือนเขา

 

ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ เพจขอบสนามมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

คุณเบล : ขอบสนามเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ผมทำอยู่ในห้อง หกเดือนแรกผมไม่ได้ออกไปไหนเลย ออกจากบ้านอีกทีมาหกเดือน ตกใจ ซึ่งมันดังแล้วอะครับ หกเดือนก็ประมาณเกือบสองล้าน (ผู้ติดตาม) ตอนนั้นออกมาจากบ้านมารับงาน คือโฆษณาเริ่มเข้าแล้ว ผมรู้สึกว่าผมพยายามทำเนื้อหาที่คนไทยเข้าถึงได้ง่าย  แล้ว 5 ปีที่ผ่านมามันเปลี่ยนแปลงไปได้มาก เพราะจากเริ่มคนเดียว วันนี้มี 40 ชีวิตมานั่งดันมันไปเรื่อยๆ  แล้วผมก็ไม่ใช่คนเดียวอีกต่อไปแล้วที่อยู่หน้ากล้อง วันนี้ผมให้โอกาสคนอื่น ผมปั้นคนอื่นได้ อันนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ  เราเป็นพื้นที่ที่ถ้าใครมีฝันและรักฟุตบอล มาที่นี่ ผมจะเติมให้ในสิ่งที่คุณต้องการครับ

 

ช่องรายการ Online ของขอบสนาม มีช่องทางใดบ้าง

คุณเบล : ทุกทางเลยครับ ตอนนี้เรามี Facebook ขอบสนาม เรามี YouTube ขอบสนาม เรามี Tik-Tok ขอบสนาม เรามี Twitter ขอบสนาม เรามี Instagram ขอบสนาม นี่คือสิ่งที่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องไปครับ วันนี้เราไม่สามารถยึดโยง แล้วก็อยู่กับแพลตฟอร์มเดียวได้อย่าง Facebook เพราะว่าความสนใจอื่นๆ ก็มี คนที่เขาดูแต่ภาพอย่างเดียวก็มีนะ

 

อุปสรรคที่ต้องเจอในการเป็น YouTuber

คุณเบล : ผมเข้าใจได้ว่าทำไมคนถึงชอบเสียงเรา คนถึงไม่ชอบเสียงเรา เพราะทุกคนมีความเข้าใจ ความชอบไม่เหมือนกันเลย ดังนั้น สิ่งที่เราจะมาทำเป็น YouTube อุปสรรคที่เราต้องเจอแน่ๆ คือ ถ้าคุณทำคอนเทนต์ไม่ดี ณ วันนี้ คนด่าคุณได้ทันทีเลยทันทีเลยที่เขาไม่ชอบคุณ คุณไม่มีโอกาสได้อธิบายด้วยซ้ำ เขากดหยุดปุ๊ป พิมพ์ด่าคุณได้เลย เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอแน่นอน 

มันไม่มีเลยนะครับ ศิลปิน ดารา YouTuber หรือใครก็ตามที่ผลิตผลงานมา ที่คนชอบแบบร้อยเปอรเซ็นต์เต็ม ไม่มีครับ ผมกล้าพูด กล้ายืนยันเพราะว่าผมอยู่ตรงนี้มานานแล้ว จนเห็นทุกอย่างแล้วว่า ไม่มีหรอกทำแล้วคนชอบทุกอย่าง บางคนตัดพ้อ บางคนเจอคำด่าปุ๊ป ความสร้างสรรค์มันหายไปเลย ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะตายตรงนี้ คือคุณไม่อยากไปต่อแล้ว บางทีเราอาจจะต้องมองมุมเราว่า เราลองแคร์คนที่เขาชอบงานเรา เราลองมองดูหน่อยไหมว่า เราทำงานมาคนดูตั้งเป็นพันเป็นหมื่น ด่าสองคนเองนะ นอกนั้นเก้าร้อยกว่าคนชม 

ไม่มีใครไม่โดนด่าหรอกครับ ไม่มีจริง ๆ  ถ้าเรามีความแข็งแกร่งตรงนี้ เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ คุณเอาความสนใจ เอาพลังใจของคุณไปใส่ใจคนที่เขาชม ตรงนั้นทำให้เราอยู่ยาวได้ ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะเป็นตัวหลักในเวลาคุยงาน ผมคิดว่าผมคุยกับใคร โอกาสเหล่านั้นมันจะสร้างโอกาสให้เขาได้ไหม สร้างโอกาสให้เราได้ไหม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำหรับผมนะ ถ้าใครไม่มีมันเป็นอุปสรรคแน่นอนในการทำโซเชียล เพราะว่ามันไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน ถ้าคุณรักงานคุณ งานคุณก็จะรักคุณเหมือนกัน มันก็จะตอบแทนคุณด้วยอะไรสักอย่างครับ

 

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น YouTuber

คุณเบล : ถ้าถามผม ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้วจะบอกเลยว่า สู้ๆ น้อง แต่ถามในปี 2020 ผมต้องพูดความจริงว่า เหนื่อยหน่อยนะน้อง ต้องขยันกว่าคนอื่นเขามาก ๆ เพราะว่าทุกวันนี้ ทุกคนคิดเหมือนน้องนั่นแหล่ะ ดังนั้น ถ้าหากว่าน้อง ๆ ยังยืนยันว่าอยากจะเป็น YouTuber อยากจะทำอะไรอย่างนี้ สิ่งแรกคือ ต้องไม่หายไปไหน ต้องทำตลอด ไม่ใช่งานอดิเรก แต่มันคือชีวิต ผมไม่ใช้คำว่างานประจำด้วยนะ ถ้าคุณยอมรับว่าสิ่งนี้คือ ชีวิตได้เลย ตื่นขึ้นมาเพื่อถ่ายคลิป ตัดคลิป พากย์คลิป มาเจอคน แล้ววนไป ถ่ายคลิปใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ ถ้าคุณชอบชีวิตเหล่านี้ เต็มที่ได้เลย เพราะว่า YouTube คือทางที่คุณชอบ 

ถ้าวันหนึ่งเรามีชื่อเสียง อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะว่าบางทีมันอาจจะทำให้เราจมหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้ทุกคนเขาดูคุณจบ อีก 5 นาทีข้างหน้า เขาเอานิ้วโป้งไถไปเจอคนอื่นได้แล้ว ถ้าจะทำ YouTuber หรือจะไปต่อในสายโซเชียล อย่างที่บอก ย้ำอีกครั้ง 3 อย่างเลย หนึ่ง ใจ สอง เวลา สาม Passion  3 อย่างนี้ ใจ เวลา Passion มันตอบทุกอย่างหมด

 

คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ SME ในยุค Social ควรคำนึงถึงอะไร

คุณเบล : เช่นกันครับ ผู้ประกอบการ  SMEs ต่อให้คุณขายขนมปัง แค่คุณคิดว่าขนมปังของคุณจะอยู่ในโซเชียลอย่างไร สมมติถ้าคุณขายบริการ เป็น Service คุณก็ต้องคิดแล้วว่า คุณจะเอาบริการของคุณเข้าโลกออนไลน์อย่างไรให้คนมาสนใจใช้บริการคุณ คุณไม่ต้องเป็น YouTuber นะ ไม่ต้องมาบ้าพากย์บอลอย่างผมทุกคน แค่จับจุดต่อให้คุณทำธุรกิจอะไรอยู่ก็ตาม นี่คือสิ่งที่เราต้องไปต่อ

Published on 27 October 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

University Connect เบทาโกรเชื่อมองค์ความรู้พัฒนาอุตสาหกรรมไทย

“เพราะเศรษฐกิจไทย คนไทยต้องช่วยกัน University Connect ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อนำองค์ความรู้ งานวิจัย และเทคโนโลยีในมหาวิทยาลัย ไปช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมในไทย เราจะช่วย Connect ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งความรู้ งานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆของมหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น” วนัส แต้ไพสิฐพงษ์ Founder of University Connect and Chairman of the Executive Board, Betagro Group 

จากแนวคิดที่ต้องการสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรใหญ่อย่างเบทาโกรกับมหาวิทยาลัยชั้นนำเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ในภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่ผู้ประกอบการก่อให้เกิด University Connect ยูนิตสำคัญที่เบทาโกรตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อช่วยเสริมศักยภาพให้ภาคอุตสาหกรรมได้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยวิสัยทัศน์ของ University Connect คือ จะเป็นหนึ่งในกลไกในการพัฒนา Thailand Competitiveness ให้กับผู้ประกอบการ โดยมีหนึ่งในพันธกิจสำคัญคือ พัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรม โดยใช้องค์ความรู้และทรัพยากรที่มีคุณภาพของ
มหาวิทยาลัย

“จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่เราทำงานกับทางมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก และทางมหาวิทยาลัยก็เข้ามาช่วย Improvement ทางด้านเทคโนโลยีและเรื่องของพื้นฐานการผลิตหลายอย่างซึ่งเรารู้สึกว่าองค์ความรู้เหล่านี้เป็นของดีซี่งมีอยู่ในทุกๆมหาวิทยาลัย องค์ความรู้บางอย่างเป็นในเชิงวิศวะ วิทยาศาสตร์ ซึ่งภาคธุรกิจไม่ได้หยิบเอามาใช้ ซึ่งจริงๆแล้วหากมีการหยิบเอาไปใช้จะสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้า และด้านอื่นอีกหลากหลายซึ่งคุณวนัสมองว่าของดีเหล่านี้น่าจะเอามาให้ภาคเอกชนได้นำไปใช้ แต่ปัญหาคือมหาวิทยาลัยขาดเรื่องของการทำการตลาด ดังนั้นเบทาโกรจึงขอทดสอบสมมุติฐานด้วยการตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมาในเบทาโกรที่ใช้ชื่อว่า University Connect เพื่อนำเอาความรู้ งานวิจัย เทคโนโลยีของมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  พระจอมเกล้าลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล ออกไปช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทยผ่านชื่อโครงการที่สื่อสารตรงถึงความต้องการของอุตสาหกรรมที่เรียกว่า Service menu นั่นเป็นเป้าหมายของ University Connect

คุณอาณัติ ทรัพย์ทวีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนัก Academic Contribution เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ University Connect



บริการของ University Connect แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

Good Routine operation (Work Effectiveness) เหมาะสำหรับโรงงานที่มาตรฐานไม่ชัด คุณภาพแกว่ง ประสิทธิภาพขั้นพื้นฐานของการผลิตสินค้าคือการมีมาตรฐานในการทำงานที่ดี (Effective work instruction) พร้อมทั้งมีระบบในการควบคุมการผลิตและควบคุมคุณภาพของสินค้า (Monitoring and Control System) หากมีระบบในการทำงานที่ดีแล้วการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป Service menuในกลุ่มนี้จึงเหมาะกับบริษัทที่มีมาตรฐานการทำงานยังไม่ชัดเจน คุณภาพของสินค้ายังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งหัวข้อสำคัญในกลุ่มนี้จะเป็นเรื่องของ การสอนงานแรงงานให้ทำตาม Work Instruction, Safety​​,Follow Up & Monitoring System​​,Problem solving & Root Cause Analysis​,Database for Control Operation

Process Improvement (Work Efficient)  เหมาะสำหรับโรงงานที่มองหาการพัฒนาเพื่อก้าวนำคู่แข่ง บริษัทที่มีมาตรฐานการทำงานที่ดีแล้ว ย่อมมีความพร้อมในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเพื่อพัฒนาให้ก้าวนำคู่แข่ง Service menu ในกลุ่มนี้ช่วยเพิ่ม Capacity, Yield, Quality, ประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุน เช่น การเพิ่มทักษะในการทำงานของพนักงานด้วยเทคนิค Feedback​,การลดค่าเผื่อในการผลิต (Give Away Loss) ด้วยหลักการทางสถิติและศาสตร์เฉพาะทาง​,การบริหารจัดการเพื่อ Max. Cap & Min. Cost ด้วย Optimization technics​,การเพิ่มประสิทธิภาพของทั้งองค์กรด้วย Lean, Total Productivity management (TPm), Ideal Management (IM)​,การออกแบบ / สร้างอุปกรณ์อัตโนมัติต้นทุนต่ำด้วยหลักการ Karakuri Kaizen​ และการปรับปรุงวิธีการทำงานโดยเน้นเพียง 1 จุดงาน Station Improvement 

Transformation (Working Platform) เหมาะสำหรับโรงงานที่พร้อมปฏิรูปองค์กรด้วยเทคโนโลยี ในยุค 4.0 ใครๆ ก็อยากจะเอาเทคโนโลยีมาใช้ในองค์เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น​ Service menu ในกลุ่มนี้เป็นการ Customize technology ให้ Fit กับความต้องการของบริษัท​ ออกแบบ / สร้างเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อใช้ทดแทนแรงงาน เช่น การใช้ Manufacturing Execution System (MES) เพื่อบริหารจัดการงานผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ​,ใช้ IoT ร่วมกับการวิเคราะห์แบบ Real time เพื่อควบคุมกระบวนการผลิต และเครื่องจักร​,Implement ระบบ ERP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งองค์กร​,ใช้ Machine Learning ในกระบวนการผลิต 

“เรามี Service Menu ที่หลากหลายซึ่งเมนูเหล่านี้เราทำงานร่วมกับทางมหาวิทยาลัยโดยพยายามกลั่นองค์ความรู้ต่างๆออกมาเป็นเมนูพร้อมเสิร์ฟให้กับผู้ที่ต้องการเข้ามาเรียนรู้ เป็นเมนูที่พร้อมใช้ พร้อมแก้ปัญหาให้กับภาคเอกชนสามารถนำเอาไปใช้งานได้จริง ซึ่ง Service menu เหล่านี้เรานำมาจากดีมานด์ที่เกิดขึ้นจากภาคเอกชน และเข้าไปคุยกับอาจารย์เพื่อนำเอาองค์ความรู้ต่างๆเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยความที่เราเป็นธุรกิจอาหารเราก็เริ่มจากเรื่องของอาหารก่อน แต่จริงๆแล้วมี Service menu ที่ไม่เกี่ยวกับอาหารด้วยเช่นเดียวกัน” 

แนวทางในการทำงานของ University Connect มีการปรับให้สอดคล้องกับวิถีของอาจารย์ โดยการจัดสัมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการ โดยเชิญทั้งเจ้าของกิจการ ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก และผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมฟังทุกวันศุกร์ที่สำคัญคือ “ฟรี” ซึ่งนั่นเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้ประกอบการรู้จัก University Connect จนปัจจุบันมีองค์กรที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 องค์กร

“เราใช้ช่องทางหลายช่องในการประชาสัมพันธ์ University Connect ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟรีสัมมนาทุกวันศุกร์ซึ่งแตก่อนเราจัดที่บริษัทแต่ช่วง COVID-19 เราเปลี่ยนมาจัดทางออนไลน์ซึ่งก็ได้การตอบรับที่ดี นอกจากนี้เรายังมีการใช้ช่องทาง Direct Sale คือโทรเข้าไปตามบริษัทต่างๆ และผ่านกลุ่มสมาคม เช่น สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมอาหารแช่เยือกแข็ง สมาคมกาแฟ ผ่านแบงค์ คือ TMB เป็นต้น นอกจากนี้เรายังมี LINE@ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้จักเรา เมื่อโรงงานไหนที่ฟังสัมมนาของเราแล้วรู้สึกสนใจ อยากให้เราใช้ข้อมูลเชิงลึกหรือเมนูที่เรามีไปช่วยตอบโจทย์ธุรกิจของเขา หลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของการ Consult กันส่วนตัว โดยเราจะพาอาจารย์จากมหาวิทยาลัยไปวิเคราะห์ปัญหาที่โรงงานของลูกค้า เป็น Project set up ขึ้นมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือจริง ซึ่งตรงนี้ลูกค้าต้องทำสัญญาแล้วจ่ายเงินกับมหาวิทยาลัย เพราะการที่มหาวิทยาลัยเข้าไปทำให้มีค่าดำเนินงานถ้าเราไม่เก็บเงินเลยก็จะทำให้เราอยู่ได้ไม่นานและช่วยองค์กรต่างๆได้ไม่มากนัก ซึ่งปัจจุบันเราเริ่มมีลูกค้าให้เรานำองค์ความรู้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

 หลายคนคงอยากตั้งคำถามว่าการที่เบทาโกรเข้ามาทำตรงนี้ ได้อะไร? คุณอาณัติ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “จริงๆแล้วเราไม่ได้อะไร สิ่งที่เราต้องการคือต้องการช่วยจริงๆ”

“มีคนที่พอทราบว่าเราเป็นบริษัทเอกชนเขาก็จะตั้งกำแพงเอาไว้ก่อนว่าเราทำแล้วได้อะไรจากตรงนี้ เราก็ต้องบอกเขาว่าจุดเริ่มต้นของเราคือการที่เราต้องการที่จะเข้ามาช่วย ซึ่งพูดตามตรงก็คือเราไม่ได้อะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทางเบทาโกรต้องการทำ คือการแยกหน่วยงานนี้ออกมา เป็น Social Enterprise ในอนาคต ซึ่งการเป็น Social Enterprise ต้องมีรายได้เข้ามาเพื่อเลี้ยงตนเองให้อยู่รอดไปได้ เราก็จะแจ้งลูกค้าเลยว่าเวลาที่เราทำโครงการพวกนี้รายได้บางส่วนต้องคืนกลับมาให้กับ Social Enterprise ด้วย เราอยากช่วยบนพื้นฐานที่จะทำให้บริษัทยั่งยืนเพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นต่อได้” 

เป้าหมายของ University Connect ถัดจากนี้ คุณอาณัติ มองว่าคือการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมในระดับที่ Mass มากขึ้น อาจจะเป็นการช่วย SMEs ลอตใหญ่พร้อมๆกัน เนื่องจากตอนนี้การช่วยเหลือยังเป็นรูปแบบของการช่วยแบบ One by One ในอนาคตมองถึงการช่วยแบบ One to Many โดย Service Menu 1 Menu สามารถช่วยผู้ประกอบการแก้ปัญหาได้ 5-10 รายในครั้งเดียว 

“สิ่งที่อยากแนะนำ SMEs ไทยคือเรามองว่าตอนนี้รายย่อยเยอะมาก แล้วธุรกิจตอนนี้วิ่งไวมากทั้งตัวธุรกิจเองและตัวผู้บริโภคพฤติกรรมก็เปลี่ยนการเทิร์นของธุรกิจหมุนเร็วเพราะฉะนั้นความไวในการปรับตัวให้ทันกับสภาพเศรษฐกิจตอนนี้สำคัญ สิ่งหนึ่งที่ SMEs อาจจะยังมองไม่เห็นคือพวกพื้นฐานความรู้ที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ ไม่ต้องไปซื้อออโตเมชั่น ความรู้ที่ลงทุนไม่มาก แต่ผลตอบแทนคุ้มค่า พวก Basic Knowledge เป็นเรื่องที่ควรจะยอมลงทุนมากกว่าเพราะมันจะสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานและอยู่กับเราตลอดไป”

Published on 2 October 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

สถาบันอาหาร One-Stop Service ของอุตสาหกรรมอาหาร

อุตสาหกรรมอาหารนับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศ เพราะไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ และอาหารไทยก็มีชื่อเสียงในระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการ SME ที่ทำธุรกิจอาหารก็เผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ช่องทางการตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภค

สถาบันอาหาร นับเป็นองค์กรสำคัญที่ทำหน้าที่สะพานเชื่อมระหว่าง SME กับภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์อาหารอนาคตในภูมิภาคอาเซียน (Future Food Hub of ASEAN)




นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหารเป็น One-Stop Service ของอุตสาหกรรมอาหาร มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ และทำหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร

“ถ้าผู้ประกอบการมีไอเดียว่าอยากจะทำอะไร เราสามารถให้บริการได้ครบถ้วน” ผอ.อนงค์ กล่าวว่า สถาบันอาหารให้บริการใน 7 ด้าน ประกอบด้วย

1) การตรวจวิเคราะห์ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) ว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่ทางอย. กำหนดหรือไม่ รวมถึงมาตรฐานของต่างประเทศ เป็นการตรวจทดสอบทางด้านเคมี
จุลชีววิทยา และอายุของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการตรวจสอบความชำนาญของห้องปฏิบัติการ และการสอบเทียบเครื่องมือที่ใช้อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร

2) การบริการทางวิศวกรรม นักวิชาการจะเข้าไปตรวจเครื่องมือในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อคำนวณหาจุดเหมาะสมในการผลิต ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายของอย. เช่น การตรวจกระบวนการที่ใช้ความร้อน (Thermal Process) และกระบวนการที่ไม่ใช้ความร้อน  (Aseptic Process)  ว่าการผลิตอาหารลักษณะนี้ต้องใช้อุณหภูมิเท่าไหร่และนานเท่าใด พอคำนวณแล้วก็เอาใบรับรองให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม

3) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นบริการที่สถาบันอาหารให้ผู้ประกอบการที่มีไอเดียว่าอยากผลิตอาหารต่างๆ ผู้ประกอบการบอกโจทย์ แล้วทางสถาบันจะทำสูตรให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ 

4) การให้คำปรึกษาในการพัฒนาระบบคุณภาพ เช่น GMP (Good Manufacturing Practice), HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) รวมถึงให้การตรวจรับรองว่าระบบต่างๆ ได้มาตรฐาน 

5) การรับจ้างการผลิตและให้เช่าเครื่องมือและสถานที่ “หลังจากทำสูตรของผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีสูตรแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงกับเครื่องมือเครื่องจักร ยังไม่แน่ใจว่าตลาดเป็นอย่างไร เราก็บริการทางด้านเครื่องมือเครื่องจักร เรามีโรงงานเล็กๆ รับจ้างผลิต (OEM) และรับออกแบบบรรจุภัณฑ์ และเรายังมีสถานที่ มีห้องสำหรับสอนการทำอาหาร มีคลาสสาธิต เราให้เช่าพื้นที่ด้วย” ผอ.อนงค์ กล่าว

6) บริการฝึกอบรมสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ หลักสูตรมาตรฐาน GMP, HACCP, ISO 22000 รวมถึงการจัดอบรมพนักงานในองค์กร (In-House Training) 

7) บริการข้อมูลและวิจัยตลาด โดย
ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) สมาชิกจะได้รับข้อมูลต่างๆ อาทิ เทรนด์อาหาร กฏหมายกฏระเบียบของประเทศต่างๆ รวมถึงการทำวิจัยตลาด และให้บริการคำปรึกษาทางธุรกิจแก่องค์กร

จากบริการทั้งหมดข้างต้น ทำให้เห็นว่าสถาบันอาหารให้บริการที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ แต่ในโลกของการทำธุรกิจจริง SME ต้องเผชิญปัญหาในหลายมิติ ผอ.อนงค์ กล่าวถึงจุดอ่อนของ SME ไทยว่า SME ขาดเงินทุน มีเงินน้อยและสายป่านสั้น ขาดเครือข่ายในการทำธุรกิจ รวมถึงขาดองค์ความรู้ เช่น ความรู้ในการทำธุรกิจ การบริหารต้นทุน ความรู้เรื่องเทคโนโลยี การลดต้นทุน-การเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น  

สำหรับจุดแข็งของ SME ผอ.อนงค์ มองว่า อยู่ที่ความเล็ก และความปราดเปรียวในการเปลี่ยนกระบวนการให้สอดคล้องกับเทรนด์ต่างๆ “เทรนด์ คือ คุณไม่ต้องผลิตเยอะ แต่ผลิตอะไรที่ตรงกับความต้องการลูกค้าที่เป็น Niche Market (ตลาดเฉพาะกลุ่ม) เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเด็ก กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มที่ชอบออกกำลังกาย กลุ่มที่ต้องการความสวยงาม เพราะฉะนั้น SME จึงต้องมี Agility (ความคล่องแคล่วว่องไว) ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่ปัจจุบันมีความหลากหลายมาก และเดี๋ยวนี้แข่งกันที่ความเร็ว (Speed)” ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าว

แม้ SME จะปราดเปรียวในการทำธุรกิจอาหาร แต่ก็ต้องเจอความท้าทายที่อยู่ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย

1) การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ออโตเมชั่น และ BCG ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และสังคมสีเขียว (Green Society) โดย SME ที่ทำธุรกิจอาหารต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ทัน
2) ช่องทางการตลาด เช่น การเติบโตของร้านสะดวกซื้อและช่องทางออนไลน์ 
3) ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม โดยโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคกินอาหารอยู่ที่บ้านมากขึ้น และสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น 

ท่ามกลางบริบทธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ผอ.อนงค์ กล่าวว่า SME ต้องพัฒนาเพิ่มเติมใน 2 ประเด็นหลัก เรื่องแรก SME ต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น ออโตเมชั่น โรโบติกส์ และผลิตสินค้าที่ตอบสนองเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่เจาะตลาดแมส และเรื่องที่สอง
การพัฒนาทักษะและสร้างทักษะใหม่ของ
SME (Reskill, Upskill) เช่น การนำวัตถุดิบในพื้นที่มาใช้ประโยชน์เพื่อผลิตสินค้า เป็นต้น  

สำหรับเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารโลก ผอ.อนงค์ กล่าวถึง 3 เทรนด์ ได้แก่  

1) เทรนด์อาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Health Safe Trend) ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการอาหารที่อร่อยอย่างเดียว แต่อาหารต้องมีคุณภาพและช่วยเสริมสร้างสุขภาพ อาทิ อาหารที่สร้างภูมิต้านทาน การปรับระดับฮอร์โมน เป็นต้น นอกจากนั้นผู้บริโภคก็ต้องการความสะดวกสบาย เช่น อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน แต่ต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค

2) เทรนด์การบริโภคเพื่อความยั่งยืน (Environmental Safe Trend) การผลิตอาหารที่ไม่สร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม เป็นการผลิตที่ยั่งยืนสอดรับกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยกระบวนการผลิตได้ลดการใช้ทรัพยากร มีการนำกลับมาใช้ซ้ำ และกลับมาใช้ใหม่ (Reduce, Reuse, Recycle) ซึ่งประเทศในสหภาพยุโรปจะพิจารณาในหลายประเด็น อาทิ ผลิตภัณฑ์มีฉลากเขียว (Green Label) หรือไม่ ผู้ผลิตมีความรับผิดชอบต่อสังคมหรือใช้แรงงานเด็กหรือไม่ แพคเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 

3) เทรนด์การบริโภคที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ (Animal Safe Trend) ทำให้ธุรกิจอาหารวีแกนและอาหารจากพืช (Plant-based Food) เติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสังเคราะห์/เนื้อเทียม หรือ โปรตีนทดแทน 


ผอ.อนงค์ กล่าวเสริมถึงบทบาทของสถาบันอาหารว่า “เราเป็นผู้ปฏิบัติการ (Implementer) เราไม่ใช่แค่วางกลยุทธ์ วางนโยบาย แต่เราเป็นคนทำ เราเหมือนเป็นสะพานระหว่าง SME ผู้ประกอบการ กับภาครัฐที่วางนโยบายแล้ว 

สถาบันอาหารจะดำเนินงานตามแนวทางแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2570)  สิ่งที่ต้องดำเนินการมีเป้าหมายว่า เราจะต้องเป็น Future Food Hub ของอาเซียน เราจะเป็นศูนย์อาหารอนาคตในภูมิภาคอาเซียน   

ผอ.อนงค์ เสริมว่า อาหารอนาคตประกอบด้วย 4 เรื่อง

1) อาหารออร์แกนิค
2) Functional Food อาหารเพื่อฟังก์ชั่นของร่างกาย เช่น อาหารที่สร้างภูมิต้านทาน อาหารเพื่อความงาม เป็นต้น
3) Medical Food อาหารทางการแพทย์ และ
4) Novel Food อาหารใหม่ ที่มีการใช้กระบวนการหรือวัตถุดิบใหม่

การนำพาประเทศไปสู่ศูนย์อาหารอนาคตของอาเซียน สถาบันอาหารมีแผนงานหลายด้าน อาทิ มาตรการสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (Food Warriors) มาตรการสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต (Future Food Innovation) มาตรการสร้างโอกาสทางธุรกิจ (New Marketing Platform) และมาตรการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม (Enabling Factors)

ในภูมิทัศน์โลกใหม่ที่ผันผวน ซับซ้อนและมีความไม่แน่นอนสูง ภารกิจข้างต้นนับเป็นงานที่ท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมใจ หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างความสามารถเชิงแข่งขันที่สำคัญให้กับประเทศ

Published on 1 October 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย






บทความแนะนำ